xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องคุณวีระ กับการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

วันนี้ ขอพูดสองเรื่อง คือเรื่องคุณวีระ สมความคิดนำมวลชนบุกผามออีแดง กับเรื่องภารกิจ “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ของพวกเราชาวพันธมิตรฯ แม้จะเป็นคนละเรื่องแต่ก็เชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ตนจนปลาย ทั้งการเข้าร่วมของมวลชนชาวพันธมิตรฯ และผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

1. เรื่องคุณวีระ สมความคิดนำมวลชนบุกผามออีแดง

การยกขบวนมวลชนขึ้นผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร นำโดยคุณวีระ สมความคิด เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน ที่ผ่านมา โดยภาพรวมประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ นั่นคือ สามารถประกาศเจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทยให้โลกรู้ ว่าเขตแดนรอบปราสาทพระวิหารเป็นของประเทศไทย มิอาจให้ใครอื่นเข้ายึดครองได้ ปัจจุบันมีกำลังทหารของเขมรและชาวเขมรตั้งประจำอยู่ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเป็นชนวนเหตุแห่งกรณีพิพาทที่มีอยู่และที่จะตามมา องค์การยูเนสโกไม่อาจเพิกเฉยด้วยการอนุมัติให้มีการพัฒนาพื้นที่รอบๆ ประสาทพระวิหาร เพราะมันขัดกับหลักการที่องค์การยูเนสโกยึดถือปฏิบัติอยู่อย่างชัดเจน

เรื่องแบบนี้รัฐบาลไม่ทำ ประชาชนจึงต้องพากันลุกขึ้นมา “ทำเอง”

แม้ในทางปฏิบัติ การประกาศเจตนารมณ์ดังกล่าวจะกระทำโดยคุณวีระ สมความคิดกับกลุ่มตัวแทนมวลชนเท่านั้น อันเนื่องจากเหตุผลของฝ่ายทหารที่ประกาศกฎอัยการศึกในเขตอุทยานแห่งชาติผามออีแดง แต่ผลที่เกิดขึ้น คือทั่วโลกรับรู้เจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทยผ่านสื่อของไทยและของต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ย่อมเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จนี้ได้ ซึ่งมวลชนชาวไทยผู้รักและหวงแหนในอธิปไตยของชาติจะสามารถใช้เป็นหลักฐาน สำหรับดำเนินการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ต่อไป โดยนัยก็คือ เพื่อต่อต้านการแสวงประโยชน์ของกลุ่มนักการเมืองในสังกัดอำนาจการเมืองเก่า ซึ่งยังมีแนวโน้มจะผลัดกันขึ้นมาใช้กรณีเขาพระวิหารต่อรองผลประโยชน์กับฝ่ายเขมร

พอสรุปได้ว่า การเคลื่อนไหวมวลชนที่นำโดยคุณวีระ สมความคิดครั้งนี้ อยู่ในกรอบการต่อสู้กับกลุ่มการเมืองเก่า ทั้งที่เป็นรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ ในทางการเมืองจึงมีผลดีต่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “เรา” ทุกฝ่ายจะต้องให้การสนับสนุน

“เรา” ในที่นี้ ก็คือชาวพันธมิตรฯ ทุกผู้ทุกนาม ทุกเพศทุกวัย

ในเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม เป็นเรื่องที่คุณวีระ สมความคิดกับกลุ่มแกนนำมวลชนที่นำการต่อสู้ในเรื่องนี้ต้องทำการสรุป เพื่อให้ได้บทเรียนที่ถูกต้องทั้งด้านดีและด้านร้าย ด้านบวกและด้านลบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ยกระดับคุณภาพ ประสิทธิภาพการทำงาน ในการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในวันข้างหน้า

ขณะที่ “เรา” ทุกฝ่ายจะต้องร่วมเก็บรับบทเรียนเหล่านี้ ศึกษาและทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่การรับรู้ที่เป็นเอกภาพกัน ในเรื่องผลดีผลเสียต่อการเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่

ส่วนเสียงวิจารณ์ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ยิ่งการโจมตีของบางฝ่ายที่จ้องทำลายภาพลักษณ์มวลชนผู้รักชาติ โดยเฉพาะคือมวลชนชาวพันธมิตรฯ ด้วยแล้ว เราก็แทบจะห้ามเขาไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องไปห้าม สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือ นอกจากทำการตอบโต้กับการให้ร้ายป้ายสีบิดเบือนต่างๆ พอสมน้ำสมเนื้อแล้ว จงหันหน้าเข้าหาพวกเรากันเอง แลกเปลี่ยนข้อมูล นำเสนอแนวคิด และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน หากมีสิ่งใดเกินเลยไปก็ขอโทษและให้อภัยกัน

หลังจากนั้นทุกคนก็เร่งทำงานในหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด

เป็นนักรบผู้กล้าของมวลมหาประชาชนต่อไป

2. เรื่องภารกิจ “เปลี่ยนแปลง” ประเทศไทย

มาถึงวันนี้ คงไม่มีใครในหมู่ “เรา” ชาวพันธมิตรฯ ที่ยังกังขาต่ออุดมการณ์การเมืองใหม่ และการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะสิ่งที่พวกเราชาวพันธมิตรฯ ได้แสดงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ 193 วันอันยิ่งใหญ่ ได้พิสูจน์ถึงจิตใจ อุดมการณ์ และท่วงทำนอง ที่จะเป็นหลักประกันให้การต่อสู้ทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งนี้ สามารถดำเนินไปได้จนประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

ผลที่หวังก็คือ ประเทศไทยสามารถก้าวพ้นจากวงจร (อุบาทว์) เดิมๆ เดินหน้าพัฒนาตนเองไปในทิศทางที่ดี ประเทศเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีมีสุขอย่างแท้จริง

ตามความเข้าใจของผม ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินมาถูกทางแล้ว ปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นสู่ความเป็นสถาบันการเมืองที่ทรงไว้ซึ่ง “ปัจจัยกำหนด” อย่างชัดเจน ดังที่ได้นำเสนอมาแล้วหลายแง่หลายมุม

การขับเคลื่อนของขบวนการฯ ภาคประชาชนครั้งนี้ นับว่าเป็นความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ ที่ประเทศไทยพยายาม “จูน” ตัวเองเข้าสู่กระแสหลักของความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติ เพียงแต่ว่า ผู้กระทำการ “จูน” ในอดีตที่ผ่านมา นับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ยังไม่พร้อมทางด้านความคิด อยู่ในฐานะ “ผู้ถูกกระทำ” มากกว่าเป็น “ผู้กระทำ”

ความเป็นผู้ถูกกระทำ หมายถึงความไม่พร้อมในทางความคิด ขาดปัญญาที่จะใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน เช่น คณะราษฎร์เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองได้แล้ว กลับไม่สามารถบริหารอำนาจได้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รวบอำนาจได้แต่ใช้อำนาจไม่ถูกทาง การต่อสู้ของนักเรียนนักศึกษาประชาชนเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ประชาชนไม่อาจกุมอำนาจได้ การต่อสู้กับคณะรสช.ของประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ไม่อาจสถาปนาอำนาจประชาชนได้ จนกระทั่งเมื่อมีรัฐบาลเสียงข้างมากในรัฐสภา ผู้นำรัฐบาลอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็กลับใช้อำนาจสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองเป็นสำคัญ

ทุกกลุ่มใช้อำนาจในอดีตล้วนแต่ตกเป็น “ผู้ถูกกระทำ” ไม่ทางใดทางหนึ่ง ทำให้การใช้อำนาจไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชน

การใช้อำนาจอย่างขาดปัญญาเช่นนี้เอง ที่ทำให้ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยต้องตกที่นั่งลำบาก วกวน เวียนวนอยู่กับเรื่องไร้สาระ ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส ไม่สามารถ “จูน” ตัวเองเข้าสู่กระแสหลักของสายธารวิวัฒนาการของมวลมนุษยชาติ ทั้งชาติมีแต่ความเจริญแบบเปลือกนอก ผิวเผิน ชีวิตคนไทยถูกบ่อนเซาะทำลายทุกรูปแบบ จนแทบจะไม่เหลือความเป็นคนอยู่แล้ว

“อำนาจกำหนด” ในอดีต จึงมีลักษณะตรงกันคือใช้อำนาจไปในทางมิชอบ ไม่เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

ตรงกันข้าม “อำนาจประชาชน” ที่กำลังโตวันโตคืน มุ่งก้าวไปสู่ความเป็น “อำนาจกำหนดใหม่” ต่อสู้เอาชนะ และสถาปนาตนเองเหนืออำนาจกำหนดเก่า เป็นอำนาจที่ชี้นำโดยปัญญา เมื่อได้อำนาจการบริหารประเทศ ก็จะแสดงบทบาทการใช้อำนาจอย่างเป็น “ผู้กระทำ “ในทันทีทันใด

การเมืองใหม่จึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง โดย “เรา” ชาวพันธมิตรฯ ทั้งหลายทั้งปวง จะช่วยกันทำให้ปรากฏเป็นจริง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอดีต
กำลังโหลดความคิดเห็น