คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้อง “44 จำเลย” คดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพารา 90 ล้านต้น มูลค่า 1,440 ล้านบาท “10 มติ 10 ประเด็น” ที่ศาลพิพากษายกฟ้องให้กับจำเลยคดีนี้
มติที่ 1 ประเด็นเนวิน ชิดชอบ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ผู้ริเริ่มโครงการกล้ายาง ไม่ผิด...!?!
ดูจะเป็นมติคำพิพากษาที่ฮือฮามาตลอด 1 เดือน หลังจากศาลต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาในนัดแรกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ออกมาเป็นวันที่ 21 กันยายน เพราะเลขที่ออกตรงเผง มติ 8 ต่อ 1 เสียงเห็นว่า เนวิน ไม่มีความผิดจริงๆ
ใครเป็นใครใน 8 ต่อ 1 เสียง
เสียงผู้พิพากษาข้างน้อยเพียงหนึ่งเดียว คนนั้นคือ
มนัส เหลืองประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกมาเป็นองค์คณะแทน ประทีป ปิติสันต์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่ออกจากองค์คณะไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสศาลอื่นที่มิใช่ศาลฎีกา
ส่วนองค์คณะที่เหลือ 8 เสียงซึ่งโหวตให้ เนวินรอด ประกอบด้วย บุญรอด ตันประเสริฐ ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา (เจ้าของสำนวน) ชาลี ทัพภวิมล เกษม วีรวงศ์ สุรภพ ปัทมะสุคนธ์ พรเพชร วิชิตชลชัย รัตน กองแก้ว ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา วิชา มั่นสกุล และ จรัส พวงมณี ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา
มติ 8 ต่อ 1 เสียง ยกฟ้อง เนวิน ดูจะเป็นเครื่องตอกย้ำว่า เป็นเล่ห์ของ “เสื้อน้ำเงิน” ที่หาทางเจาะความลับ
นับตั้งแต่เลือกให้ อดิศัย โพธารามิก อดีตรมว.พาณิชย์ มอบทนายความยื่นคำร้อง ขอเลื่อนฟังคำพิพากษาโดยอ้างกำลังรักษาตัวอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ศาลต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2552 ออกไปอีก 1 เดือน ทั้งนี้การมายื่นคำร้องขอเลื่อนในวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษามี เจตนา จะให้องค์คณะผู้พิพากษาประชุมเพื่อลงมติคำพิพากษา
เพราะนักกฎหมายทุกคนที่อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น ทราบดีว่า ตามวิธีพิจารณาคดีของศาลนั้น เมื่อนัดคู่ความฟังคำพิพากษาแล้ว ศาลจะต้องทำคำพิพากษาให้เสร็จพร้อมอ่าน แม้ในวันนัดอ่านเกิดมีเหตุให้ต้องเลื่อนการอ่านออกไปก็ตาม
การเจตนาให้ศาลประชุม แต่อ่านไม่ได้ จึงย่อมมีเป้าประสงค์ให้มติออก และแสวงโอกาสเจาะคำพิพากษา และดูจะสมประสงค์ เพราะยังไม่ทันพ้น 24 ชม.หลังเลื่อนคำพิพากษา เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม มติ 8 ต่อ1
ก็กระหึ่มเมือง แบบสั่งโต๊ะจีนเลี้ยงล่วงหน้า ค่ำวันที่ 21 กันยายน
หากจะปฏิเสธว่า 8 ต่อ 1 เป็นการเดา ก็ต้องบอกว่าเก่งกล้าสามารถโดยแท้...แน่หรือ!! เพราะปกติการคาดเดาคำพิพากษาของศาลยุติธรรมฟันธงกันได้อย่างเก่ง “ยกฟ้อง” หรือ “จำคุก” เพราะไม่ใช่ตุลาการในระบบศาลรัฐธรรมนูญที่มติหลุดกันประจำ
ผลคดีทุจริตกล้ายาง จึงนับเป็นเรื่องท้าทายการตรวจสอบหา “รูรั่วในรั้วศาลฎีกา” เพราะอย่างน้อยในประวัติศาสตร์ศาลยุติธรรม เคยมีผู้พิพากษาศาลฎีกาถูกสอบสวน และโดนไล่ออกจากราชการ เพราะจงใจให้ “คำพิพากษาศาลฎีการั่ว” มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ท่าทีจำเลยยกเข่ง 43 คน เดินทางมาฟังคำพิพากษานัดแรกในวันที่ 17 สิงหาคม มันก็สะท้อนให้เห็นว่า ความจริงแล้วคำพิพากษายกฟ้องแบบนี้จำเลยทราบมาก่อนวันที่ 17 สิงหาคม หรือไม่ ?
เพราะเป็นเรื่องผิดปกติมากที่จำเลยพร้อมเพรียงกันเดินทางมาฟังคำพิพากษาโดยไม่หนีตั้งหลัก !! และในวันที่ 21 กันยายน ทั้งหมดก็ยังคงมาพร้อมเพรียงกัน โดยไม่มีใครลูกเล่น ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษา ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้แน่ชัดในผลคำพิพากษามากเข้าไปอีก ..
ปรากฎการณ์นี้ จึงทำให้น่าใจหายในความน่าเชื่อถือแก่สังคมไทย
กลับมาที่การลงมติ ในคดีนี้ยังมีอีก 1 ประเด็นน่าสนใจ นั่นคือ การลงความเห็นว่า เนวิน และ “ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ไม่มีความผิดฐานร่วมกันชงโครงการกล้ายางฯ ขัดกฎหมาย โดยประเด็นนี้องค์คณะผู้พิพากษามี มติ 7 ต่อ 2 เสียง
สำหรับเสียงข้างน้อย ชัดเจนว่าเป็น มนัส เหลืองประเสริฐ เพราะยืนหยัดว่าเนวิน ผิด อีกท่านหนึ่งคือ พรเพชร วิชิตชลชัย โดยสองผู้พิพากษาเห็นว่า อธิบดีฉกรรจ์เป็นผู้ก่อ หรือชงโครงการให้เนวิน ใช้เงินค่าธรรมเนียมการส่งออกยาง และเงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร มาหมุนซื้อต้นกล้ายางฯ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) คนไต่สวนคดีนี้มองว่า ขัดกฎหมายกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง
แต่ผลอย่างที่เห็น 2 เสียงข้างน้อย ย่อมพ่ายเสียงข้างมาก
สำหรับประเด็นที่ยังคลางแคลงใจ คือ หลักฐาน คตส. พบการถือหุ้นไขว้ของบริษัทผู้เข้าประกวดราคา
ซึ่งประกอบด้วย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด ผู้ชนะ บริษัท รีสอร์ทแลนด์ จำกัด และบริษัท เอกเจริญการเกษตร จำกัด ปรากฎข้อเท็จจริงว่า กรรมการบางคนในสามบริษัท ถือหุ้นไขว้กัน แต่ศาลไม่รับฟังว่าผิด เพราะเชื่อตามความเห็นของอัยการสูงสุด และกรมบัญชีกลาง ที่ตีความแล้วว่า การถือหุ้นไม่ถึง 25 % ผู้ถือหุ้นนั้นไม่สามารถครอบงำบริษัทได้ ? ความหมายคือ มีการถือหุ้นไขว้จริง แต่ไม่ส่งผลอะไร...
ประเด็นอีกหลายประเด็นที่น่าศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่คิดจะเข้าประมูลกับหน่วยงานของรัฐ ห้ามพลาดในการเรียนรู้พฤติกรรม หากพวกท่านที่มีหุ้นไขว้ คิดจะร่วมกันเข้าประมูล ต้องทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นคดีความ...อย่างเป็นเอกฉันท์เหมือนคดีทุจริตกล้ายาง
อยากรู้ต้องรอคลิกเข้าไปโหลดอ่านรายละเอียดคำพิพากษาในเว็บไซต์ ศาลฎีกา ซึ่งมีคำพิพากษาส่วนตนทั้ง 9 คน ให้ดูดุลพินิจว่า ที่เห็นเหมือนกันนั้นมีถ้อยความอย่างไร
แถมท้ายไม่เกี่ยวกับคดีทุจริตกล้ายาง แต่เป็นผลสืบเนื่องคดีทุจริตสลากเลขท้าย 2 และ 3 ตัว หรือหวยบนดิน 30 กันยายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษา คดีหวยบนดินมีความคล้ายคดีทุจริตกล้ายางตรงที่มี “จำเลย” ยกเข่ง และเข่งใหญ่กว่า เพราะมี 47 คน และมี นช.(พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นจำเลยหมายเลข 1
วงในใกล้ชิดองค์คณะคดีทุจริตกล้ายาง พูดลอยมาให้ฟังประโยคหนึ่งน่าคิด
"สำนวนการไต่สวนสะท้อนให้เห็นว่า คตส.จินตนาการในการโยงความผิด"
ทั้งนี้ คดีทุจริตกล้ายาง จำเลย 44 คน ทุกคนมีส่วนกับการประมูลกล้ายางมากบ้างน้อยบ้าง ต่างกัน แต่ คตส.รวบดึงมาให้ศาลลงโทษในอัตราเดียวกัน แล้วถ้าหากศาลฎีกาฯ องค์คณะคดีหวยบนดิน เกิดมีหลักพิเคราะห์ข้อเท็จจริงผลการไต่สวน คตส.ไม่ต่างจากคดีทุจริตกล้ายางฯ เล่าอะไรจะเกิดขึ้น
นี่ยังไม่นับรวมว่า คงจะมีจำเลยคดีหวยบนดินบางคน ลองเหลี่ยมเดียวกับ อดิศัย โพธารามิก ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาในวันประชุมลงมติทำคำพิพากษา 30 กันยายน เพื่อให้องค์คณะผู้พิพากษาลงมติ แต่อ่านไม่ได้ และต้องเลื่อนออกไป 1 เดือน
เพื่อหวังจะโปรยแป้ง ขูดเสาศาลฎีกาหาเลขที่ออกในคดีหวยกันให้สนั่นเมือง ซ้ำรอยเดิมทุจริตกล้ายาง.
มติที่ 1 ประเด็นเนวิน ชิดชอบ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ผู้ริเริ่มโครงการกล้ายาง ไม่ผิด...!?!
ดูจะเป็นมติคำพิพากษาที่ฮือฮามาตลอด 1 เดือน หลังจากศาลต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาในนัดแรกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ออกมาเป็นวันที่ 21 กันยายน เพราะเลขที่ออกตรงเผง มติ 8 ต่อ 1 เสียงเห็นว่า เนวิน ไม่มีความผิดจริงๆ
ใครเป็นใครใน 8 ต่อ 1 เสียง
เสียงผู้พิพากษาข้างน้อยเพียงหนึ่งเดียว คนนั้นคือ
มนัส เหลืองประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกมาเป็นองค์คณะแทน ประทีป ปิติสันต์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่ออกจากองค์คณะไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสศาลอื่นที่มิใช่ศาลฎีกา
ส่วนองค์คณะที่เหลือ 8 เสียงซึ่งโหวตให้ เนวินรอด ประกอบด้วย บุญรอด ตันประเสริฐ ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา (เจ้าของสำนวน) ชาลี ทัพภวิมล เกษม วีรวงศ์ สุรภพ ปัทมะสุคนธ์ พรเพชร วิชิตชลชัย รัตน กองแก้ว ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา วิชา มั่นสกุล และ จรัส พวงมณี ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา
มติ 8 ต่อ 1 เสียง ยกฟ้อง เนวิน ดูจะเป็นเครื่องตอกย้ำว่า เป็นเล่ห์ของ “เสื้อน้ำเงิน” ที่หาทางเจาะความลับ
นับตั้งแต่เลือกให้ อดิศัย โพธารามิก อดีตรมว.พาณิชย์ มอบทนายความยื่นคำร้อง ขอเลื่อนฟังคำพิพากษาโดยอ้างกำลังรักษาตัวอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ศาลต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2552 ออกไปอีก 1 เดือน ทั้งนี้การมายื่นคำร้องขอเลื่อนในวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษามี เจตนา จะให้องค์คณะผู้พิพากษาประชุมเพื่อลงมติคำพิพากษา
เพราะนักกฎหมายทุกคนที่อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น ทราบดีว่า ตามวิธีพิจารณาคดีของศาลนั้น เมื่อนัดคู่ความฟังคำพิพากษาแล้ว ศาลจะต้องทำคำพิพากษาให้เสร็จพร้อมอ่าน แม้ในวันนัดอ่านเกิดมีเหตุให้ต้องเลื่อนการอ่านออกไปก็ตาม
การเจตนาให้ศาลประชุม แต่อ่านไม่ได้ จึงย่อมมีเป้าประสงค์ให้มติออก และแสวงโอกาสเจาะคำพิพากษา และดูจะสมประสงค์ เพราะยังไม่ทันพ้น 24 ชม.หลังเลื่อนคำพิพากษา เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม มติ 8 ต่อ1
ก็กระหึ่มเมือง แบบสั่งโต๊ะจีนเลี้ยงล่วงหน้า ค่ำวันที่ 21 กันยายน
หากจะปฏิเสธว่า 8 ต่อ 1 เป็นการเดา ก็ต้องบอกว่าเก่งกล้าสามารถโดยแท้...แน่หรือ!! เพราะปกติการคาดเดาคำพิพากษาของศาลยุติธรรมฟันธงกันได้อย่างเก่ง “ยกฟ้อง” หรือ “จำคุก” เพราะไม่ใช่ตุลาการในระบบศาลรัฐธรรมนูญที่มติหลุดกันประจำ
ผลคดีทุจริตกล้ายาง จึงนับเป็นเรื่องท้าทายการตรวจสอบหา “รูรั่วในรั้วศาลฎีกา” เพราะอย่างน้อยในประวัติศาสตร์ศาลยุติธรรม เคยมีผู้พิพากษาศาลฎีกาถูกสอบสวน และโดนไล่ออกจากราชการ เพราะจงใจให้ “คำพิพากษาศาลฎีการั่ว” มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ท่าทีจำเลยยกเข่ง 43 คน เดินทางมาฟังคำพิพากษานัดแรกในวันที่ 17 สิงหาคม มันก็สะท้อนให้เห็นว่า ความจริงแล้วคำพิพากษายกฟ้องแบบนี้จำเลยทราบมาก่อนวันที่ 17 สิงหาคม หรือไม่ ?
เพราะเป็นเรื่องผิดปกติมากที่จำเลยพร้อมเพรียงกันเดินทางมาฟังคำพิพากษาโดยไม่หนีตั้งหลัก !! และในวันที่ 21 กันยายน ทั้งหมดก็ยังคงมาพร้อมเพรียงกัน โดยไม่มีใครลูกเล่น ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษา ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้แน่ชัดในผลคำพิพากษามากเข้าไปอีก ..
ปรากฎการณ์นี้ จึงทำให้น่าใจหายในความน่าเชื่อถือแก่สังคมไทย
กลับมาที่การลงมติ ในคดีนี้ยังมีอีก 1 ประเด็นน่าสนใจ นั่นคือ การลงความเห็นว่า เนวิน และ “ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ไม่มีความผิดฐานร่วมกันชงโครงการกล้ายางฯ ขัดกฎหมาย โดยประเด็นนี้องค์คณะผู้พิพากษามี มติ 7 ต่อ 2 เสียง
สำหรับเสียงข้างน้อย ชัดเจนว่าเป็น มนัส เหลืองประเสริฐ เพราะยืนหยัดว่าเนวิน ผิด อีกท่านหนึ่งคือ พรเพชร วิชิตชลชัย โดยสองผู้พิพากษาเห็นว่า อธิบดีฉกรรจ์เป็นผู้ก่อ หรือชงโครงการให้เนวิน ใช้เงินค่าธรรมเนียมการส่งออกยาง และเงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร มาหมุนซื้อต้นกล้ายางฯ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) คนไต่สวนคดีนี้มองว่า ขัดกฎหมายกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง
แต่ผลอย่างที่เห็น 2 เสียงข้างน้อย ย่อมพ่ายเสียงข้างมาก
สำหรับประเด็นที่ยังคลางแคลงใจ คือ หลักฐาน คตส. พบการถือหุ้นไขว้ของบริษัทผู้เข้าประกวดราคา
ซึ่งประกอบด้วย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด ผู้ชนะ บริษัท รีสอร์ทแลนด์ จำกัด และบริษัท เอกเจริญการเกษตร จำกัด ปรากฎข้อเท็จจริงว่า กรรมการบางคนในสามบริษัท ถือหุ้นไขว้กัน แต่ศาลไม่รับฟังว่าผิด เพราะเชื่อตามความเห็นของอัยการสูงสุด และกรมบัญชีกลาง ที่ตีความแล้วว่า การถือหุ้นไม่ถึง 25 % ผู้ถือหุ้นนั้นไม่สามารถครอบงำบริษัทได้ ? ความหมายคือ มีการถือหุ้นไขว้จริง แต่ไม่ส่งผลอะไร...
ประเด็นอีกหลายประเด็นที่น่าศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่คิดจะเข้าประมูลกับหน่วยงานของรัฐ ห้ามพลาดในการเรียนรู้พฤติกรรม หากพวกท่านที่มีหุ้นไขว้ คิดจะร่วมกันเข้าประมูล ต้องทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นคดีความ...อย่างเป็นเอกฉันท์เหมือนคดีทุจริตกล้ายาง
อยากรู้ต้องรอคลิกเข้าไปโหลดอ่านรายละเอียดคำพิพากษาในเว็บไซต์ ศาลฎีกา ซึ่งมีคำพิพากษาส่วนตนทั้ง 9 คน ให้ดูดุลพินิจว่า ที่เห็นเหมือนกันนั้นมีถ้อยความอย่างไร
แถมท้ายไม่เกี่ยวกับคดีทุจริตกล้ายาง แต่เป็นผลสืบเนื่องคดีทุจริตสลากเลขท้าย 2 และ 3 ตัว หรือหวยบนดิน 30 กันยายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษา คดีหวยบนดินมีความคล้ายคดีทุจริตกล้ายางตรงที่มี “จำเลย” ยกเข่ง และเข่งใหญ่กว่า เพราะมี 47 คน และมี นช.(พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นจำเลยหมายเลข 1
วงในใกล้ชิดองค์คณะคดีทุจริตกล้ายาง พูดลอยมาให้ฟังประโยคหนึ่งน่าคิด
"สำนวนการไต่สวนสะท้อนให้เห็นว่า คตส.จินตนาการในการโยงความผิด"
ทั้งนี้ คดีทุจริตกล้ายาง จำเลย 44 คน ทุกคนมีส่วนกับการประมูลกล้ายางมากบ้างน้อยบ้าง ต่างกัน แต่ คตส.รวบดึงมาให้ศาลลงโทษในอัตราเดียวกัน แล้วถ้าหากศาลฎีกาฯ องค์คณะคดีหวยบนดิน เกิดมีหลักพิเคราะห์ข้อเท็จจริงผลการไต่สวน คตส.ไม่ต่างจากคดีทุจริตกล้ายางฯ เล่าอะไรจะเกิดขึ้น
นี่ยังไม่นับรวมว่า คงจะมีจำเลยคดีหวยบนดินบางคน ลองเหลี่ยมเดียวกับ อดิศัย โพธารามิก ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาในวันประชุมลงมติทำคำพิพากษา 30 กันยายน เพื่อให้องค์คณะผู้พิพากษาลงมติ แต่อ่านไม่ได้ และต้องเลื่อนออกไป 1 เดือน
เพื่อหวังจะโปรยแป้ง ขูดเสาศาลฎีกาหาเลขที่ออกในคดีหวยกันให้สนั่นเมือง ซ้ำรอยเดิมทุจริตกล้ายาง.