xs
xsm
sm
md
lg

วิพากษ์รัฐประหาร 19 กันยา (ตอนที่ 2-จบ)

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ข้อสาม มีการวางกลทางกฎหมายเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องอย่างแยบยล โดยที่คณะรัฐประหารก็มิได้ระแวงสงสัย โดยเฉพาะในการโยกย้ายข้าราชการ จนในที่สุดคำสั่งของคณะรัฐประหารก็ต้องถูกศาลปกครองพิพากษาเพิกถอน

การวางเชิงชั้นทางกฎหมายชนิดนี้ ความจริงไม่ใช่เรื่องแยบยลแต่ประการใด แต่เป็นเพราะคณะรัฐประหารวางใจกลุ่มนักวิชาการ เชื่อว่าจะทำการช่วยเหลือสนับสนุนให้การเป็นไปดังประสงค์

ยกตัวอย่างการโยกย้ายนายตำรวจบางคนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทนที่จะใช้อำนาจอันเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งให้ผลอย่างสมบูรณ์และเด็ดขาด กลับไปใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยตำรวจ ซึ่งเมื่อใช้อำนาจเช่นนั้นก็ต้องปฏิบัติตามกระบวนการและขั้นตอนที่กฎหมายนั้นบัญญัติไว้

ดังนั้นเมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ศาลปกครองจึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของคณะรัฐประหารดังกล่าวเสีย โดยยกเหตุผลทางกฎหมายว่าเมื่อคำสั่งนั้นไม่ได้ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์และใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยตำรวจ ก็ต้องปฏิบัติการตามกฎหมายนั้น เมื่อปฏิบัติไม่ถูกต้อง คำสั่งนั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

มีการหลอกลวงคณะรัฐประหารถึงการใช้อำนาจว่าอาจถูกศาลเพิกถอนในภายหลังได้ โดยมีการยกตัวอย่างการยึดทรัพย์สมัย รสช. ที่ถูกศาลเพิกถอนในภายหลัง และสามารถตบตาหลอกลวงคณะรัฐประหารได้สำเร็จ

แท้จริงแล้วการรัฐประหารของคณะ รสช. ก็ถูกวางกลทางกฎหมายโดยขบวนการเดียวกันนี้ และเชื่อมโยงกับขบวนการเดียวกันนี้อย่างแนบแน่น โดยมีเป้าหมายเช่นเดียวกัน คือทำมาหากินกับสินศึก ที่กลเกมที่วางไว้นั้นจะสามารถถอดสลักได้โดยง่ายและเป็นทางทำมาหาได้ ตลอดจนสร้างบุญคุณไว้กับผู้เกี่ยวข้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นี่ก็เพราะความด้อยประสบการณ์และเป็นผลโดยตรงจากความไว้วางใจกลุ่มนักวิชาการคณะนี้ซึ่งเป็นเจ้าประจำผูกขาดในปฏิบัติการรัฐประหารทุกครั้งตลอดระยะเวลาร่วม 40 ปีมาแล้ว และแม้ขณะนี้ก็ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่

ข้อสี่ ทรัพย์สมบัติของชาติและเอกชนจำนวนมากที่ถูกปล้นสะดมไปโดยอาศัยอำนาจรัฐและกฎหมายไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขใดๆ เลย ทำลายดอกผลการรัฐประหารอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งเหตุอันยกเป็นที่อ้างในการยึดอำนาจสี่ประการ ก็มิได้เยียวยาแก้ไขใดๆ นั่นเป็นเพราะผลจากการถูกยึดอำนาจเงียบโดยกลุ่มนักวิชาการนั่นเอง

กิจการด้านพลังงานทั้งของรัฐและของเอกชน กิจการด้านโทรคมนาคมบางชนิด และธุรกิจการบินที่ฉ้อฉลปล้นชาติถูกปล่อยคาค้างไว้ ทั้งๆ ที่มีความคิดที่จะแก้ไขให้เกิดความถูกต้องขึ้นในบ้านเมือง

มิหนำซ้ำ ยังมีการวางคนเข้าไปทำมาหากินกับอำนาจเก่า ประหนึ่งทำตนเป็นผู้ดูแลประโยชน์ตั้งแต่ห้วงเวลาที่คณะรัฐประหารยังมีอำนาจอยู่ทอดเวลาไปสู่หลังรัฐประหาร และดำเนินการต่อยอดเพื่อประโยชน์อำนาจเก่าต่อไปเหมือนกับไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น

ข้อห้า มีการใช้กระบวนการทางกฎหมายและเหตุผลทางสากลหลอกต้มตุ๋นคณะรัฐประหาร ปลดเขี้ยวเล็บคณะรัฐประหารจนหมดสิ้น โดยเฉพาะคือการปฏิเสธอำนาจเด็ดขาดที่หากมีความจำเป็นต้องใช้หลังประกาศรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้ว

เพราะเหตุที่ห้วงเวลาการเป็นรัฏฐาธิปัตย์มีแค่ 14 วันและใช้ประโยชน์จากเวลาได้จริงไม่เกิน 9 วัน ทั้งยังมีปัญหาใหญ่โตและเรื้อรังมากมาย อาจมีความจำเป็นต้องใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์เพื่อจัดการแก้ไขเรื่องราวอันใหญ่โตและหมักหมมนั้นหากว่าไม่สามารถใช้กระบวนการตามกฎหมายธรรมดา หรือใช้ได้ไม่ทันท่วงที จึงมีความคิดที่จะให้มีอำนาจเด็ดขาดที่คณะรัฐประหารอาจใช้ได้ยามจำเป็นและฉุกเฉินไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว

แต่ในที่สุดความไว้เนื้อเชื่อใจและความคลอนแคลนในเจตนารมณ์ที่แน่วแน่แต่เดิมถูกผันแปรไป อำนาจเด็ดขาดที่ว่านี้จึงไม่มีบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว

ดังนั้นภายหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้วและมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ได้มีหลายเรื่องหลายราวที่ไม่อาจใช้อำนาจกฎหมายปัจจุบันจัดการแก้ไขได้ จึงก่อเกิดความจำเป็นที่จะต้องแสวงหาอำนาจพิเศษ เป็นเหตุให้มีความคิดที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพื่อก่อตั้งอำนาจพิเศษนั้นขึ้น

แต่ในที่สุดก็ถูกเกมกลทางการเมืองขัดขวาง จนต้องยกเลิกกระบวนการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในเรื่องนี้เสีย

ข้อหก กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวตกอยู่ในมือของกลุ่มนักวิชาการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะแกนหลักของคณะรัฐประหารวางใจและไม่ใส่ใจในเนื้อหาสารัตถะ ปล่อยปละละเลยให้กลุ่มนักวิชาการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญได้ตามอำเภอใจ

ดังนั้นในพลันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวหลังรัฐประหาร 14 วัน คณะรัฐประหารจึงพ้นจากความเป็นรัฏฐาธิปัตย์และไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ ตามรัฐธรรมนูญ ยกเว้น 2 เรื่องเท่านั้น คือการคัดเลือกและแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และการปลดนายกรัฐมนตรี ฐานะของคณะรัฐประหารจึงเหลือเพียงแต่หนังเสือโดยไม่มีเนื้อหาใดๆ อีก

ข้อเจ็ด ในการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่รัฐสภา และหน้าที่อื่นๆ อีกหลายประการ ถูกกลุ่มนักวิชาการวางคนยึดโควตาไปถึง 25 คน และเป็นกลุ่มคนชุดเดียวกันกับที่เข้าดำรงตำแหน่งทางนิติบัญญัติหลังรัฐประหารเกือบทุกครั้งตลอดระยะเวลา 40 ปีมานี้ พวกเขามีกลเม็ดเด็ดพรายที่น่าเย้ายวนใจใดๆ หรือจึงสามารถกระทำได้เช่นนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่น่าใคร่ครวญศึกษายิ่งนัก

จำนวนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่เหลือมาจากการถัวเฉลี่ยโควตาในบรรดาคณะรัฐประหาร และโควตาอื่นๆ ซึ่งเกือบทั้งหมดเกิดจากการสมนาคุณเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องอุปถัมภ์พวกพ้องและรุ่นตามค่านิยมปัจจุบัน จนทำให้ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในยามวิกฤตของบ้านเมืองกลายเป็นเรื่องลดแลกแจกแถมและการสมนาคุณไปอย่างน่าเสียดาย

และเพราะโครงสร้างหรือองค์ประกอบเป็นเช่นนี้ จึงทำให้กลุ่มสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน 25 คนของกลุ่มนักวิชาการที่มีความเป็นเอกภาพมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า สามารถครอบงำและควบคุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

เป็นผลให้หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว อำนาจรัฐได้ถูกเฉลี่ยออกเป็น 2 ส่วน คือรัฐบาลรับเชิญส่วนหนึ่ง และสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ควบคุมบงการโดยกลุ่มนักวิชาการอีกส่วนหนึ่ง ในขณะที่คณะรัฐประหารที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและมีเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่เหลืออยู่เพียงแค่ประวัติศาสตร์อันขมขื่นที่รำลึกขึ้นเมื่อใดก็ต้องทอดถอนใจเมื่อนั้น

ข้อแปด ในการจัดตั้งรัฐบาลได้เกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงขึ้น ตรงที่เอาลูกพี่มาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้อำนาจที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของคณะรัฐประหารไม่สามารถใช้ได้ และต้องกลายเป็นแมวเชื่องๆ ที่กระอักโลหิตในแทบทุกย่างเท้าที่ก้าวเดิน

ในขณะที่ภายในรัฐบาลเอง กลุ่มนักวิชาการก็ได้แอบแฝงแต่งตั้งคนของตนลงในตำแหน่งสำคัญที่จะดูแลผลประโยชน์อำนาจเก่าและต่อยอดผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องที่อำนาจเก่าได้ทำไว้ จนทำให้กิจการของรัฐบาลยักแย่ยักยัน ขยับไม่ออก บอกไม่ถูก จนกระทั่งสิ้นวาระไป

ความผิดใหญ่หลวงของรัฐบาลนั้นก็คือ การใช้เท้าเป็นหัวและใช้หัวเดินต่างเท้า โดยจัดองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีจากข้าราชการบำนาญหรือข้าราชการเก่าที่ชั่วชีวิตไม่เคยคิดอ่านหรือปฏิบัติการทางด้านนโยบาย ชั่วชีวิตคอยแต่รับคำสั่ง รับนโยบาย มือกุมไข่ ก้มศีรษะครับผมเท่านั้น คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จึงไม่มีศักยภาพที่จะบริหารบ้านเมืองในยามวิกฤตและนำความเป็นปกติสุขกลับคืนสู่บ้านเมืองได้

นอกจากนั้นยังใช้คนผิดประเภท โดยเฉพาะการใช้คนประเภท “คนกลัวเมีย” ซึ่งต้องห้ามมิให้ใช้สอยในยามวิกฤตเป็นอันขาดก็มีอำนาจขึ้นในบ้านเมือง และด้วยอิทธิพลของหลังบ้านจึงทำให้การแผ่นดินวิปริตผันแปรไปอย่างคาดคิดไม่ถึง

ความผิดพลาดที่เห็นผลประจักษ์ก็คือได้ทำให้ขบวนการคนเสื้อแดงเกิดขึ้น ทำให้กระบวนการฟื้นอำนาจเก่าเกิดขึ้น และทำให้เกิดความลังเลในบรรดาข้าราชการว่าอำนาจใหม่นั้นเป็นแค่เสือกระดาษและเจว็ด ในขณะที่สักวันหนึ่งอำนาจเก่าจะหวนกลับมา

กระนั้นเลย จึงต่างคนต่างเข้าเกียร์ว่างและต่างก็แสวงหาประโยชน์ในทุกสิ่งอย่างที่สามารถแสวงหาได้ ในขณะที่รัฐบาลก็มุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้กับอำนาจเก่าและเป็นผลสำเร็จเมื่อพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง

มาถึงวันนี้ผลพวงและเภทภัยก็ยังเกิดขึ้นและขยายตัวไปอย่างไม่หยุดยั้งและเป็นดังที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้ว่าไว้ว่าเราจะไม่ได้เห็นบ้านเมืองที่เราเคยอยู่อีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น