xs
xsm
sm
md
lg

เล่าเรื่องเบื้องลึกของ วีระ สมความคิด!

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

กรณีที่นายวีระ สมความคิด ได้นำประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ ไปทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 19 -20 กันยายน 2552 นั้น ได้ส่งผลคุณูปการต่อประเทศชาติได้หลายประการ

ประการแรก ได้ทำให้สื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ฟังคำประกาศจากประชาชนคนไทยที่รักชาติ ประณามการรุกล้ำดินแดนไทยจากฝ่ายกัมพูชา และประณามองค์การยูเนสโก ที่ไร้จริยธรรมพยายามกระทำผิดละเมิดอธิปไตยโดยไม่สนใจคำทักท้วงของคนไทย ในกรณีพยายามนำปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้ฝ่ายกัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ตลอดจนแสดงเจตนารมณ์ที่จะขัดขวางและต่อต้านชนชาติอื่นๆ ที่จะมาละเมิดอธิปไตยไทยเข้าบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวในทุกวิถีทาง

ถือได้ว่าเป็นแถลงการณ์ในการรักษาดินแดนและอธิปไตยไทยครั้งแรกที่ได้ประกาศก้องไปทั่วโลกยิ่งกว่ารัฐบาลใดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา องค์การยูเนสโก ที่จะพยายามขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างแน่นอน

ประการที่สอง ได้ทำให้เกิดการเปรียบเทียบในวันเดียวกันอย่างชัดเจนว่ากลุ่มคนเสื้อแดงพยายามต่อสู้เพื่อช่วยนักโทษชายทักษิณและผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองของระบอบทักษิณ ในขณะที่ ประชาชนอีกกลุ่มซึ่งนำโดยนายวีระ สมความคิดได้ทำหน้าที่ในการรักษาอธิปไตยและดินแดนไทยเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ

ประการที่สาม ได้เป็นการประจานตบหน้ารัฐบาลและทหารตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ได้บกพร่องและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
จนเกิดการรุกล้ำและยึดครองแผ่นดินไทย จนต้องทำให้ประชาชนมือเปล่าต้องมาทำหน้าที่แทน อันเป็นการกดดันให้รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องตัดสินใจในการรักษาอธิปไตยอย่างเร่งด่วน

ประการที่สี่ ได้ทำให้เกิดความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช หรือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างก็ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนที่มาทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของดินแดนไทยได้ อีกทั้งยังคงปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐจัดประชาชนพร้อมด้วยอาวุธมาทำร้ายประชาชนที่มาใช้สิทธิและทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเหมือนกัน

ประการที่ห้า ได้ทำให้เกิดความชัดเจนว่าใครมีหน้าที่ผลักดันชาวกัมพูชาให้ออกไปจากดินแดนไทย เพราะที่ผ่านมาฝ่ายทหารและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้อ้างว่าเป็นนโยบายของผู้นำประเทศที่ไม่ต้องการผลักดันนั้น ในที่สุดกองทัพบกก็ได้อ้างว่าเป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกที่ได้ประกาศมาเป็นชาติแล้ว มาเป็นข้ออ้างที่ไม่ให้ประชาชนชาวไทยที่นำโดยนายวีระ สมความคิดเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวในวันที่ 19 กันยายน 2552 ในขณะเดียวกันกลับปล่อยให้ประชาชนชาวกัมพูชา ทหารกัมพูชา และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทั้งถนน วัด และบ้านเรือนอยู่ในดินแดนไทยต่อไป ดังนั้นการอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่กฎอัยการศึก จึงต้องถือเป็นความบกพร่องของกองทัพแต่เพียงฝ่ายเดียว

โดยเฉพาะในเช้าวันที่ 19 กันยายน 2552 ได้ปรากฏข่าวเป็นคำพูดของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกว่า “พื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนไทย”


การกล่าวหาว่านายวีระ สมความคิด “คลั่งชาติ” นั้นดูจะไม่มีความเป็นธรรมนัก เพราะการเคลื่อนไหวของนายวีระ สมความคิด พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และคณะประชาชนผู้รักชาตินั้น ได้ทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทยในการปกป้องรักษาชาติ ผืนแผ่นดินไทย และผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งได้บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 70 และ 71 เพราะรัฐบาลและกองทัพบกไม่ทำหน้าที่ของตัวเองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77

ย้ำว่าเรื่องการรักษาอธิปไตย ดินแดน และผลประโยชน์ของชาติตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่ “สิทธิ” แต่เป็น “หน้าที่” ของปวงชนชาวไทย!

เดิมทีเรื่องนี้ฝ่ายกองทัพและรัฐบาลเป็นฝ่ายที่ไม่สนใจ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พันธมิตรฯ) ซึ่งได้ออกแถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลและทหารทำหน้าที่ในการผลักดันการรุกล้ำและการยึดครองดินแดนไทยโดยฝ่ายกัมพูชาหลายครั้ง รัฐบาลกลับเพิกเฉยเหมือนไม่เคยได้ยินอะไร จริงหรือไม่?

ภาคีเครือข่ายผู้ติดตามกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งนำโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลหยุดร่างกรอบการเจราระหว่างไทย-กัมพูชา ที่จะขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะเห็นว่าการถอนทหารทั้งไทยและกัมพูชาออกจากพื้นที่รอบปราสาทและวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา โดยที่ยังมีชุมชนและสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายกัมพูชาอยู่นั้น ราชอาณาจักรไทยย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบและอาจต้องเสียดินแดนไปตลอดกาล รัฐบาลก็ออกมาบอกว่าไทยยังไม่เสียดินแดนเพราะมีการทำหนังสือประท้วงไปแล้วและมีทหารตรึงรอบพื้นที่

นั่นจึงเป็นที่มาที่ นายวีระ สมความคิด หนึ่งในแกนนำของภาคีเครือข่ายผู้ติดตามกรณีปราสาทพระวิหาร เสนอตัวเองที่จะเดินทางเสี่ยงชีวิตไปพิสูจน์จับโกหกรัฐบาลว่า ดินแดนไทยได้ถูกรุกล้ำและถูกยึดครองจริงหรือไม่ โดยได้มีประชาชนผู้รักชาติเดินทางไปด้วย พร้อมๆ กับสื่อที่ยอมเสี่ยงอันตราย ทำภารกิจนี้เพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น คือ ASTV และ FVTV (ของชาวสันติอโศก) เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552


การพิสูจน์ในครั้งนั้นได้ปรากฏภาพอย่างชัดเจนว่า มีการรุกล้ำและยึดครองพื้นที่หลายจุด ทั้งวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา บันไดทางขึ้นตัวปราสาท ยอดภูมะเขือ และทางเดินตลอดเส้นทางก็เต็มไปด้วยทหารกัมพูชา มีการสร้างถนนจากบ้านโกมุย เข้ามาผ่านวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา ไปยังตัวปราสาทต่อจากรัฐบาลนายสมัคร โดยไม่ต้องผ่านประตูทางขึ้นฝั่งไทยอีกต่อไป วันนี้พื้นที่ดังกล่าวคนไทยทั่วไปเข้าไปไม่ได้แล้ว

เมื่อเป็นการเปิดข้อมูลผ่าน ASTV และ FMTV ข้อมูลและหลักฐานดังกล่าวอยู่เพียงกลุ่มคนเล็กๆ รัฐบาลจึงย่ามใจและเพิกเฉยต่อไป และยังคงพูดผ่านฟรีทีวีให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อไปว่าประเทศไทยยังไม่เสียดินแดน และเป็นที่มาทำให้ นายวีระ สมความคิด ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประกาศขีดเส้นตายให้เวลารัฐบาลในการผลักดันชาวกัมพูชาให้ออกไปจากพื้นที่ภายใน 2 สัปดาห์ มิเช่นนั้นก็จะอาศัยบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71 นำประชาชนไปทวงคืนเขาพระวิหารด้วยตนเองในวันที่ 19 กันยายน 2552

ซึ่งปรากฏว่าประชาชนและผู้ชม ASTV และ FMTV ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยผู้รักและเป็นห่วงชาติได้มีความสนใจในกิจกรรมดังกล่าวจำนวนมาก
และเมื่อกระแสนี้ไปถึงภาคอีสาน ก็ได้ปรากฏว่ามีประชาชนหลายจังหวัดในภาคอีสานที่แม้ไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแต่เดิม ก็สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย

การเคลื่อนไหวในครั้งนี้นายวีระ สมความคิด เป็นผู้นำมวลชน พร้อมกับตั้งกลุ่มการเคลื่อนไหวครั้งนี้ในนามว่า “ภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร”

แม้ว่าการริเริ่ม การวางแผน และการตัดสินใจทั้งหมด จะไม่มีการปรึกษาหรือขอมติจาก 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ก็ถือเป็นเอกสิทธิ์ของนายวีระ สมความคิด ในฐานะเป็นผู้นำองค์กรแนวร่วมกับพันธมิตรฯ ที่จะตัดสินใจทำหน้าที่ตามที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71 เองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเป้าหมายเดียวกันในการที่จะปกป้องรักษาดินแดนและอธิปไตยแล้ว ต้องถือเป็นการอาสาทำหน้าที่ที่มีความเสี่ยงอันตรายและเสียสละอย่างยิ่ง ซึ่งสมควรจะต้องได้รับการคารวะและให้กำลังใจ


นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ ASTV และ FMTV ยังคงสนับสนุนด้วยการติดตามทำข่าวคณะดังกล่าวต่อไป พร้อมรายงานข่าวและภาพในทุกสถานการณ์ ชุมชนศีรษะอโศกของสันติอโศก และกองทัพธรรมมูลนิธิก็ให้ความช่วยเหลือในหลายด้าน ทั้งที่พักอาศัย และการเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ประธานคณะกรรมการพลังแผ่นดินของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ทีมงานคนสำคัญของกองทัพธรรมมูลนิธิก็ได้เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าวด้วย

นายวีระ สมความคิด ได้บอกผ่านสื่อไปหลายครั้งเป็นการล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2552 เป็นต้นมา ถึงกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากลจากการใช้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมชาวบ้านมาลอบและรุมทำร้ายประชาชนผู้รักชาติเหมือนเมื่อปีที่แล้ว ความพยายามจะไล่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารออกนอกพื้นที่เพราะอำนวยความสะดวกให้กับพันธมิตรฯ ความพยายามในการปิดปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร โรงแรม เพื่อกลั่นแกล้งกลุ่มประชาชนผู้รักชาติ เพื่อบอกให้รัฐบาลหยุดกระทำอันสกปรกเหล่านั้นเสีย แต่รัฐบาลก็เพิกเฉยอีก

นายวีระ สมความคิด ยังได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในการที่จะไม่นำประชาชนไปในพื้นที่นั้นด้วยการ ให้รัฐบาลผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกโดยทันที หรืออย่างน้อยหากยังทำไม่ได้ก็ให้ประกาศมาให้ชัดเจนว่าจะใช้เวลากี่วันในการผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากดินแดนไทย และพร้อมที่จะออกโทรทัศน์พร้อมกับคนในรัฐบาลเพื่อพิสูจน์ชี้แจงกับประชาชนให้รับทราบข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดโดยคนในรัฐบาลฝ่ายเดียว รัฐบาลก็เพิกเฉยอีก

การเดินทางทวงคืนปราสาทพระวิหารจึงต้องเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2552 คณะขบวนรถเกือบ 17- 18 กิโลเมตร ของประชาชนผู้รักชาติได้ติดเป็นแนวยาวก่อนถึงอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นอาวุธทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว ในทางตรงกันข้ามกลับปล่อยให้ประชาชนอีกกลุ่มที่จัดมาโดยเจ้าหน้าที่รัฐเองพกพาอาวุธแทบทุกประเภทเข้าทำร้ายประชาชนจนได้รับบาดเจ็บหลายคน และยิงหนังยางจนรถกระจกแตกได้รับความเสียหายกว่า 200 คัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่อาจเรียกว่าพันธมิตรฯ ปะทะชาวบ้าน แต่ต้องเรียกว่าเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจจัดอันธพาลรุมลอบยิงทำร้ายประชาชนผู้รักชาติที่มาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ!

เป็นบรรยากาศเดียวกันกับที่ม็อบคนเสื้อแดงเคยมาบุกทำร้ายพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานฯ เป็นบรรยากาศเดียวกันกับที่ตำรวจมาบุกทำร้ายประชาชนในเวทีพันธมิตรฯ และเป็นบรรยากาศเดียวกับการทำร้ายประชาชนและทำลายเวทีของพันธมิตรฯ ในหลายจังหวัดเมื่อปีที่แล้ว

การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เคยให้สัมภาษณ์ เหมือนกับที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ว่า “เขาพระวิหาร” เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของโลกเหมือนกัน และมีเจ้าหน้าที่รัฐจัดประชาชนมาทำร้ายพันธมิตรฯ เหมือนกัน หรือแสดงทัศนคติว่าพันธมิตรฯชอบความรุนแรงเหมือนกันนั้น ย่อมทำให้ประชาชนคนไทยผู้รักชาติสงสัยได้ว่า เหตุใดวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เดินตามรอยรัฐบาลทักษิณในเรื่องนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ได้แสดงจุดยืนคัดค้านอย่างเข้มแข็งมาตลอดในตอนที่เป็นฝ่ายค้าน

รัฐบาลต่างหากที่ควรจะใช้การเคลื่อนไหวของประชาชนครั้งนี้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้เรื่องเขาพระวิหารทั้งกับกัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อทวงคืนดินแดนไทยกลับคืนมาจึงย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศ

ส่วนเหตุการณ์การทำร้ายพันธมิตรฯ ครั้งนี้ ต้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงความรับผิดชอบมากกว่าพูดแค่ว่าเสียใจโดยไม่สนใจข้อเรียกร้อง และไม่คุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้รักชาติได้เลย

กำลังโหลดความคิดเห็น