เครือข่ายใช้สมุนไพร ร้อง “รสนา” จี้รัฐทบทวนระเบียบกีดกัน ขรก.เบิกเงินค่ายาสมุนไพร เอื้อประโยชน์ให้ยาแผนปัจจุบันมากกว่า
ที่รัฐสภา ตัวแทนเครือข่ายส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรแห่งประเทศไทย นำโดย ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบ เรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เพื่อให้ตรวจสอบการออกระเบียบของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ที่เป็นการเลือกปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ภญ.ผกากรอง กล่าวว่า ตามที่กรมบัญชีกลางได้ออกหนังสือการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายค่ายาสมุนไพรให้เบิกจ่ายเฉพาะรายการยาสมุนไพรที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติฉบับปัจจุบันเท่านั้น ให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. 2552 ทางเครือข่ายเห็นว่าการออกข้อกำหนดดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติต่อยาสมุนไพรและเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับยาแผนปัจจุบัน เช่น สมุนไพรเพชรสังฆาตที่รักษาโรคริดสีดวงทวาร แคปซูลตกวันละ 11 บาท ซึ่งเป็นยานอกบัญชียาหลัก ซึ่งหากใช้ระเบียบดังกล่าวผู้ป่วยไม่สามารถเบิกได้ โดยแพทย์จะสั่งยาไดออสมินซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายต่อวัน 22-26 บาท เครือข่ายจึงขอให้มีการทบทวนระเบียบดังกล่าว
ด้าน น.ส.รสนา กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯได้รับเรื่องไว้โดยจะเชิญกรมบัญชีกลางมาชี้แจงถึงการออกระเบียบดังกล่าว ซึ่งคิดว่าขัดนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้สมุนไพร 5 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายยา ซึ่งจากข้อมูลการใช้ยาของประเทศไทยในปี 2550 พบว่ายาแผนปัจจุบันมีมูลค่าถึง 1 แสนล้านบาท ขณะที่สมุนไพรมีเพียง 2 หมื่นล้านบาทหรือคิดเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่รัฐบาลจะใช้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ตนขอแค่รัฐบาลใช้เพียง 2 หมื่นล้าน ทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ เพื่อมาส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทย ทั้งการปลูก พัฒนาพันธุ์ และให้เกิดการใช้สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วยังสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงด้วย
ที่รัฐสภา ตัวแทนเครือข่ายส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรแห่งประเทศไทย นำโดย ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบ เรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เพื่อให้ตรวจสอบการออกระเบียบของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ที่เป็นการเลือกปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ภญ.ผกากรอง กล่าวว่า ตามที่กรมบัญชีกลางได้ออกหนังสือการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายค่ายาสมุนไพรให้เบิกจ่ายเฉพาะรายการยาสมุนไพรที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติฉบับปัจจุบันเท่านั้น ให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. 2552 ทางเครือข่ายเห็นว่าการออกข้อกำหนดดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติต่อยาสมุนไพรและเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับยาแผนปัจจุบัน เช่น สมุนไพรเพชรสังฆาตที่รักษาโรคริดสีดวงทวาร แคปซูลตกวันละ 11 บาท ซึ่งเป็นยานอกบัญชียาหลัก ซึ่งหากใช้ระเบียบดังกล่าวผู้ป่วยไม่สามารถเบิกได้ โดยแพทย์จะสั่งยาไดออสมินซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายต่อวัน 22-26 บาท เครือข่ายจึงขอให้มีการทบทวนระเบียบดังกล่าว
ด้าน น.ส.รสนา กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯได้รับเรื่องไว้โดยจะเชิญกรมบัญชีกลางมาชี้แจงถึงการออกระเบียบดังกล่าว ซึ่งคิดว่าขัดนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้สมุนไพร 5 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายยา ซึ่งจากข้อมูลการใช้ยาของประเทศไทยในปี 2550 พบว่ายาแผนปัจจุบันมีมูลค่าถึง 1 แสนล้านบาท ขณะที่สมุนไพรมีเพียง 2 หมื่นล้านบาทหรือคิดเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่รัฐบาลจะใช้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ตนขอแค่รัฐบาลใช้เพียง 2 หมื่นล้าน ทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ เพื่อมาส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทย ทั้งการปลูก พัฒนาพันธุ์ และให้เกิดการใช้สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วยังสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงด้วย