ตามทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ว่าไว้ว่า** “การมีเงินเฟ้ออ่อนๆ ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะช่วยกระตุ้นให้คนอยากลงทุน และมีแรงจูงใจที่จะผลิตและใช้จ่าย แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็จะกลัวและวิตก เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงเพราะจะทำให้ค่าเงินในกระเป๋าของคุณลดลง”**
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมีทั้งการขยายตัวและการหดตัว ซึ่งส่วนใหญ่ประชากรโลกมีแต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความจำเป็นในการบริโภคและอุปโภคมีอัตราเพิ่มขึ้น จึงทำให้เกิดการสร้างแรงจูงใจที่จะทำให้ผู้ผลิตอยากที่จะผลิตและผู้บริโภค อยากที่จะซื้อ
และกลไกลที่เกิดขึ้นนั้นก็คือ “กลไกลราคาที่ทำให้สินค้าและบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามสมควร รวมถึงผู้บริโภคก็มีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะซื้อสินค้านั้น ๆ ในช่วงระยะเวลา 1 ปี และการที่ราคาสินค้าโดยเฉลี่ย ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค รวมถึงราคาเชื้อเพลิงและอาหารเพิ่มขึ้น เราเรียกการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเฉลี่ยนี้ว่า “เงินเฟ้อ” (Inflation)
**ดังนั้นภาวะเศรษฐกิจที่มีเงินเฟ้อสูง ประชาชนจะได้รับผลตอบแทนจากราคาสินค้าและบริการที่ปรับตัวสูงขึ้น ย่อมจะกดดันให้ผู้ออมเงิน นักลงทุน ต้องยิ่งหาผลประโยชน์จากเงินที่มีอยู่ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนเอาชนะเงินเฟ้อให้ได้ มิเช่นนั้นเงินที่มีอยู่ย่อมมีค่าลดลง**
เช่นเดียวกัน เวลาฝากเงินในธนาคาร ดอกเบี้ยเงินฝากก็เป็นผลประโยชน์ที่จะต้องนำมาเทียบเคียงกับเงินเฟ้อ และหากน้อยกว่านั้นหมายความว่า ดอกเบี้ยที่แท้จริง มีค่าติดลบ จึงควรสำรวจว่าผลตอบแทนที่แท้จริงของคุณติดลบหรือไม่ ?
**ฉะนั้นเมื่อเกิดภาวะอัตราเงินเฟ้อสูง ๆ ผู้ลงทุนก็ควรจะเร่งหาลู่ทางการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดเงิน หรือ ตราสารหนี้ทั่วไป โดยอาจจะจัดสรรเงินไปลงทุนในสินค้า หรือสินทรัพย์ที่มีลักษณะสวนทางกับเงินเฟ้อ (Inflation hedging Asset) บ้าง เช่น ทองคำ รวมถึงโลหะมีค่าบางชนิด หรือสินค้า Commodity แต่การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ จะมีความผันผวนสูงกว่าการลงทุนในตลาดเงินและตลาดตราสารหนี้ทั่วไป**
หรือหากคุณเป็นผู้ที่จะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทที่สามารถจับต้องได้ (Tangible Asset) เช่น ที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ เงินเฟ้อก็จะมีส่วนสำคัญต่อการประเมินราคาปัจจุบันของทรัพย์สินเหล่านี้เช่นกัน เพราะสินทรัพย์เหล่านี้เป็นทรัพย์สินที่สามารถก่อให้เกิดรายได้จากค่าเช่า ถ้าจะต้องตีมูลค่าปัจจุบันของสินทรัพย์เหล่านี้ ก็จะตีจากกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคต อัตราเงินเฟ้อแต่ละปีจะมีผลอย่างมากในการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าว เพราะมูลค่าของสินทรัพย์เหล่านี้จะพิจารณาจากกระแสเงินสดที่จะเรียกเก็บได้ในอนาคตแล้วนำกลับมาคิดเป็นราคาวันนี้ เพราะเงินเฟ้อเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับใช้คิดคำนวณส่วนลดเพื่อหามูลค่าปัจจุบันของทรัพย์สินนั้นๆ นั่นเอง
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมีทั้งการขยายตัวและการหดตัว ซึ่งส่วนใหญ่ประชากรโลกมีแต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความจำเป็นในการบริโภคและอุปโภคมีอัตราเพิ่มขึ้น จึงทำให้เกิดการสร้างแรงจูงใจที่จะทำให้ผู้ผลิตอยากที่จะผลิตและผู้บริโภค อยากที่จะซื้อ
และกลไกลที่เกิดขึ้นนั้นก็คือ “กลไกลราคาที่ทำให้สินค้าและบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามสมควร รวมถึงผู้บริโภคก็มีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะซื้อสินค้านั้น ๆ ในช่วงระยะเวลา 1 ปี และการที่ราคาสินค้าโดยเฉลี่ย ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค รวมถึงราคาเชื้อเพลิงและอาหารเพิ่มขึ้น เราเรียกการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเฉลี่ยนี้ว่า “เงินเฟ้อ” (Inflation)
**ดังนั้นภาวะเศรษฐกิจที่มีเงินเฟ้อสูง ประชาชนจะได้รับผลตอบแทนจากราคาสินค้าและบริการที่ปรับตัวสูงขึ้น ย่อมจะกดดันให้ผู้ออมเงิน นักลงทุน ต้องยิ่งหาผลประโยชน์จากเงินที่มีอยู่ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนเอาชนะเงินเฟ้อให้ได้ มิเช่นนั้นเงินที่มีอยู่ย่อมมีค่าลดลง**
เช่นเดียวกัน เวลาฝากเงินในธนาคาร ดอกเบี้ยเงินฝากก็เป็นผลประโยชน์ที่จะต้องนำมาเทียบเคียงกับเงินเฟ้อ และหากน้อยกว่านั้นหมายความว่า ดอกเบี้ยที่แท้จริง มีค่าติดลบ จึงควรสำรวจว่าผลตอบแทนที่แท้จริงของคุณติดลบหรือไม่ ?
**ฉะนั้นเมื่อเกิดภาวะอัตราเงินเฟ้อสูง ๆ ผู้ลงทุนก็ควรจะเร่งหาลู่ทางการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดเงิน หรือ ตราสารหนี้ทั่วไป โดยอาจจะจัดสรรเงินไปลงทุนในสินค้า หรือสินทรัพย์ที่มีลักษณะสวนทางกับเงินเฟ้อ (Inflation hedging Asset) บ้าง เช่น ทองคำ รวมถึงโลหะมีค่าบางชนิด หรือสินค้า Commodity แต่การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ จะมีความผันผวนสูงกว่าการลงทุนในตลาดเงินและตลาดตราสารหนี้ทั่วไป**
หรือหากคุณเป็นผู้ที่จะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทที่สามารถจับต้องได้ (Tangible Asset) เช่น ที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ เงินเฟ้อก็จะมีส่วนสำคัญต่อการประเมินราคาปัจจุบันของทรัพย์สินเหล่านี้เช่นกัน เพราะสินทรัพย์เหล่านี้เป็นทรัพย์สินที่สามารถก่อให้เกิดรายได้จากค่าเช่า ถ้าจะต้องตีมูลค่าปัจจุบันของสินทรัพย์เหล่านี้ ก็จะตีจากกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคต อัตราเงินเฟ้อแต่ละปีจะมีผลอย่างมากในการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าว เพราะมูลค่าของสินทรัพย์เหล่านี้จะพิจารณาจากกระแสเงินสดที่จะเรียกเก็บได้ในอนาคตแล้วนำกลับมาคิดเป็นราคาวันนี้ เพราะเงินเฟ้อเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับใช้คิดคำนวณส่วนลดเพื่อหามูลค่าปัจจุบันของทรัพย์สินนั้นๆ นั่นเอง