ศูนย์ข่าวภาคอีสาน - วีระ”นำ ปชช.ทวงคืนเขาวิหารบาดเจ็บแจ้งจับม็อบจัดตั้งป่าเถื่อน“ภูมิซรอล” หลังกลับจากนำทัพอ่านแถลงการณ์ปชช.ทวงคืนแผ่นดินไทยลั่นผามออีแดง ประกาศก้องโลก 4.6 ตร.กม. เป็นของราชอาณาจักรไทย ย้อนศรจี้ "อนุพงษ์" ใช้กฎอัยการศึกขับไล้กลุ่มเขมรรุกล้ำแผ่นดินไทยออกจากพื้นที่ แฉผู้ว่าฯศรีสะเกษนำกลุ่มชาวบ้านจัดตั้งออกมาปะทะ "สุริยะใส"ย้ำจุดยืน 5 แกนนำตรงกัน ยันไม่ได้ลอยแพกลุ่มที่เคลื่อนไหว เผยเตรียมหารือวางแนวทางเคลื่อนไหวใหญ่
วานนี้ (20 ก.ย.) เวลา 11.15 น.กลุ่มคนไทยรักชาตินำโดยนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น และภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีเขาพระวิหาร พร้อมตัวแทนคนรักชาติและคณะสื่อมวลชนจำนวน 33 คน ได้เดินทางถึงด่านอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร จากนั้นได้ขึ้นรถของทหารที่จัดเตรียมไว้เพื่ออ่านคำแถลงการณ์ที่ "ผามออีแดง" เพื่อผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยมี พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 และทหาร 20 นายเป็นผู้นำขบวนขึ้นไป
**อ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินไทย
ทั้งนี้ นายวีระและเครือข่ายประชาชนทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร ได้อ่านแถลงการณ์ทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหารทั้ง 2 ฉบับ โดยฉบับแรกเป็นแถลงการณ์ประกาศเจตนารมณ์ทวงคืนดินแดนไทย ฉบับที่ 2 ประกาศให้ทั่วโลกทราบว่า ดินแดนรอบปราสาทพระวิหารเป็นของราชอาณาจักรไทย
เนื้อหาในแถลงการณ์ ระบุว่า "เราประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ ขอประกาศเจตนารมณ์ จัดตั้งเป็นภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหาร เพื่อบรรลุภารกิจของคนไทยทั้งประเทศดังต่อไปนี้ 1.ดำเนินการในทุกวิธีทางตามกรอบของกฎหมายเพื่อทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารกลับคืนมา ให้กลับมาเป็นของราชอาณาจักรไทยดังเดิม ทั้งในทางพฤตินัย และนิตินัย 2.ดำเนินการเอาผู้กระทำความผิดในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือสมรู้ร่วมคิดในการทำให้ดินแดนไทยต้องถูกลุกล้ำ หรือเสียดินแดนมาลงโทษทางกฎหมายจนถึงที่สุด ด้วยสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน ภาคีเครือข่ายทวงดินแดนไทยโดยรอบปราสาทพระวิหาร 20 ก.ย.2552"
“การประกาศเจตนารมณ์ของภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งเนื้อหาสำคัญทางเครือข่ายดังกล่าวเห็นว่าปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบอยู่ในเขตอธิปไตรยราชอาณาจักรไทย ตามแนวเขตสันปันน้ำซึ่งเป็นการปักปันเขตแดนระหว่างคณะทำงานร่วมของประเทศฝรั่งเศส และสยามประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2487 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสากล ดังนั้นกลุ่มภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหาร จึงขอประท้วงรัฐบาลกัมพูชา ที่มีการปล่อยให้ประชาชนและทหาร รวมถึงการมีการก่อสร้างถนนเข้ามาบริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ประชาชนชาวไทย จึงขอประกาศให้รัฐบาลกัมพูชา ออกไปจากดินแดนไทย
ดังนั้น การที่รัฐบาลประกาศพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารเป็นพื้นที่กฎอัยการศึก ทางเครือข่ายฯจึงขอเรียกร้องให้ทหารมีการผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่โดยรอบปราสาทด้วยตามกฎหมายความมั่นคง”
ทั้งนี้ เมื่ออ่านคำแถลงการณ์เสร็จทหารให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับลงมาทันที
นายวีระกล่าวภายหลังจากอ่านคำแถลงการณ์แล้วว่า "จะรอดูท่าทีรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร เพราะขณะนี้มีการประกาศกฎอัยการศึกของทหารอยู่ ผมขอย้ำกองทัพจะต้องดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ทันที เราจะรอดูและจะมีการประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง"
**ขีดเส้นผบ.ทบ.ไล่ผู้รุกล้ำดินแดน
นายวีระให้สัมภาษณ์หลังลงจากผามออีแดงอีกว่า เราไม่ใช่ผู้มาก่อสงครามอย่างที่หลายคนเข้าใจ การเดินทางมาของพวกเราไม่ใช่ผู้รุกราน แต่ผู้ที่รุกรานคือคนที่มารุกล้ำอธิปไตยของเรา นั่นคือฝ่ายกัมพูชาที่นำชาวบ้านและกำลังติดอาวุธมายึดครองแผ่นดินไทย และตลอดเวลาที่ผ่านมาทหารยืนยันตลอดว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นเขตแดนไทย มีเพียงกระทรวงต่างประเทศของไทยเท่านั้นบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนต้องยึดการเจรจาอย่างเดียว ซึ่งตนเห็นว่าหากเราไม่ผลักดันกัมพูชาออกไปก่อนจะเจรจาจะเสียเปรียบอย่างแน่นอน
นายวีระกล่าวต่ออีกว่า เครือข่ายประชาชนคนไทยรักชาติ ไม่ได้รับความสะดวกจากทหารในการขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินแดนรอบปราสาทเขาพระวิหาร โดยอ้างว่าต้องปฏิบัติตามกฎอัยการศึกอย่างเข้มงวด ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะอำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางขึ้นไปอ่านแถลงการณ์บนผามออีแดง
"เครือข่ายประชาชนผู้รักชาติเราไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย และทหารปฏิบัติตามกฎอัยการศึกอย่างเคร่งครัดแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน และต้องผลักดันประชาชนและทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรทันที โดยเราจะให้เวลาสักระยะหนึ่ง ถ้า ผบ.ทบ. ไม่ทำตามกฎอัยการศึก เครือข่ายประชาชนผู้รักชาติจะดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งจะมีมาตรการตอบโต้ต่อไป"
**ลั่นจัดการ จนท.ส่งคนมาทำร้าย
นายวีระยังได้ขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลทุกแขนงจากเหตุการณ์ปะทะกันกับชาวบ้านในพื้นที่ว่า ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ อยู่บนถนนหลวงไม่ได้ไปตีกับชาวบ้าน แต่ชาวบ้านที่ถูกจัดตั้งมาได้มาตีกลุ่มผู้ชุมนุมก่อนและใช้ปืนลูกซองยิง คนของเราถูกทำร้าย มีทั้งผู้หญิงและเด็ก เราจึงจำเป็นต้องป้องกันตัว ตนขอย้ำว่าถ้าไม่มีการจัดตั้งจะไม่มีการปะทะกันอย่างเด็ดขาด
"เราปฏิบัติตามกฎหมายมีรถตำรวจนำมาและได้เจราจากับผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ แต่ชาวบ้านไม่ยอมเจรจา ทั้งนี้ เราจะไปแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่ทำร้ายเรา เพราะมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายและมีรถยนต์ได้รับความเสียหายหลายสิบคัน ผมขอตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้น ผมจะแจ้งความดำเนินคดีตำรวจ และข้าราชการบางคนที่อยู่เบื้องหลังจัดตั้งคนมาทำร้ายเรา"
**แจ้งความจับคนทำร้ายผู้ชุมนุม
ต่อมานายวีระ และกลุ่มคนไทยรักชาติ ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 15 คน ที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกขว้างปาสิ่งของใส่ของกลุ่มวัยรุ่นและชายฉกรรจ์เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ไปแจ้งความกับ พ.ต.อ.วัฒนา เงินหมื่น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้ดำเนินคดีในข้อหาทำให้เสียทรัพย์และทำร้ายร่างกาย เนื่องจากมีรถของกลุ่มผู้ชุมนุมได้รับความเสียหายหลายคัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย
ขณะที่ พ.ต.อ.วัฒนา กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความไว้แล้วและจะเร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตนจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มที่ต่อไป
**แฉผู้ว่าฯตัวการจัดตั้งม็อบถ่อย
น.ส.อาภารัตน์ ชาติชุติกำจร แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯภูเก็ต กล่าวกรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มชาวบ้านกับกลุ่มพันธมิตรฯว่า การที่นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ออกมาระบุว่าเป็นการแสดงพลังของชาวบ้านในพื้นที่นั้น ตนขอให้ผู้ว่าฯหยุดพฤติกรรมตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จได้แล้ว เพราะทุกฝ่ายย่อมเห็นชัดเจนว่ากลุ่มชาวบ้านที่ผู้ว่าฯระบุนั้นเป็นกลุ่มมวลชนจัดตั้งของผู้ว่าฯศรีสะเกษเอง สังเกตได้จากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายฉกรรจ์และกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งมีอุปกรณ์ครบมือ โดยเฉพาะป้ายไวนิล เนื่องจากเกินศักยภาพที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถจัดหามาด้วยตนเองได้
"ทุกครั้งที่มีการรวมตัวของกลุ่มประชาชนผู้รักชาติเคลื่อนไหวเพื่อรักษาสิทธิอันชอบธรรมของแผ่นดินแม่เอาไว้ เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องจัดหากลุ่มมวลชนมาชน เพื่อหวังให้เกิดการปะทะขึ้นทุกครั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง พฤติกรรมของผู้ว่าฯศรีสะเกษครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน อ้างความเห็นของชาวบ้านว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความสงบแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น" น.ส.อาภารัตน์ กล่าว และว่า
ส่วนตัวเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯครั้งนี้ทุกคนรู้ดีว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เราเดินทางขึ้นไปไม่ได้หวังให้เกิดความรุนแรงใดๆ ขึ้น ทุกย่างก้าวของเราเดินไปด้วยหลักสงบ สันติ และอหิงสา มีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ว่าฯศรีสะเกษ จึงต้องนำกลุ่มมวลชนจัดตั้งมาปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯเพื่อให้เกิดความรุนแรง จนพี่น้องพันธมิตรฯได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในจำนวนนั้นมีทีมการ์ดภูเก็ต รวมอยู่ด้วย 2 คน พฤติกรรมดังกล่าวของผู้ว่าฯศรีสะเกษครั้งนี้ ย่อมชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความรักประเทศไทยของตนเองหรือไม่
**ใสยัน5แกนนำไม่ได้ทอดทิ้งวีระ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) กล่าวว่า แม้การเคลื่อนไหวของเครือข่ายประชาชนทวงคืนเขาพระวิหารจะไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวในนามมติของ 5 แกนนำพันธมิตรฯก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชนคนไทยตามรัฐธรรมนูญที่ต้องพิทักษ์และหวงแหนอธิปไตยของชาติ ซึ่งการเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญต้องได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ 5 แกนนำได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์และมีการสื่อสารกับประชาชนที่เคลื่อนไหวซึ่งส่วนใหญ่เป็นมวลชนที่เคยต่อสู้กับพันธมิตรฯ มาตลอด และมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหารุนแรงอะไร หากคนของรัฐไม่ไปจัดตั้งหรือบิดเบือนปลุกระดมมวลชนเข้ามาขัดขวางและใช้ความรุนแรงสกัดกั้นก็คงไม่เกิดความรุนแรงอะไร
ส่วนที่มีข่าวบางสำนักอ้างคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และตนทำนองว่าแกนนำลอยแพและออกตัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายวีระ สมความคิด และการเคลื่อนไหวครั้งนี้นั้น ไม่เป็นความจริงและไม่มีความขัดแย้งหรือแตกแยกกันอย่างที่ข่าวบางสำนักพยายามเสนอข่าว ตนได้สอบถามไปยัง พล.ต.จำลอง ท่านก็ปฏิเสธว่าไม่ได้สัมภาษณ์อย่างนั้น และตนได้พยายามแจ้งไปยังสำนักข่าวหลายแห่งเพื่อชี้แจงแต่บางสำนักข่าวก็ไม่ได้แก้ไขข่าวให้
**เผยเตรียมหารือเคลื่อนไหวใหญ่
"แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่มติ 5 แกนนำ แต่เครือข่ายพันธมิตรฯ ทั่วประเทศก็มีอิสระในการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และสาเหตุที่นายวีระ ออกมานำในเรื่องนี้ก็เพราะนายวีระ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเป็นคนที่สนใจติดตามเรื่องนี้เป็นพิเศษมาก่อน" นายสุริยะใส กล่าว และว่ากรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารนั้นจุดยืนของ 5 แกนนำ เป็นจุดยืนเดียวกับเครือข่ายประชาชนทวงคืนเขาพระวิหารที่นำโดยนายวีระ ซึ่งเห็นว่าชาวกัมพูชาได้รุกล้ำดินแดนไทยในพื้นที่บริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรและรัฐบาลรวมทั้งกองทัพจะต้องเร่งผลักดันชาวกัมพูชาออกไป พวกเราเห็นด้วยกับแนวทางเจรจาและไม่สนับสนุนแนวทางการทำสงคราม แต่รัฐบาลจะต้องชี้แจงกรอบเวลา และแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ไม่ใช่อ้างว่าอยู่ระหว่างเจรจาแต่ไม่มีความคืบหน้า ซ้ำร้ายการเจรจายังมีเงื่อนงำเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานเข้ามาปะปนอยู่ด้วย
"ยืนยันว่าทาง 5 แกนนำให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอดและจะหาทางเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อทวงคืนอธิปไตยของชาติกลับคืนมา ซึ่งเร็วๆ นี้คงจะมีการหารือกันในที่ประชุม 5 แกนนำถึงมาตรการและแนวทางในการเคลื่อนไหวใหญ่"
**มทภ.2ยันไม่กระทบสัมพันธ์2ปท.
พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ต้องขอขอบคุณทหาร ตำรวจ และส่วนราชการทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขสถานการณ์ร่วมกันอย่างเข้มแข็ง และต้องขอบคุณกลุ่มนายวีระ ที่ให้ความร่วมมือ ไม่เคลื่อนขบวนขึ้นไปบนผามออีแดง ซึ่งจากการชี้แจงว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ล่อแหลม อันตรายหากมีการบุกเข้าไปของคนหมู่มากแล้วไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ ก็เข้าใจและให้ความร่วมมือด้วยดี
พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวถึงเรื่องผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับทางกัมพูชาว่า คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะฝ่ายทหารได้ประสานงานไปยังผู้บัญชาการกองทัพของกัมพูชาแล้ว ฝ่ายโน้นก็เข้าใจดี แต่ขอความร่วมมือให้ทางฝ่ายไทยควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่พิพาท เนื่องจากเป็นจุดล่อแหลม และกำลังติดอาวุธทั้งสองฝ่ายก็ตรึงกำลังกันอยู่
"สำหรับกฎอัยการศึกนั้นประกาศมาตั้งแต่ปี 2551 แล้วโดยได้ประกาศครอบคลุมอำเภอกันทรลักษ์ ทั้งหมด ไม่ใช่ประกาศเฉพาะบนเขาพระวิหาร แต่ในการประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้นจะเลือกประกาศเฉพาะพื้นที่เป็นกรณีๆไป"
**นายกฯสั่งสอบเหตุไทยปะทะไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" เช้าวานนี้ถึงกรณีที่เครือข่ายพันธมิตรฯชุมนุมเรียกร้องทวงคืนดินแดนข้อพิพาทประสาทพระวิหารที่ จ.ศรีสะเกษ และเกิดการปะทะกับชาวบ้านว่า "รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้พยายามดำเนินการทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาบนพื้นฐานสันติวิธี ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้เสียดินแดน"
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รู้สึกเสียใจที่เกิดเหตุปะทะกันระหว่างประชาชนที่เดินทางไปทวงคืนเขาพระวิหารกับชาวบ้านในพื้นที่จนบาดเจ็บ ซึ่งตนเองกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงพยายามทำทุกอย่างให้กลับสู่ความเรียบร้อย และได้เจรจามีข้อตกลงว่า วันนี้ (20) จะมีการส่งตัวแทนไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดง แล้วจบกิจกรรม ทั้งนี้ การแสดงออกของคนที่เห็นไม่ตรงกันสามารถทำได้ แต่คนไทยด้วยกันอย่าทำร้ายกันเอง
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังถึงการปะทะกันว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกไม่ให้มีปัญหาซ้ำสอง ระหว่างที่กลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้นไปอ่านแถลงการณ์บนผามออีแดง และเชื่อว่าคงไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาจากภาพที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถสืบสวนสอบสวนได้ ส่วนปัญหาใครทำผิดอะไร เจ้าหน้าที่มีส่วนร่วมหรือไม่ อันนี้ก็ต้องว่ากันตรงไปตรงมา
ผู้สื่อข่าวถามว่าภาพที่ออกมาส่งผลกระทบอะไรหรือไม่เพราะบริเวณดังกล่าวอยู่ระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า ภาพที่ออกมามีผลกระทบแน่ และคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นภาพที่คนไทยมีปัญหากันเองอย่างนี้ เราต้องนึกว่าเวลาต่างชาติเขามองเราเขาจะมองอย่างไร ดังนั้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายทบทวนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก
**ยันรบ.ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง
เมื่อถามถึงการเจรจาแก้ไขปัญหาในพื้นที่พิพาทกับทางฝ่ายกัมพูชา ที่ทางรัฐบาลไทยมีการระบุว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ทำไมทางกัมพูชาถึงยังปรับสภาพในพื้นที่ทับซ้อนอีกอีก นายกรัฐมนตรี อธิบายว่า ทุกครั้งที่มีการละเมิดข้อตกลงก็จะมีการประท้วงและขณะนี้ก็มีการส่งกำลังเข้าไป แต่ไทยไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกัน เพราะหากเกิดการปะทะกันจะส่งผลกระทบไปถึงเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ใช่แค่กระทบความสัมพันธ์จึงต้องทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ไม่เสียสิทธิ์ ไม่เพลี่ยงพล้ำและขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลไม่มีอะไรแอบแฝงหรือซ่อนเร้น แต่มีเจตนาที่จะรักษาดินแดน
เมื่อถามว่า ปัญหานี้กระทบความรู้สึกประชาชนและคงไม่จบแค่การอ่านแถลงการณ์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องมีการทำความเข้าใจ แต่หลายเรื่องไม่สามารถพูดในที่สาธารณะได้เพราะมีความละเอียดอ่อนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และจะกระทบความได้เปรียบเสียเปรียบของไทยเอง
อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะพูดคุยกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมและทุกฝ่ายเพื่อให้ปัญหาคลี่คลาย ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดระหว่างไทยกับไทยด้วยกันเองจะชี้แจงชาวโลกอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จริงๆ แล้วเมื่อปีที่แล้วในเดือนกรกฎาคมก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ อย่างนี้ ตนจึงได้พยายามให้มาพูดคุยกันมันจะง่ายขึ้น
เมื่อถามอีกว่า ตอนนี้มีปัญหาด้านทัศนะของฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ เพราะมีการกล่าวโทษว่าเป็นเพราะพันธมิตรฯ จึงทำให้เกิดปัญหา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีการไปกล่าวโทษอะไรใคร และเป็นเรื่องของมุมมองของแต่ละคน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังเกิดเหตุการณ์ได้ประสานงานกับรัฐบาลกัมพูชาหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาในขณะนี้ แต่ก่อนที่จะเดินทางกันไปเราได้ประสานกับฝ่ายกัมพูชาอยู่แล้ว เพราะเราไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกัน เมื่อถามว่า นายกฯยังมั่นใจว่านโยบายที่ใช้ขณะนี้ไม่อ่อนแอเกินไป นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มั่นใจ
**"สุเทพ"คำรามต้องทำตาม กม.
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีปะทะกันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว เจ้าหน้าที่พยายามดูแลให้เกิดความเรียบร้อย และตนไม่วิจารณ์การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่มักจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นเสมอ เพราะเกรงว่าจะทำให้เป็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก
วานนี้ (20 ก.ย.) เวลา 11.15 น.กลุ่มคนไทยรักชาตินำโดยนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น และภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีเขาพระวิหาร พร้อมตัวแทนคนรักชาติและคณะสื่อมวลชนจำนวน 33 คน ได้เดินทางถึงด่านอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร จากนั้นได้ขึ้นรถของทหารที่จัดเตรียมไว้เพื่ออ่านคำแถลงการณ์ที่ "ผามออีแดง" เพื่อผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยมี พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 และทหาร 20 นายเป็นผู้นำขบวนขึ้นไป
**อ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินไทย
ทั้งนี้ นายวีระและเครือข่ายประชาชนทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร ได้อ่านแถลงการณ์ทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหารทั้ง 2 ฉบับ โดยฉบับแรกเป็นแถลงการณ์ประกาศเจตนารมณ์ทวงคืนดินแดนไทย ฉบับที่ 2 ประกาศให้ทั่วโลกทราบว่า ดินแดนรอบปราสาทพระวิหารเป็นของราชอาณาจักรไทย
เนื้อหาในแถลงการณ์ ระบุว่า "เราประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ ขอประกาศเจตนารมณ์ จัดตั้งเป็นภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหาร เพื่อบรรลุภารกิจของคนไทยทั้งประเทศดังต่อไปนี้ 1.ดำเนินการในทุกวิธีทางตามกรอบของกฎหมายเพื่อทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารกลับคืนมา ให้กลับมาเป็นของราชอาณาจักรไทยดังเดิม ทั้งในทางพฤตินัย และนิตินัย 2.ดำเนินการเอาผู้กระทำความผิดในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือสมรู้ร่วมคิดในการทำให้ดินแดนไทยต้องถูกลุกล้ำ หรือเสียดินแดนมาลงโทษทางกฎหมายจนถึงที่สุด ด้วยสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน ภาคีเครือข่ายทวงดินแดนไทยโดยรอบปราสาทพระวิหาร 20 ก.ย.2552"
“การประกาศเจตนารมณ์ของภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งเนื้อหาสำคัญทางเครือข่ายดังกล่าวเห็นว่าปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบอยู่ในเขตอธิปไตรยราชอาณาจักรไทย ตามแนวเขตสันปันน้ำซึ่งเป็นการปักปันเขตแดนระหว่างคณะทำงานร่วมของประเทศฝรั่งเศส และสยามประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2487 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสากล ดังนั้นกลุ่มภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหาร จึงขอประท้วงรัฐบาลกัมพูชา ที่มีการปล่อยให้ประชาชนและทหาร รวมถึงการมีการก่อสร้างถนนเข้ามาบริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ประชาชนชาวไทย จึงขอประกาศให้รัฐบาลกัมพูชา ออกไปจากดินแดนไทย
ดังนั้น การที่รัฐบาลประกาศพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารเป็นพื้นที่กฎอัยการศึก ทางเครือข่ายฯจึงขอเรียกร้องให้ทหารมีการผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่โดยรอบปราสาทด้วยตามกฎหมายความมั่นคง”
ทั้งนี้ เมื่ออ่านคำแถลงการณ์เสร็จทหารให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับลงมาทันที
นายวีระกล่าวภายหลังจากอ่านคำแถลงการณ์แล้วว่า "จะรอดูท่าทีรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร เพราะขณะนี้มีการประกาศกฎอัยการศึกของทหารอยู่ ผมขอย้ำกองทัพจะต้องดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ทันที เราจะรอดูและจะมีการประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง"
**ขีดเส้นผบ.ทบ.ไล่ผู้รุกล้ำดินแดน
นายวีระให้สัมภาษณ์หลังลงจากผามออีแดงอีกว่า เราไม่ใช่ผู้มาก่อสงครามอย่างที่หลายคนเข้าใจ การเดินทางมาของพวกเราไม่ใช่ผู้รุกราน แต่ผู้ที่รุกรานคือคนที่มารุกล้ำอธิปไตยของเรา นั่นคือฝ่ายกัมพูชาที่นำชาวบ้านและกำลังติดอาวุธมายึดครองแผ่นดินไทย และตลอดเวลาที่ผ่านมาทหารยืนยันตลอดว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นเขตแดนไทย มีเพียงกระทรวงต่างประเทศของไทยเท่านั้นบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนต้องยึดการเจรจาอย่างเดียว ซึ่งตนเห็นว่าหากเราไม่ผลักดันกัมพูชาออกไปก่อนจะเจรจาจะเสียเปรียบอย่างแน่นอน
นายวีระกล่าวต่ออีกว่า เครือข่ายประชาชนคนไทยรักชาติ ไม่ได้รับความสะดวกจากทหารในการขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินแดนรอบปราสาทเขาพระวิหาร โดยอ้างว่าต้องปฏิบัติตามกฎอัยการศึกอย่างเข้มงวด ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะอำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางขึ้นไปอ่านแถลงการณ์บนผามออีแดง
"เครือข่ายประชาชนผู้รักชาติเราไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย และทหารปฏิบัติตามกฎอัยการศึกอย่างเคร่งครัดแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน และต้องผลักดันประชาชนและทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรทันที โดยเราจะให้เวลาสักระยะหนึ่ง ถ้า ผบ.ทบ. ไม่ทำตามกฎอัยการศึก เครือข่ายประชาชนผู้รักชาติจะดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งจะมีมาตรการตอบโต้ต่อไป"
**ลั่นจัดการ จนท.ส่งคนมาทำร้าย
นายวีระยังได้ขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลทุกแขนงจากเหตุการณ์ปะทะกันกับชาวบ้านในพื้นที่ว่า ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ อยู่บนถนนหลวงไม่ได้ไปตีกับชาวบ้าน แต่ชาวบ้านที่ถูกจัดตั้งมาได้มาตีกลุ่มผู้ชุมนุมก่อนและใช้ปืนลูกซองยิง คนของเราถูกทำร้าย มีทั้งผู้หญิงและเด็ก เราจึงจำเป็นต้องป้องกันตัว ตนขอย้ำว่าถ้าไม่มีการจัดตั้งจะไม่มีการปะทะกันอย่างเด็ดขาด
"เราปฏิบัติตามกฎหมายมีรถตำรวจนำมาและได้เจราจากับผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ แต่ชาวบ้านไม่ยอมเจรจา ทั้งนี้ เราจะไปแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่ทำร้ายเรา เพราะมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายและมีรถยนต์ได้รับความเสียหายหลายสิบคัน ผมขอตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้น ผมจะแจ้งความดำเนินคดีตำรวจ และข้าราชการบางคนที่อยู่เบื้องหลังจัดตั้งคนมาทำร้ายเรา"
**แจ้งความจับคนทำร้ายผู้ชุมนุม
ต่อมานายวีระ และกลุ่มคนไทยรักชาติ ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 15 คน ที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกขว้างปาสิ่งของใส่ของกลุ่มวัยรุ่นและชายฉกรรจ์เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ไปแจ้งความกับ พ.ต.อ.วัฒนา เงินหมื่น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้ดำเนินคดีในข้อหาทำให้เสียทรัพย์และทำร้ายร่างกาย เนื่องจากมีรถของกลุ่มผู้ชุมนุมได้รับความเสียหายหลายคัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย
ขณะที่ พ.ต.อ.วัฒนา กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความไว้แล้วและจะเร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตนจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มที่ต่อไป
**แฉผู้ว่าฯตัวการจัดตั้งม็อบถ่อย
น.ส.อาภารัตน์ ชาติชุติกำจร แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯภูเก็ต กล่าวกรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มชาวบ้านกับกลุ่มพันธมิตรฯว่า การที่นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ออกมาระบุว่าเป็นการแสดงพลังของชาวบ้านในพื้นที่นั้น ตนขอให้ผู้ว่าฯหยุดพฤติกรรมตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จได้แล้ว เพราะทุกฝ่ายย่อมเห็นชัดเจนว่ากลุ่มชาวบ้านที่ผู้ว่าฯระบุนั้นเป็นกลุ่มมวลชนจัดตั้งของผู้ว่าฯศรีสะเกษเอง สังเกตได้จากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายฉกรรจ์และกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งมีอุปกรณ์ครบมือ โดยเฉพาะป้ายไวนิล เนื่องจากเกินศักยภาพที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถจัดหามาด้วยตนเองได้
"ทุกครั้งที่มีการรวมตัวของกลุ่มประชาชนผู้รักชาติเคลื่อนไหวเพื่อรักษาสิทธิอันชอบธรรมของแผ่นดินแม่เอาไว้ เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องจัดหากลุ่มมวลชนมาชน เพื่อหวังให้เกิดการปะทะขึ้นทุกครั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง พฤติกรรมของผู้ว่าฯศรีสะเกษครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน อ้างความเห็นของชาวบ้านว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความสงบแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น" น.ส.อาภารัตน์ กล่าว และว่า
ส่วนตัวเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯครั้งนี้ทุกคนรู้ดีว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เราเดินทางขึ้นไปไม่ได้หวังให้เกิดความรุนแรงใดๆ ขึ้น ทุกย่างก้าวของเราเดินไปด้วยหลักสงบ สันติ และอหิงสา มีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ว่าฯศรีสะเกษ จึงต้องนำกลุ่มมวลชนจัดตั้งมาปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯเพื่อให้เกิดความรุนแรง จนพี่น้องพันธมิตรฯได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในจำนวนนั้นมีทีมการ์ดภูเก็ต รวมอยู่ด้วย 2 คน พฤติกรรมดังกล่าวของผู้ว่าฯศรีสะเกษครั้งนี้ ย่อมชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความรักประเทศไทยของตนเองหรือไม่
**ใสยัน5แกนนำไม่ได้ทอดทิ้งวีระ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) กล่าวว่า แม้การเคลื่อนไหวของเครือข่ายประชาชนทวงคืนเขาพระวิหารจะไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวในนามมติของ 5 แกนนำพันธมิตรฯก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชนคนไทยตามรัฐธรรมนูญที่ต้องพิทักษ์และหวงแหนอธิปไตยของชาติ ซึ่งการเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญต้องได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ 5 แกนนำได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์และมีการสื่อสารกับประชาชนที่เคลื่อนไหวซึ่งส่วนใหญ่เป็นมวลชนที่เคยต่อสู้กับพันธมิตรฯ มาตลอด และมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหารุนแรงอะไร หากคนของรัฐไม่ไปจัดตั้งหรือบิดเบือนปลุกระดมมวลชนเข้ามาขัดขวางและใช้ความรุนแรงสกัดกั้นก็คงไม่เกิดความรุนแรงอะไร
ส่วนที่มีข่าวบางสำนักอ้างคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และตนทำนองว่าแกนนำลอยแพและออกตัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายวีระ สมความคิด และการเคลื่อนไหวครั้งนี้นั้น ไม่เป็นความจริงและไม่มีความขัดแย้งหรือแตกแยกกันอย่างที่ข่าวบางสำนักพยายามเสนอข่าว ตนได้สอบถามไปยัง พล.ต.จำลอง ท่านก็ปฏิเสธว่าไม่ได้สัมภาษณ์อย่างนั้น และตนได้พยายามแจ้งไปยังสำนักข่าวหลายแห่งเพื่อชี้แจงแต่บางสำนักข่าวก็ไม่ได้แก้ไขข่าวให้
**เผยเตรียมหารือเคลื่อนไหวใหญ่
"แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่มติ 5 แกนนำ แต่เครือข่ายพันธมิตรฯ ทั่วประเทศก็มีอิสระในการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และสาเหตุที่นายวีระ ออกมานำในเรื่องนี้ก็เพราะนายวีระ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเป็นคนที่สนใจติดตามเรื่องนี้เป็นพิเศษมาก่อน" นายสุริยะใส กล่าว และว่ากรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารนั้นจุดยืนของ 5 แกนนำ เป็นจุดยืนเดียวกับเครือข่ายประชาชนทวงคืนเขาพระวิหารที่นำโดยนายวีระ ซึ่งเห็นว่าชาวกัมพูชาได้รุกล้ำดินแดนไทยในพื้นที่บริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรและรัฐบาลรวมทั้งกองทัพจะต้องเร่งผลักดันชาวกัมพูชาออกไป พวกเราเห็นด้วยกับแนวทางเจรจาและไม่สนับสนุนแนวทางการทำสงคราม แต่รัฐบาลจะต้องชี้แจงกรอบเวลา และแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ไม่ใช่อ้างว่าอยู่ระหว่างเจรจาแต่ไม่มีความคืบหน้า ซ้ำร้ายการเจรจายังมีเงื่อนงำเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานเข้ามาปะปนอยู่ด้วย
"ยืนยันว่าทาง 5 แกนนำให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอดและจะหาทางเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อทวงคืนอธิปไตยของชาติกลับคืนมา ซึ่งเร็วๆ นี้คงจะมีการหารือกันในที่ประชุม 5 แกนนำถึงมาตรการและแนวทางในการเคลื่อนไหวใหญ่"
**มทภ.2ยันไม่กระทบสัมพันธ์2ปท.
พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ต้องขอขอบคุณทหาร ตำรวจ และส่วนราชการทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขสถานการณ์ร่วมกันอย่างเข้มแข็ง และต้องขอบคุณกลุ่มนายวีระ ที่ให้ความร่วมมือ ไม่เคลื่อนขบวนขึ้นไปบนผามออีแดง ซึ่งจากการชี้แจงว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ล่อแหลม อันตรายหากมีการบุกเข้าไปของคนหมู่มากแล้วไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ ก็เข้าใจและให้ความร่วมมือด้วยดี
พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวถึงเรื่องผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับทางกัมพูชาว่า คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะฝ่ายทหารได้ประสานงานไปยังผู้บัญชาการกองทัพของกัมพูชาแล้ว ฝ่ายโน้นก็เข้าใจดี แต่ขอความร่วมมือให้ทางฝ่ายไทยควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่พิพาท เนื่องจากเป็นจุดล่อแหลม และกำลังติดอาวุธทั้งสองฝ่ายก็ตรึงกำลังกันอยู่
"สำหรับกฎอัยการศึกนั้นประกาศมาตั้งแต่ปี 2551 แล้วโดยได้ประกาศครอบคลุมอำเภอกันทรลักษ์ ทั้งหมด ไม่ใช่ประกาศเฉพาะบนเขาพระวิหาร แต่ในการประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้นจะเลือกประกาศเฉพาะพื้นที่เป็นกรณีๆไป"
**นายกฯสั่งสอบเหตุไทยปะทะไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" เช้าวานนี้ถึงกรณีที่เครือข่ายพันธมิตรฯชุมนุมเรียกร้องทวงคืนดินแดนข้อพิพาทประสาทพระวิหารที่ จ.ศรีสะเกษ และเกิดการปะทะกับชาวบ้านว่า "รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้พยายามดำเนินการทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาบนพื้นฐานสันติวิธี ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้เสียดินแดน"
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รู้สึกเสียใจที่เกิดเหตุปะทะกันระหว่างประชาชนที่เดินทางไปทวงคืนเขาพระวิหารกับชาวบ้านในพื้นที่จนบาดเจ็บ ซึ่งตนเองกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงพยายามทำทุกอย่างให้กลับสู่ความเรียบร้อย และได้เจรจามีข้อตกลงว่า วันนี้ (20) จะมีการส่งตัวแทนไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดง แล้วจบกิจกรรม ทั้งนี้ การแสดงออกของคนที่เห็นไม่ตรงกันสามารถทำได้ แต่คนไทยด้วยกันอย่าทำร้ายกันเอง
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังถึงการปะทะกันว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกไม่ให้มีปัญหาซ้ำสอง ระหว่างที่กลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้นไปอ่านแถลงการณ์บนผามออีแดง และเชื่อว่าคงไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาจากภาพที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถสืบสวนสอบสวนได้ ส่วนปัญหาใครทำผิดอะไร เจ้าหน้าที่มีส่วนร่วมหรือไม่ อันนี้ก็ต้องว่ากันตรงไปตรงมา
ผู้สื่อข่าวถามว่าภาพที่ออกมาส่งผลกระทบอะไรหรือไม่เพราะบริเวณดังกล่าวอยู่ระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า ภาพที่ออกมามีผลกระทบแน่ และคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นภาพที่คนไทยมีปัญหากันเองอย่างนี้ เราต้องนึกว่าเวลาต่างชาติเขามองเราเขาจะมองอย่างไร ดังนั้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายทบทวนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก
**ยันรบ.ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง
เมื่อถามถึงการเจรจาแก้ไขปัญหาในพื้นที่พิพาทกับทางฝ่ายกัมพูชา ที่ทางรัฐบาลไทยมีการระบุว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ทำไมทางกัมพูชาถึงยังปรับสภาพในพื้นที่ทับซ้อนอีกอีก นายกรัฐมนตรี อธิบายว่า ทุกครั้งที่มีการละเมิดข้อตกลงก็จะมีการประท้วงและขณะนี้ก็มีการส่งกำลังเข้าไป แต่ไทยไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกัน เพราะหากเกิดการปะทะกันจะส่งผลกระทบไปถึงเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ใช่แค่กระทบความสัมพันธ์จึงต้องทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ไม่เสียสิทธิ์ ไม่เพลี่ยงพล้ำและขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลไม่มีอะไรแอบแฝงหรือซ่อนเร้น แต่มีเจตนาที่จะรักษาดินแดน
เมื่อถามว่า ปัญหานี้กระทบความรู้สึกประชาชนและคงไม่จบแค่การอ่านแถลงการณ์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องมีการทำความเข้าใจ แต่หลายเรื่องไม่สามารถพูดในที่สาธารณะได้เพราะมีความละเอียดอ่อนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และจะกระทบความได้เปรียบเสียเปรียบของไทยเอง
อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะพูดคุยกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมและทุกฝ่ายเพื่อให้ปัญหาคลี่คลาย ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดระหว่างไทยกับไทยด้วยกันเองจะชี้แจงชาวโลกอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จริงๆ แล้วเมื่อปีที่แล้วในเดือนกรกฎาคมก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ อย่างนี้ ตนจึงได้พยายามให้มาพูดคุยกันมันจะง่ายขึ้น
เมื่อถามอีกว่า ตอนนี้มีปัญหาด้านทัศนะของฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ เพราะมีการกล่าวโทษว่าเป็นเพราะพันธมิตรฯ จึงทำให้เกิดปัญหา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีการไปกล่าวโทษอะไรใคร และเป็นเรื่องของมุมมองของแต่ละคน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังเกิดเหตุการณ์ได้ประสานงานกับรัฐบาลกัมพูชาหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาในขณะนี้ แต่ก่อนที่จะเดินทางกันไปเราได้ประสานกับฝ่ายกัมพูชาอยู่แล้ว เพราะเราไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกัน เมื่อถามว่า นายกฯยังมั่นใจว่านโยบายที่ใช้ขณะนี้ไม่อ่อนแอเกินไป นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มั่นใจ
**"สุเทพ"คำรามต้องทำตาม กม.
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีปะทะกันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว เจ้าหน้าที่พยายามดูแลให้เกิดความเรียบร้อย และตนไม่วิจารณ์การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่มักจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นเสมอ เพราะเกรงว่าจะทำให้เป็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก