กำลังบ่ายเบี่ยงเลี่ยงถ้อยบาลีหนีการใช้ถ้อยคำว่า “แปรรูป” กันจ้าละหวั่น จนทำให้กรณีมติคณะรัฐมนตรีแยกสลายกิจการรถไฟของประเทศไทย เกิดการสับสนงงงวยแล้วยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก กระทั่งไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันต่อไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงว่ากรณีเรื่องรถไฟนั้นไม่ใช่การแปรรูป แต่เป็นการปฏิรูป เพื่อประโยชน์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และจะไม่มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสุ้มเสียงอย่างเดียวกันกับนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เป็นสุ้มเสียงเดียวกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้วออกปากรับประกันว่าการดำเนินโครงการสนามบินสุวรรณภูมิของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในยุคนั้นไม่มีการทุจริตใดๆ
หลังจากรับประกันคราวนั้นแล้ว รัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็ถูกประจานขรมไปทั้งบ้านทั้งเมืองและทำให้อำนาจรัฐของระบอบทักษิณค่อยๆ ย่อยสลายประดุจดังเจดีย์ทรายต้องห่าฝนฉะนั้น
จะต้องติดตามดูกันต่อไปว่า เมื่อแนวความคิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายโสภณ ซารัมย์ จูนเข้ากัน และเดินหน้าทำในสิ่งที่พยายามบอกประชาชนว่าปฏิรูปการรถไฟฯ ไม่ใช่แปรรูปการรถไฟฯ แล้ว สถานการณ์ของรัฐบาลนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะซ้ำรอยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่
เพราะในวันนี้นายกรัฐมนตรีก็ยอมรับผลการสำรวจความนิยมแล้วว่ารัฐบาลสอบตก และยอมรับว่าที่เป็นเช่นนั้นเกิดจากเหตุการณ์เกาเหลาและการทุจริตในรัฐบาล
ใครเกาเหลากันอย่างไร และใครทุจริตอย่างไร เมื่อคนระดับนายกรัฐมนตรีพูดอย่างนี้ ก็ยืนยันความจริงที่ผู้คนรู้กันทั้งแผ่นดิน แต่ที่จะต้องติดตามกันต่อไปก็คือเมื่อรู้แล้ว พูดแล้ว จะทำอย่างไรต่อไป จะปล่อยให้การเกาเหลาและการทุจริตกัดบ้านกินเมืองที่เกิดขึ้นในรัฐบาลดำเนินต่อไป หรือจะกำจัดหรือแก้ไขประการใดต่อไป
ตรงจุดนี้แหละจะเป็นจุดพิสูจน์ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเป็นนายกรัฐมนตรีในดวงใจของประชาชนหรือไม่ ซึ่งได้แต่หวังว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ทำให้คนไทยผิดหวัง จะไม่ทำให้ดินโศกเศร้า ฟ้ากำสรวล ซึ่งนั่นหมายถึงสรรพวิบัติที่จะบังเกิดมีขึ้นแก่ตนและรัฐบาลในอนาคตอันไม่ไกล
กรณีเรื่องราวเกี่ยวกับการรถไฟแห่งประเทศไทยที่เกิดความขัดแย้งถึงขั้นหยุดการเดินรถทั่วประเทศนั้นมีมาตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ให้แยกสลายกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรก เป็นส่วนของการลงทุน เป็นส่วนของรายจ่ายหลักของกิจการรถไฟ คือการก่อสร้างราง การก่อสร้างสถานี และการสร้างไฟสัญญาณต่างๆ ในการเดินรถ รวมทั้งการบริหารจัดการดูแลรางรถไฟให้ใช้การได้ดีและปลอดภัยอยู่เสมอ
ส่วนนี้มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว มีแต่การลงทุนอย่างเดียว คณะรัฐมนตรีมีมติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับผิดชอบต่อไป ทำงานเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งเกิดผลอย่างเดียวก็คือการรถไฟแห่งประเทศไทยในอนาคตจะมีแต่รายจ่ายและขาดทุนอย่างเดียวเท่านั้น เพราะไม่มีรายได้เหมือนที่เป็นอยู่ แล้วภาระทั้งหมดนั้นก็ต้องตกแก่ประชาชนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วนที่สอง เป็นส่วนรายได้ในกิจการโดยตรงของการรถไฟแห่งประเทศไทย คือการเดินรถไฟ ทั้งรถไฟขนคนโดยสาร รถไฟขนสินค้า การเดินรถสายแอร์พอร์ตลิ้งค์ การเดินรถไฟฟ้าทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นและที่จะมีขึ้นในอนาคต รวมความก็คือกิจการอันเป็นรายได้ของกิจการรถไฟทั้งในปัจจุบันและอนาคตนั้น คณะรัฐมนตรีท่านให้แยกออกไปเป็นของบริษัทซึ่งจะจัดตั้งขึ้น ดังนั้นบริษัทนี้จึงมีแต่กำไรสถานเดียว และเป็นผู้คุมอำนาจในการเดินรถไฟหรือการเดินรถด้วยรางทั่วประเทศทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ส่วนที่สาม เป็นส่วนทรัพย์สินที่สามารถหาประโยชน์จำนวนมหาศาล เป็นที่ดินพระราชมรดกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้สถาปนาการรถไฟแห่งประเทศไทยได้พระราชทานไว้ให้ เพื่อให้หาประโยชน์บำรุงเลี้ยงรถไฟ และใช้สอยในกิจการรถไฟเพื่อทำให้ต้นทุนต่ำลง อันจะส่งผลให้พสกนิกรลูกหลานของพระองค์ท่านในอนาคตเสียค่าโดยสารและค่าใช้จ่ายถูกกว่าปกติ ที่ดินส่วนนี้ในอดีตมีเนื้อที่กว่า 400,000 ไร่ แต่ถูกแย่งยึดโกงเอาไป เหลืออยู่เพียง 250,000 ไร่ ในจำนวนนี้เป็นที่ดินสองข้างทางรถไฟประมาณ 200,000 ไร่ และเป็นที่สำหรับหาประโยชน์มาลดต้นทุนให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยอีกประมาณ 50,000 ไร่ ซึ่งคุณเปลวสีเงินได้ประเมินราคาไว้ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ประจำวันที่ 24 มิถุนายน 2552 ว่ามีราคา 3 ล้านล้านบาท
คณะรัฐมนตรีให้โอนทรัพย์สินคือที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยอันเป็นพระราชมรดกที่พระราชทานไว้ทั้งหมดไปให้อีกบริษัทหนึ่งซึ่งจะจัดตั้งขึ้น
แล้วคณะรัฐมนตรียังมีมติต่อไปอีกว่าให้ตั้งบริษัททั้งสองนี้ภายใน 30 วัน ให้แยกและโอนกิจการและทรัพย์สินในส่วนรายได้และทรัพย์สิน รวมทั้งผลประโยชน์ทั้งหมดไปให้สองบริษัทนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน หลังจากนั้นจึงให้กำหนดบทบาทของเอกชนที่จะเข้ามาบริหารจัดการกิจการของทั้งสองบริษัทนี้ เท่ากับคณะรัฐมนตรีออกเช็คเปล่าไว้ ให้ไปใส่ตัวเลขกันเอาเองในอนาคตหลังจากได้รับกิจการและทรัพย์สินในส่วนที่เป็นรายได้และผลประโยชน์ไปหมดแล้ว
แล้วถามว่ามติคณะรัฐมนตรีแบบนี้จะลดการขาดทุนหรือป้องกันการล้างผลาญฉ้อฉลปล้นการรถไฟแห่งประเทศไทยแบบที่เกิดขึ้นตลอดมาได้หรือไม่
ยิ่งกว่านั้น ยังระบุไว้อีกว่าให้บริษัทเดินรถสามารถปรับปรุงค่าโดยสารได้ ซึ่งหมายความว่าประชาชนผู้ใช้บริการจะต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น
นี่คือขั้นตอนแรกของการแปรรูป ไม่ใช่การปฏิรูปปฏิกูลอะไรทั้งสิ้น และเป็นการแปรรูปชนิดที่ทิ้งภาระมหาศาลให้กับประเทศชาติและประชาชนแบกรับ โดยขั้นต้นนี้ก็ต้องตั้งงบประมาณจากภาษีของประชาชนไปใช้หนี้ผลขาดทุนที่สั่งสมกันมาร่วม 70,000 ล้านบาท และยังต้องจัดเงินเพื่อจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานอีกเกือบ 20,000 ล้านบาท และในอนาคตจะต้องจ่ายกันอีกเท่าใดก็ยังไม่มีใครรู้
ส่วนบริษัททั้งสองที่ตั้งขึ้นนั้น เมื่อกำหนดทุนเป็นเรือนหุ้นก็สามารถเพิ่มทุนและกระจายหุ้นออกขายแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ ปตท. กฟผ. และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ นั่นเอง
จากนั้นก็เอาเข้าไปขายในตลาดหุ้น โดยที่ประชาชนเจ้าของประเทศคงได้แต่มองตาปริบๆ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับ ปตท. อย่างไร ก็ย่อมเกิดขึ้นกับบริษัท 2 บริษัทที่รับโอนกิจการและทรัพย์สินอันเป็นผลประโยชน์ไปจากการรถไฟแห่งประเทศไทยนั่นเอง
และวิธีการนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร มันเป็นปฏิบัติการตามแผนการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยจัดทำไว้ในช่วงปี 2541 นั่นเอง
แผนที่จัดทำไว้ในคราวนั้นเรียกว่าแผนการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย มีทั้งสิ้น 5 ขั้นตอน และมติคณะรัฐมนตรีนี้ดูให้ดีเถิดก็จะเห็นถึงขั้นตอนทั้ง 5 ขั้นตอนนั่นเอง
คือการกำหนดแยกกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยออกเป็น 3 ส่วน, การตั้งบริษัทลูก 2 บริษัท, การประเมินและแยกทรัพย์สิน หนี้สิน เพื่อจะโอนให้กับบริษัทลูกทั้ง 2 บริษัท, การโอนทรัพย์สินและกิจการให้แก่บริษัทลูกทั้ง 2 บริษัท และการกำหนดบทบาทเอกชนที่จะเข้ามาบริหารกิจการของทั้ง 2 บริษัท หลังจากได้รับโอนกิจการและทรัพย์สินไปเรียบร้อยแล้ว รวมเป็น 5 ขั้นตอนเหมือนกันเปี๊ยบ!
ดังนั้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ก็คือมติแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามแผนการที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 2541 เหตุนี้ถึงแม้ใครต่อใครจะบิดเบือนเรียกว่าการปฏิรูปหรือการปฏิกูลหรือปฏิสังขรณ์เพื่อให้ดูดี หรือเพื่อให้ประชาชนไม่ระแวงจะเกิดเหตุซ้ำรอยแบบ ปตท. อีก แต่เนื้อแท้มันก็คือการแปรรูปสลายกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีอนาคตจะถูกปล้นสะดมไปเป็นประโยชน์ของกลุ่มก๊วนทางการเมืองเช่นเดียวกับ ปตท. นั่นเอง
ดังนั้นการที่สหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไปได้ข้อมูลมาอย่างชัดเจนว่าหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติไม่ถึงสัปดาห์ ไอ้โม่งการเมืองก็จัดการตั้งบริษัทลูก 2 บริษัทเรียบร้อยแล้ว และวางลิ่วล้อบริวารเตรียมงาบกิจการรถไฟกันอย่างเงียบงัน และไม่มีใครฟังเสียงท้วงติงของชาวสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงต้องใช้วิธีการหยุดเดินรถไฟทั่วประเทศ จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและเป็นความเสียสละอย่างยิ่ง
จึงขอสดุดีวีรกรรมของชาวสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไว้ ณ ที่นี้ ที่สามารถขัดขาการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ฉ้อฉลปล้นประเทศชาติและประชาชนไว้ได้ชั่วคราว ซึ่งประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันพิทักษ์รักษาทรัพย์สมบัติแผ่นดินอันเป็นพระราชมรดกนี้ไว้ด้วยชีวิตสืบไป.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงว่ากรณีเรื่องรถไฟนั้นไม่ใช่การแปรรูป แต่เป็นการปฏิรูป เพื่อประโยชน์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และจะไม่มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสุ้มเสียงอย่างเดียวกันกับนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เป็นสุ้มเสียงเดียวกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้วออกปากรับประกันว่าการดำเนินโครงการสนามบินสุวรรณภูมิของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในยุคนั้นไม่มีการทุจริตใดๆ
หลังจากรับประกันคราวนั้นแล้ว รัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็ถูกประจานขรมไปทั้งบ้านทั้งเมืองและทำให้อำนาจรัฐของระบอบทักษิณค่อยๆ ย่อยสลายประดุจดังเจดีย์ทรายต้องห่าฝนฉะนั้น
จะต้องติดตามดูกันต่อไปว่า เมื่อแนวความคิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายโสภณ ซารัมย์ จูนเข้ากัน และเดินหน้าทำในสิ่งที่พยายามบอกประชาชนว่าปฏิรูปการรถไฟฯ ไม่ใช่แปรรูปการรถไฟฯ แล้ว สถานการณ์ของรัฐบาลนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะซ้ำรอยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่
เพราะในวันนี้นายกรัฐมนตรีก็ยอมรับผลการสำรวจความนิยมแล้วว่ารัฐบาลสอบตก และยอมรับว่าที่เป็นเช่นนั้นเกิดจากเหตุการณ์เกาเหลาและการทุจริตในรัฐบาล
ใครเกาเหลากันอย่างไร และใครทุจริตอย่างไร เมื่อคนระดับนายกรัฐมนตรีพูดอย่างนี้ ก็ยืนยันความจริงที่ผู้คนรู้กันทั้งแผ่นดิน แต่ที่จะต้องติดตามกันต่อไปก็คือเมื่อรู้แล้ว พูดแล้ว จะทำอย่างไรต่อไป จะปล่อยให้การเกาเหลาและการทุจริตกัดบ้านกินเมืองที่เกิดขึ้นในรัฐบาลดำเนินต่อไป หรือจะกำจัดหรือแก้ไขประการใดต่อไป
ตรงจุดนี้แหละจะเป็นจุดพิสูจน์ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเป็นนายกรัฐมนตรีในดวงใจของประชาชนหรือไม่ ซึ่งได้แต่หวังว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ทำให้คนไทยผิดหวัง จะไม่ทำให้ดินโศกเศร้า ฟ้ากำสรวล ซึ่งนั่นหมายถึงสรรพวิบัติที่จะบังเกิดมีขึ้นแก่ตนและรัฐบาลในอนาคตอันไม่ไกล
กรณีเรื่องราวเกี่ยวกับการรถไฟแห่งประเทศไทยที่เกิดความขัดแย้งถึงขั้นหยุดการเดินรถทั่วประเทศนั้นมีมาตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ให้แยกสลายกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรก เป็นส่วนของการลงทุน เป็นส่วนของรายจ่ายหลักของกิจการรถไฟ คือการก่อสร้างราง การก่อสร้างสถานี และการสร้างไฟสัญญาณต่างๆ ในการเดินรถ รวมทั้งการบริหารจัดการดูแลรางรถไฟให้ใช้การได้ดีและปลอดภัยอยู่เสมอ
ส่วนนี้มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว มีแต่การลงทุนอย่างเดียว คณะรัฐมนตรีมีมติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับผิดชอบต่อไป ทำงานเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งเกิดผลอย่างเดียวก็คือการรถไฟแห่งประเทศไทยในอนาคตจะมีแต่รายจ่ายและขาดทุนอย่างเดียวเท่านั้น เพราะไม่มีรายได้เหมือนที่เป็นอยู่ แล้วภาระทั้งหมดนั้นก็ต้องตกแก่ประชาชนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วนที่สอง เป็นส่วนรายได้ในกิจการโดยตรงของการรถไฟแห่งประเทศไทย คือการเดินรถไฟ ทั้งรถไฟขนคนโดยสาร รถไฟขนสินค้า การเดินรถสายแอร์พอร์ตลิ้งค์ การเดินรถไฟฟ้าทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นและที่จะมีขึ้นในอนาคต รวมความก็คือกิจการอันเป็นรายได้ของกิจการรถไฟทั้งในปัจจุบันและอนาคตนั้น คณะรัฐมนตรีท่านให้แยกออกไปเป็นของบริษัทซึ่งจะจัดตั้งขึ้น ดังนั้นบริษัทนี้จึงมีแต่กำไรสถานเดียว และเป็นผู้คุมอำนาจในการเดินรถไฟหรือการเดินรถด้วยรางทั่วประเทศทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ส่วนที่สาม เป็นส่วนทรัพย์สินที่สามารถหาประโยชน์จำนวนมหาศาล เป็นที่ดินพระราชมรดกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้สถาปนาการรถไฟแห่งประเทศไทยได้พระราชทานไว้ให้ เพื่อให้หาประโยชน์บำรุงเลี้ยงรถไฟ และใช้สอยในกิจการรถไฟเพื่อทำให้ต้นทุนต่ำลง อันจะส่งผลให้พสกนิกรลูกหลานของพระองค์ท่านในอนาคตเสียค่าโดยสารและค่าใช้จ่ายถูกกว่าปกติ ที่ดินส่วนนี้ในอดีตมีเนื้อที่กว่า 400,000 ไร่ แต่ถูกแย่งยึดโกงเอาไป เหลืออยู่เพียง 250,000 ไร่ ในจำนวนนี้เป็นที่ดินสองข้างทางรถไฟประมาณ 200,000 ไร่ และเป็นที่สำหรับหาประโยชน์มาลดต้นทุนให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยอีกประมาณ 50,000 ไร่ ซึ่งคุณเปลวสีเงินได้ประเมินราคาไว้ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ประจำวันที่ 24 มิถุนายน 2552 ว่ามีราคา 3 ล้านล้านบาท
คณะรัฐมนตรีให้โอนทรัพย์สินคือที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยอันเป็นพระราชมรดกที่พระราชทานไว้ทั้งหมดไปให้อีกบริษัทหนึ่งซึ่งจะจัดตั้งขึ้น
แล้วคณะรัฐมนตรียังมีมติต่อไปอีกว่าให้ตั้งบริษัททั้งสองนี้ภายใน 30 วัน ให้แยกและโอนกิจการและทรัพย์สินในส่วนรายได้และทรัพย์สิน รวมทั้งผลประโยชน์ทั้งหมดไปให้สองบริษัทนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน หลังจากนั้นจึงให้กำหนดบทบาทของเอกชนที่จะเข้ามาบริหารจัดการกิจการของทั้งสองบริษัทนี้ เท่ากับคณะรัฐมนตรีออกเช็คเปล่าไว้ ให้ไปใส่ตัวเลขกันเอาเองในอนาคตหลังจากได้รับกิจการและทรัพย์สินในส่วนที่เป็นรายได้และผลประโยชน์ไปหมดแล้ว
แล้วถามว่ามติคณะรัฐมนตรีแบบนี้จะลดการขาดทุนหรือป้องกันการล้างผลาญฉ้อฉลปล้นการรถไฟแห่งประเทศไทยแบบที่เกิดขึ้นตลอดมาได้หรือไม่
ยิ่งกว่านั้น ยังระบุไว้อีกว่าให้บริษัทเดินรถสามารถปรับปรุงค่าโดยสารได้ ซึ่งหมายความว่าประชาชนผู้ใช้บริการจะต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น
นี่คือขั้นตอนแรกของการแปรรูป ไม่ใช่การปฏิรูปปฏิกูลอะไรทั้งสิ้น และเป็นการแปรรูปชนิดที่ทิ้งภาระมหาศาลให้กับประเทศชาติและประชาชนแบกรับ โดยขั้นต้นนี้ก็ต้องตั้งงบประมาณจากภาษีของประชาชนไปใช้หนี้ผลขาดทุนที่สั่งสมกันมาร่วม 70,000 ล้านบาท และยังต้องจัดเงินเพื่อจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานอีกเกือบ 20,000 ล้านบาท และในอนาคตจะต้องจ่ายกันอีกเท่าใดก็ยังไม่มีใครรู้
ส่วนบริษัททั้งสองที่ตั้งขึ้นนั้น เมื่อกำหนดทุนเป็นเรือนหุ้นก็สามารถเพิ่มทุนและกระจายหุ้นออกขายแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ ปตท. กฟผ. และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ นั่นเอง
จากนั้นก็เอาเข้าไปขายในตลาดหุ้น โดยที่ประชาชนเจ้าของประเทศคงได้แต่มองตาปริบๆ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับ ปตท. อย่างไร ก็ย่อมเกิดขึ้นกับบริษัท 2 บริษัทที่รับโอนกิจการและทรัพย์สินอันเป็นผลประโยชน์ไปจากการรถไฟแห่งประเทศไทยนั่นเอง
และวิธีการนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร มันเป็นปฏิบัติการตามแผนการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เคยจัดทำไว้ในช่วงปี 2541 นั่นเอง
แผนที่จัดทำไว้ในคราวนั้นเรียกว่าแผนการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย มีทั้งสิ้น 5 ขั้นตอน และมติคณะรัฐมนตรีนี้ดูให้ดีเถิดก็จะเห็นถึงขั้นตอนทั้ง 5 ขั้นตอนนั่นเอง
คือการกำหนดแยกกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยออกเป็น 3 ส่วน, การตั้งบริษัทลูก 2 บริษัท, การประเมินและแยกทรัพย์สิน หนี้สิน เพื่อจะโอนให้กับบริษัทลูกทั้ง 2 บริษัท, การโอนทรัพย์สินและกิจการให้แก่บริษัทลูกทั้ง 2 บริษัท และการกำหนดบทบาทเอกชนที่จะเข้ามาบริหารกิจการของทั้ง 2 บริษัท หลังจากได้รับโอนกิจการและทรัพย์สินไปเรียบร้อยแล้ว รวมเป็น 5 ขั้นตอนเหมือนกันเปี๊ยบ!
ดังนั้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ก็คือมติแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามแผนการที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 2541 เหตุนี้ถึงแม้ใครต่อใครจะบิดเบือนเรียกว่าการปฏิรูปหรือการปฏิกูลหรือปฏิสังขรณ์เพื่อให้ดูดี หรือเพื่อให้ประชาชนไม่ระแวงจะเกิดเหตุซ้ำรอยแบบ ปตท. อีก แต่เนื้อแท้มันก็คือการแปรรูปสลายกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีอนาคตจะถูกปล้นสะดมไปเป็นประโยชน์ของกลุ่มก๊วนทางการเมืองเช่นเดียวกับ ปตท. นั่นเอง
ดังนั้นการที่สหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไปได้ข้อมูลมาอย่างชัดเจนว่าหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติไม่ถึงสัปดาห์ ไอ้โม่งการเมืองก็จัดการตั้งบริษัทลูก 2 บริษัทเรียบร้อยแล้ว และวางลิ่วล้อบริวารเตรียมงาบกิจการรถไฟกันอย่างเงียบงัน และไม่มีใครฟังเสียงท้วงติงของชาวสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงต้องใช้วิธีการหยุดเดินรถไฟทั่วประเทศ จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและเป็นความเสียสละอย่างยิ่ง
จึงขอสดุดีวีรกรรมของชาวสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไว้ ณ ที่นี้ ที่สามารถขัดขาการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ฉ้อฉลปล้นประเทศชาติและประชาชนไว้ได้ชั่วคราว ซึ่งประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันพิทักษ์รักษาทรัพย์สมบัติแผ่นดินอันเป็นพระราชมรดกนี้ไว้ด้วยชีวิตสืบไป.