ASTV ผู้จัดการรายวัน-ประมูลซื้อรถสินค้าร.ฟ.ท.ฉาว เอกชน โวยล็อคสเปคทีโออาร์ เอื้อประโยชน์ให้บริษัทต่างชาติ เตรียมแฉข้อมูลค้านคณะกรรมการการร่างฯ 22 ก.ย.52 นี้ ชี้ไม่เป็นผลเดินหน้าฟ้องศาลระงับโครงการ
นายอารัม รมยานนท์ รองกรรมการบริหาร บริษัท สยามโบกี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 ก.ย.52 นี้ บริษัทผู้ร่วมประมูลโครงการประกวดราคาซื้อรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าจำนวน 308 คัน พร้อมเครื่องอะไหล่ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) หลายราย เตรียมนำข้อมูลที่จะซักค้านร่างเงื่อนไขการประกวดราคาหรือทีโออาร์โครงการดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการการร่างขอบเขตของงาน ที่มีนายประจักษ์ มโนธัม รองผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท. เป็นประธาน เนื่องจากข้อกำหนดทางเทคนิคบางอย่าง มีการกำหนดสเปค และมีความจงใจที่จะเปิดทางให้กับบริษัทต่างชาติบางรายชนะการประมูลอย่างไม่เป็นธรรม
โดยบริษัทเป็นหนึ่งในแกนนำการซักร่างทีโออาร์ ซึ่งมีการพิจารณากันแล้วเห็นว่า เรื่องการกำหนดสเปคทางด้านเทคนิกที่คณะกรรมการกำหนดขึ้นมา เข้าข่ายการกระทำผิดตามพ.ร.บ.อาญา มาตรา 157 ว่า ด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ปฏิบัติมิชอบ อย่างชัดเจน โดยฉพาะข้อกำหนดทางด้านเทคนิค ในเรื่องอะไหล่ ลูกปืนล้อรถไฟ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับตัวแทนจำหน่ายบางรายอย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับผู้ร่วมประมูลงานกับร.ฟ.ท. ไม่มีใครกล้าจะออกมาเปิดเผยเพราะเกรงว่าจะมีผลต่อการรับงาน หรือ อาจได้รับความไม่เป็นธรรมในการเสนองานกับร.ฟ.ท.ในครั้งต่อไป
“กลุ่มผู้ร่วมประมูลจะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขออำนาจศาลระงับโครงการประมูลครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ร.ฟ.ท.เสียหายแน่นอน”
แหล่งข่าวจากร.ฟ.ท.กล่าวว่า การซักค้านของผู้ร่วมประมูลงานร.ฟ.ท.ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการรวมตัวกันหลายบริษัท และหากเรื่องดังกล่าวคณะกรรมการร่างขอบเขตของงานไม่มีการแก้ไข จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับนายประจักษ์ มโนธัม รองผู้ว่าณ ร.ฟ.ท.ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการพิจารณา ซึ่งโครงการดังกล่าวมีมูลค่าประมาณการโครงการที่ 1,700 ล้านบาทและถือเป็นโครงการที่ถูกจับตาเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ในการประชุมคณะกรรมการ ร.ฟ.ท.ได้อนุมัติให้ฝ่ายบริหารดำเนินการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าจำนวน 308 คันอย่างเร่งด่วน เนื่องจากต้องการให้สอดคล้องกับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เชื่อมต่อท่าเทียบเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) อนุมัติการจัดหาหัวรถจักรจำนวน 7 หัว โดยได้กำชับให้ฝ่ายบริหารดำเนินการตามแผนการจัดหาโดยวิธีที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องกำหนดสเป็กผู้ผ่านการคัดเลือกการประมูลโครงการนั้น ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่ดำเนินการเอง
นายอารัม รมยานนท์ รองกรรมการบริหาร บริษัท สยามโบกี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 ก.ย.52 นี้ บริษัทผู้ร่วมประมูลโครงการประกวดราคาซื้อรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าจำนวน 308 คัน พร้อมเครื่องอะไหล่ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) หลายราย เตรียมนำข้อมูลที่จะซักค้านร่างเงื่อนไขการประกวดราคาหรือทีโออาร์โครงการดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการการร่างขอบเขตของงาน ที่มีนายประจักษ์ มโนธัม รองผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท. เป็นประธาน เนื่องจากข้อกำหนดทางเทคนิคบางอย่าง มีการกำหนดสเปค และมีความจงใจที่จะเปิดทางให้กับบริษัทต่างชาติบางรายชนะการประมูลอย่างไม่เป็นธรรม
โดยบริษัทเป็นหนึ่งในแกนนำการซักร่างทีโออาร์ ซึ่งมีการพิจารณากันแล้วเห็นว่า เรื่องการกำหนดสเปคทางด้านเทคนิกที่คณะกรรมการกำหนดขึ้นมา เข้าข่ายการกระทำผิดตามพ.ร.บ.อาญา มาตรา 157 ว่า ด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ปฏิบัติมิชอบ อย่างชัดเจน โดยฉพาะข้อกำหนดทางด้านเทคนิค ในเรื่องอะไหล่ ลูกปืนล้อรถไฟ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับตัวแทนจำหน่ายบางรายอย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับผู้ร่วมประมูลงานกับร.ฟ.ท. ไม่มีใครกล้าจะออกมาเปิดเผยเพราะเกรงว่าจะมีผลต่อการรับงาน หรือ อาจได้รับความไม่เป็นธรรมในการเสนองานกับร.ฟ.ท.ในครั้งต่อไป
“กลุ่มผู้ร่วมประมูลจะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขออำนาจศาลระงับโครงการประมูลครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ร.ฟ.ท.เสียหายแน่นอน”
แหล่งข่าวจากร.ฟ.ท.กล่าวว่า การซักค้านของผู้ร่วมประมูลงานร.ฟ.ท.ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการรวมตัวกันหลายบริษัท และหากเรื่องดังกล่าวคณะกรรมการร่างขอบเขตของงานไม่มีการแก้ไข จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับนายประจักษ์ มโนธัม รองผู้ว่าณ ร.ฟ.ท.ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการพิจารณา ซึ่งโครงการดังกล่าวมีมูลค่าประมาณการโครงการที่ 1,700 ล้านบาทและถือเป็นโครงการที่ถูกจับตาเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ในการประชุมคณะกรรมการ ร.ฟ.ท.ได้อนุมัติให้ฝ่ายบริหารดำเนินการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าจำนวน 308 คันอย่างเร่งด่วน เนื่องจากต้องการให้สอดคล้องกับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เชื่อมต่อท่าเทียบเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) อนุมัติการจัดหาหัวรถจักรจำนวน 7 หัว โดยได้กำชับให้ฝ่ายบริหารดำเนินการตามแผนการจัดหาโดยวิธีที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องกำหนดสเป็กผู้ผ่านการคัดเลือกการประมูลโครงการนั้น ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่ดำเนินการเอง
