การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กำลังครบรอบ 3 ปีแล้ว สถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นไปในวันนี้ย่อมเป็นผลส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นและกระทบมาจากการรัฐประหารครั้งนั้น และยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดบาดแผลใหญ่ของบ้านเมืองและความทุกข์ร้อนของประชาชนจะหมดสิ้นไป
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้หวนย้อนไปพิจารณาถึงการรัฐประหาร 19 กันยา อีกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารคราวนั้นก็ได้พูดในทำนองที่เห็นถึงปัญหาบางอย่างที่ถ้าหากเป็นวันนี้แล้วก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น
นั่นคือการยอมรับคำกล่าวของท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ตามคำถามของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่ว่าเมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์ เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์แต่ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจแล้ว
สถานการณ์ในขณะนั้นพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ได้ถูกต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก ในเรื่องการโกงเลือกตั้งชนิดบันลือโลก ในเรื่องการโกงชาติกินเมือง ในเรื่องการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ในเรื่องการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ และการครอบงำองค์กรอิสระและองค์กรของรัฐทั่วประเทศ จนจักแหล่นที่จะมีการจัดมวลชนมาประหัตประหารกันเอง จนเป็นที่กล่าวขวัญว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ถูกฉีกไปแล้วเกือบทั้งฉบับ เหลืออยู่แต่หมวดพระมหากษัตริย์เพียงบางมาตราเท่านั้น
สถานการณ์เหล่านั้นคือเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร หากการรัฐประหารจะถูกตำหนิติเตียนก็ต้องตำหนิติเตียนเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการรัฐประหารนั้นเป็นสำคัญ เพราะหากไม่มีเหตุก็ย่อมไม่มีผล ดังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
รัฐบาลในขณะนั้นกำเริบเสิบสาน ถือตนว่าครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน เข้าใจเอาเองว่ากองทัพซึ่งเป็นของชาติและของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นของตน จึงไม่สนใจไยดีต่อเสียงเพรียกร้องของประชาชน
แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอำนาจที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรมและใช้โดยไม่ชอบธรรมนั้น เป็นได้ก็แค่ต้นไม้ที่ไร้รากแก้ว แค่ลมโชยมาแต่แผ่วเบาก็ล้มครืนลงในพริบตาเท่านั้น
เพราะใช้คนโดยอาศัยแต่ความเป็นพวกพ้อง แต่คนเหล่านั้นก็หาได้เป็นที่ยอมรับนับถืออย่างแท้จริงไม่ กระทั่งมีคำเย้ยหยันว่าตั้งแต่พวกถือไม้กอล์ฟให้มีอำนาจ เพราะเหตุนั้นแม้จะเตรียมการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ไว้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
การเตรียมการประกาศภาวะฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า การตั้งกองบัญชาการต้านการรัฐประหารที่วางแผนไว้เป็นอย่างดี และการเตรียมการที่จะอาศัยกำลังทางสากล รวมทั้งการจัดเตรียมผู้คนยึดอำนาจคืนล้มเหลวลงทุกแผนการ เพียงแค่พริบตาสิ่งเหล่านี้ได้สลายหายไปตามสายลม และตกอยู่ภายใต้การควบคุมสถานการณ์ของคณะรัฐประหารอย่างสิ้นเชิง
ในด้านของการก่อการรัฐประหารเล่า แม้มีเรื่องราวเล่าขานตลอดกาล 3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีเรื่องราวบางประการที่ยังมืดงำและกำลังจะถูกลืมไปในประวัติศาสตร์ที่สมควรจะกล่าวให้ปรากฏไว้
ประการแรก การรัฐประหาร 19 กันยา ได้เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกฉุกเฉินและไม่มีการเตรียมการใดๆ เพื่อความพร้อมในการยึด ในการใช้ และในการรักษาอำนาจรัฐเลย
ประการนี้เป็นที่น่าเห็นใจและต้องเข้าใจเพราะอำนาจรัฐของพรรคไทยรักไทยนั้นเข้มแข็งเกรียงไกร มีเครือข่ายกว้างขวางโดยเฉพาะด้านการข่าว หากมีการเตรียมการล่วงหน้าแล้วไหนเลยจะรอดพ้นจากหูตาของอำนาจรัฐไปได้ ดังนั้นนอกจากการเตรียมการทางทหารในจุดสำคัญซึ่งลับสุดยอด และมีคนเพียงน้อยนิดที่รู้เรื่องล่วงหน้าในระยะไม่เกิน 48 ชั่วโมง นอกนั้นแล้วเป็นการจัดการอย่างฉุกเฉินทั้งสิ้น
แม้กระทั่งการเคลื่อนกำลังของกองทัพภาคที่ 3 ก็เพียงแค่หนุนและประกันให้ปฏิบัติการของกองกำลังหลักไม่ผิดพลาดเสียหายเท่านั้น มีปฏิบัติการที่อาศัยและอิงการเคลื่อนกำลังปกติเพียงไม่เกิน 24 ชั่วโมง และปฏิบัติการที่อาศัยการสั่งการเพียงแค่ไม่เกิน 6 ชั่วโมงเท่านั้น
เพราะเหตุนี้กองบัญชาการการรัฐประหารจึงว่างเปล่า และไม่มีความพร้อมใดๆ แม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะใช้ในการพิมพ์ประกาศคำสั่ง แม้กระทั่งแผนปฏิบัติการเพื่อความกระชับมั่นของการปฏิบัติการยึดอำนาจล้วนว่างเปล่า และเกิดขึ้นหลังจากการปฏิบัติการทางทหารเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วทั้งสิ้น
ในประการนี้แสดงให้เห็นว่าหัวหน้าคณะรัฐประหารนั้นคือยอดเสนาธิการและมีความรู้ล้ำลึกในการบัญชาการทหารที่หาตัวจับได้ยากในยุคปัจจุบัน ที่ถึงใครจะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็คงไม่อาจปฏิเสธความปรีชาสามารถในประการนี้ได้
ในประการนี้ก็แสดงให้เห็นอีกว่าการเตรียมการอย่างสมบูรณ์นั้น แท้จริงก็มีจุดอ่อนอยู่ในตัว ที่ถึงขนาดอาจทำให้การรัฐประหารเกิดขึ้นไม่ได้ และความว่างเปล่าที่ถ้าหากบัญชาโดยยอดขุนพล ยอดเสนาธิการแล้ว ก็สามารถพลิกแพลงใช้ความว่างนั้นให้เต็มเปี่ยมได้เสมอ
ประการที่สอง คำกล่าวของท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ยังมีความถูกต้องทั่วไปแม้ในวันนี้ การรัฐประหาร 19 กันยา แม้ริเริ่มและลงมือโดยฝ่ายทหาร แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังปฏิบัติการยึดอำนาจเสร็จสิ้นแล้ว การรัฐประหารนั้นก็ถูกยึดอำนาจซ้อนโดย “กลุ่มนักวิชาการ” อย่างแยบยล และไม่มีใครรู้ตัว
นั่นเป็นผลจากการมีอำนาจแต่ไร้ประสบการณ์ในการครองอำนาจ จึงเกิดการกำหนดให้การครองอำนาจในฐานะรัฏฐาธิปัตย์สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของการรัฐประหาร คือกำหนดการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและตั้งรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญนั้นในอีก 14 วันข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารมีเวลาชั่วแค่ 13 วันเท่านั้น
และเป็น 13 วันที่สิ้นไปเพราะการจัดการด้านความมั่นคงไปแล้วไม่น้อยกว่า 4 วัน จึงเหลือเวลาเพียง 9-11 วันเท่านั้นที่สามารถใช้อำนาจแห่งรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารได้
ดังนั้น ผลของการรัฐประหารที่แท้จริงจึงเป็นได้แค่กวาดรัฐบาลพรรคไทยรักไทยออกไปจากอำนาจ ในขณะที่องคาพยพเครือข่ายและพละกำลังต่างๆ มิได้ถูกแตะต้องจัดการใดๆ เลย
นี่ไม่เรียกว่าเป็นการกระทำที่ไร้เดียงสาของผู้อ่อนเยาว์ด้านประสบการณ์แล้ว ก็ไม่มีคำอื่นใดที่เหมาะสมกว่านี้อีก คณะรัฐประหารหากมานึกย้อนหลังในวันนี้แม้เสียดายและเสียใจก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว นี่เพราะการหลงลมการหลอกลวงของนักวิชาการที่ปลิ้นปล้อนและฉ้อฉล เป็นผลให้อำนาจรัฐที่แท้จริงตกไปอยู่ในมือของกลุ่มนักวิชาการโดยไม่รู้สึกตัวนับแต่บัดนั้น
กระบวนการยึดอำนาจซ้อนของกลุ่มนักวิชาการได้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในประการดังต่อไปนี้
ข้อแรก มีการวางหมากและวางคนของตนเองหรือกลุ่มตนลงไปในกลไกต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารในห้วงเวลานั้นเพื่อปฏิบัติการแห่งอำนาจในห้วงเวลาของการรัฐประหารและต่อเนื่องต่อไปหลังจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวได้ประกาศใช้แล้ว
ผลจากข้อนี้ในทันทีที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ ความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารก็สิ้นสุดลง แต่กลุ่มนักวิชาการกลับสามารถสืบทอดอำนาจขยายอิทธิพลข้ามภพข้ามชาติต่อไปได้อีก
มีแต่ กกต. เท่านั้นที่กลุ่มนักวิชาการคณะนี้ไม่สามารถหักล้างเหตุผลของผู้เสนอได้ จนเป็นเหตุให้พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ได้ตัดสินใจตั้ง กกต. ชุดปัจจุบันนี้ให้ดำรงตำแหน่ง กกต. เพราะเป็น กกต. ที่ได้ผ่านการสรรหาจากศาลฎีกามาก่อนและวุฒิสภาในขณะนั้นได้ลงมติคัดเลือกแล้ว
ข้อสอง มีการวางกลทางกฎหมายเพื่อหวังแบ่งสินศึกอย่างแยบยล นั่นคือเรื่องการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิด ซึ่งในตอนต้น พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน มีความเห็นที่จะต้องทำการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้โกงบ้านกินเมือง และให้โอกาสพิสูจน์การได้มาตลอดจนการเสียภาษี หากไม่สามารถพิสูจน์ที่มาหรือการชำระภาษีได้ก็ให้ตกเป็นของรัฐ
แต่ทว่ามีคนบางคนได้ทำการต่อสายกับใครต่อใครเพื่อที่จะหาทางแบ่งสินศึกเชลยกันในหมู่บางกลุ่มบางคณะ จึงเป็นเหตุให้ความคิดเดิมของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ต้องล้มเลิกไปแล้วเหลือเพียงการตั้ง คตส. เข้าแทนที่ โยนภาระการพิสูจน์อันแสนยากลำบากและพึงเป็นหน้าที่ของผู้กระทำความผิดมาเป็นของ คตส. มิหนำซ้ำยังวางใครต่อใครเพื่อเป็นกลไกปฏิบัติการในชั้นตรวจสอบซ้ำเข้าไปอีก
ทรัพย์สินศึกจึงเป็นปมปัญหาต่อเนื่อง ทำให้บ้านเมืองไม่มีความสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้ และทำให้การรัฐประหารนั้นไม่ได้ทรัพย์สมบัติของชาติกลับคืนมาเลยจนกระทั่งถึงวันนี้และต้องรอคอยคำวินิจฉัยของศาลในที่สุด
ทว่าคณะรัฐประหารได้ไหวตัวทันก่อนสิ้นอำนาจ จึงได้ปรับปรุงองค์ประกอบของ คตส. เสียใหม่ จากที่ตั้งกันไว้เดิม เป็นผลให้ คตส. ทำงานได้ผลตามสมควรแก่เวลาและภาระดังที่เห็นๆ อยู่
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้หวนย้อนไปพิจารณาถึงการรัฐประหาร 19 กันยา อีกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารคราวนั้นก็ได้พูดในทำนองที่เห็นถึงปัญหาบางอย่างที่ถ้าหากเป็นวันนี้แล้วก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น
นั่นคือการยอมรับคำกล่าวของท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ตามคำถามของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่ว่าเมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์ เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์แต่ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจแล้ว
สถานการณ์ในขณะนั้นพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ได้ถูกต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก ในเรื่องการโกงเลือกตั้งชนิดบันลือโลก ในเรื่องการโกงชาติกินเมือง ในเรื่องการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ในเรื่องการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ และการครอบงำองค์กรอิสระและองค์กรของรัฐทั่วประเทศ จนจักแหล่นที่จะมีการจัดมวลชนมาประหัตประหารกันเอง จนเป็นที่กล่าวขวัญว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ถูกฉีกไปแล้วเกือบทั้งฉบับ เหลืออยู่แต่หมวดพระมหากษัตริย์เพียงบางมาตราเท่านั้น
สถานการณ์เหล่านั้นคือเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร หากการรัฐประหารจะถูกตำหนิติเตียนก็ต้องตำหนิติเตียนเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการรัฐประหารนั้นเป็นสำคัญ เพราะหากไม่มีเหตุก็ย่อมไม่มีผล ดังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
รัฐบาลในขณะนั้นกำเริบเสิบสาน ถือตนว่าครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน เข้าใจเอาเองว่ากองทัพซึ่งเป็นของชาติและของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นของตน จึงไม่สนใจไยดีต่อเสียงเพรียกร้องของประชาชน
แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอำนาจที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรมและใช้โดยไม่ชอบธรรมนั้น เป็นได้ก็แค่ต้นไม้ที่ไร้รากแก้ว แค่ลมโชยมาแต่แผ่วเบาก็ล้มครืนลงในพริบตาเท่านั้น
เพราะใช้คนโดยอาศัยแต่ความเป็นพวกพ้อง แต่คนเหล่านั้นก็หาได้เป็นที่ยอมรับนับถืออย่างแท้จริงไม่ กระทั่งมีคำเย้ยหยันว่าตั้งแต่พวกถือไม้กอล์ฟให้มีอำนาจ เพราะเหตุนั้นแม้จะเตรียมการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ไว้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
การเตรียมการประกาศภาวะฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า การตั้งกองบัญชาการต้านการรัฐประหารที่วางแผนไว้เป็นอย่างดี และการเตรียมการที่จะอาศัยกำลังทางสากล รวมทั้งการจัดเตรียมผู้คนยึดอำนาจคืนล้มเหลวลงทุกแผนการ เพียงแค่พริบตาสิ่งเหล่านี้ได้สลายหายไปตามสายลม และตกอยู่ภายใต้การควบคุมสถานการณ์ของคณะรัฐประหารอย่างสิ้นเชิง
ในด้านของการก่อการรัฐประหารเล่า แม้มีเรื่องราวเล่าขานตลอดกาล 3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีเรื่องราวบางประการที่ยังมืดงำและกำลังจะถูกลืมไปในประวัติศาสตร์ที่สมควรจะกล่าวให้ปรากฏไว้
ประการแรก การรัฐประหาร 19 กันยา ได้เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกฉุกเฉินและไม่มีการเตรียมการใดๆ เพื่อความพร้อมในการยึด ในการใช้ และในการรักษาอำนาจรัฐเลย
ประการนี้เป็นที่น่าเห็นใจและต้องเข้าใจเพราะอำนาจรัฐของพรรคไทยรักไทยนั้นเข้มแข็งเกรียงไกร มีเครือข่ายกว้างขวางโดยเฉพาะด้านการข่าว หากมีการเตรียมการล่วงหน้าแล้วไหนเลยจะรอดพ้นจากหูตาของอำนาจรัฐไปได้ ดังนั้นนอกจากการเตรียมการทางทหารในจุดสำคัญซึ่งลับสุดยอด และมีคนเพียงน้อยนิดที่รู้เรื่องล่วงหน้าในระยะไม่เกิน 48 ชั่วโมง นอกนั้นแล้วเป็นการจัดการอย่างฉุกเฉินทั้งสิ้น
แม้กระทั่งการเคลื่อนกำลังของกองทัพภาคที่ 3 ก็เพียงแค่หนุนและประกันให้ปฏิบัติการของกองกำลังหลักไม่ผิดพลาดเสียหายเท่านั้น มีปฏิบัติการที่อาศัยและอิงการเคลื่อนกำลังปกติเพียงไม่เกิน 24 ชั่วโมง และปฏิบัติการที่อาศัยการสั่งการเพียงแค่ไม่เกิน 6 ชั่วโมงเท่านั้น
เพราะเหตุนี้กองบัญชาการการรัฐประหารจึงว่างเปล่า และไม่มีความพร้อมใดๆ แม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะใช้ในการพิมพ์ประกาศคำสั่ง แม้กระทั่งแผนปฏิบัติการเพื่อความกระชับมั่นของการปฏิบัติการยึดอำนาจล้วนว่างเปล่า และเกิดขึ้นหลังจากการปฏิบัติการทางทหารเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วทั้งสิ้น
ในประการนี้แสดงให้เห็นว่าหัวหน้าคณะรัฐประหารนั้นคือยอดเสนาธิการและมีความรู้ล้ำลึกในการบัญชาการทหารที่หาตัวจับได้ยากในยุคปัจจุบัน ที่ถึงใครจะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็คงไม่อาจปฏิเสธความปรีชาสามารถในประการนี้ได้
ในประการนี้ก็แสดงให้เห็นอีกว่าการเตรียมการอย่างสมบูรณ์นั้น แท้จริงก็มีจุดอ่อนอยู่ในตัว ที่ถึงขนาดอาจทำให้การรัฐประหารเกิดขึ้นไม่ได้ และความว่างเปล่าที่ถ้าหากบัญชาโดยยอดขุนพล ยอดเสนาธิการแล้ว ก็สามารถพลิกแพลงใช้ความว่างนั้นให้เต็มเปี่ยมได้เสมอ
ประการที่สอง คำกล่าวของท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ยังมีความถูกต้องทั่วไปแม้ในวันนี้ การรัฐประหาร 19 กันยา แม้ริเริ่มและลงมือโดยฝ่ายทหาร แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังปฏิบัติการยึดอำนาจเสร็จสิ้นแล้ว การรัฐประหารนั้นก็ถูกยึดอำนาจซ้อนโดย “กลุ่มนักวิชาการ” อย่างแยบยล และไม่มีใครรู้ตัว
นั่นเป็นผลจากการมีอำนาจแต่ไร้ประสบการณ์ในการครองอำนาจ จึงเกิดการกำหนดให้การครองอำนาจในฐานะรัฏฐาธิปัตย์สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของการรัฐประหาร คือกำหนดการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและตั้งรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญนั้นในอีก 14 วันข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารมีเวลาชั่วแค่ 13 วันเท่านั้น
และเป็น 13 วันที่สิ้นไปเพราะการจัดการด้านความมั่นคงไปแล้วไม่น้อยกว่า 4 วัน จึงเหลือเวลาเพียง 9-11 วันเท่านั้นที่สามารถใช้อำนาจแห่งรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารได้
ดังนั้น ผลของการรัฐประหารที่แท้จริงจึงเป็นได้แค่กวาดรัฐบาลพรรคไทยรักไทยออกไปจากอำนาจ ในขณะที่องคาพยพเครือข่ายและพละกำลังต่างๆ มิได้ถูกแตะต้องจัดการใดๆ เลย
นี่ไม่เรียกว่าเป็นการกระทำที่ไร้เดียงสาของผู้อ่อนเยาว์ด้านประสบการณ์แล้ว ก็ไม่มีคำอื่นใดที่เหมาะสมกว่านี้อีก คณะรัฐประหารหากมานึกย้อนหลังในวันนี้แม้เสียดายและเสียใจก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว นี่เพราะการหลงลมการหลอกลวงของนักวิชาการที่ปลิ้นปล้อนและฉ้อฉล เป็นผลให้อำนาจรัฐที่แท้จริงตกไปอยู่ในมือของกลุ่มนักวิชาการโดยไม่รู้สึกตัวนับแต่บัดนั้น
กระบวนการยึดอำนาจซ้อนของกลุ่มนักวิชาการได้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในประการดังต่อไปนี้
ข้อแรก มีการวางหมากและวางคนของตนเองหรือกลุ่มตนลงไปในกลไกต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารในห้วงเวลานั้นเพื่อปฏิบัติการแห่งอำนาจในห้วงเวลาของการรัฐประหารและต่อเนื่องต่อไปหลังจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวได้ประกาศใช้แล้ว
ผลจากข้อนี้ในทันทีที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ ความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารก็สิ้นสุดลง แต่กลุ่มนักวิชาการกลับสามารถสืบทอดอำนาจขยายอิทธิพลข้ามภพข้ามชาติต่อไปได้อีก
มีแต่ กกต. เท่านั้นที่กลุ่มนักวิชาการคณะนี้ไม่สามารถหักล้างเหตุผลของผู้เสนอได้ จนเป็นเหตุให้พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ได้ตัดสินใจตั้ง กกต. ชุดปัจจุบันนี้ให้ดำรงตำแหน่ง กกต. เพราะเป็น กกต. ที่ได้ผ่านการสรรหาจากศาลฎีกามาก่อนและวุฒิสภาในขณะนั้นได้ลงมติคัดเลือกแล้ว
ข้อสอง มีการวางกลทางกฎหมายเพื่อหวังแบ่งสินศึกอย่างแยบยล นั่นคือเรื่องการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิด ซึ่งในตอนต้น พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน มีความเห็นที่จะต้องทำการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้โกงบ้านกินเมือง และให้โอกาสพิสูจน์การได้มาตลอดจนการเสียภาษี หากไม่สามารถพิสูจน์ที่มาหรือการชำระภาษีได้ก็ให้ตกเป็นของรัฐ
แต่ทว่ามีคนบางคนได้ทำการต่อสายกับใครต่อใครเพื่อที่จะหาทางแบ่งสินศึกเชลยกันในหมู่บางกลุ่มบางคณะ จึงเป็นเหตุให้ความคิดเดิมของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ต้องล้มเลิกไปแล้วเหลือเพียงการตั้ง คตส. เข้าแทนที่ โยนภาระการพิสูจน์อันแสนยากลำบากและพึงเป็นหน้าที่ของผู้กระทำความผิดมาเป็นของ คตส. มิหนำซ้ำยังวางใครต่อใครเพื่อเป็นกลไกปฏิบัติการในชั้นตรวจสอบซ้ำเข้าไปอีก
ทรัพย์สินศึกจึงเป็นปมปัญหาต่อเนื่อง ทำให้บ้านเมืองไม่มีความสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้ และทำให้การรัฐประหารนั้นไม่ได้ทรัพย์สมบัติของชาติกลับคืนมาเลยจนกระทั่งถึงวันนี้และต้องรอคอยคำวินิจฉัยของศาลในที่สุด
ทว่าคณะรัฐประหารได้ไหวตัวทันก่อนสิ้นอำนาจ จึงได้ปรับปรุงองค์ประกอบของ คตส. เสียใหม่ จากที่ตั้งกันไว้เดิม เป็นผลให้ คตส. ทำงานได้ผลตามสมควรแก่เวลาและภาระดังที่เห็นๆ อยู่