xs
xsm
sm
md
lg

แก้วิกฤตเขาพระวิหารด้วยมาตรการเศรษฐกิจ

เผยแพร่:   โดย: ทวิช จิตรสมบูรณ์

โดย ทวิช จิตรสมบูรณ์

ผมพิมพ์แป้นมาบัดนี้คงไม่ต่ำกว่า 20 บทความ จนนิ้วด้าน ที่พยายามหาทางออกให้รัฐบาลไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่เกิดปัญหาเขาพระวิหารในระลอกนี้ โดยผมเสนอวิธีแก้ตั้งแต่ปัญหาประวัติศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ตรรกศาสตร์ ว่าวิหารนี้สร้างโดยคนไตในดินแดนสยามแน่นอน

แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้มรรคผลอะไร ก็คงต้องตำสมองละลายทนเลสาปกันต่อไป

รวมทั้งผมได้เสนอมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ด้วย แต่เน้นประเด็นนี้น้อยไปหน่อย ดังนั้นในบทความที่ประมาณ 21 นี้ ผมจะเน้นย้ำด้านเศรษฐศาสตร์อีกสักครั้ง คงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เส้นโลหิตในสมองผมจะแตกตายเพราะความเครียดเสียก่อน (ท่านใดจะช่วยเอาเถ้ากระดูกผมไปโรยที่ขั้นบันไดเขาพระวิหารด้วยก็จะเป็นบุญคุณ)

1) เศรษฐกิจไทยเราใหญ่กว่าเขมรประมาณสัก 50 เท่าเห็นจะได้ (สัดส่วนพอๆ กับไทยเทียบกับอเมริกา) แต่เราไม่เคยใช้ความได้เปรียบนี้ในการเจรจาความเมืองกับเขมรเลย (ส่วนไอ้กันมันใช้ตรงนี้หลอกทานเรามาตลอดในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา) ตรงกันข้ามเขมรมันกลับใช้ความด้อยของมันเกทับบลัฟแหลกเรามาโดยตลอด (แล้วเราเคยทำอะไรกับไอ้กันทำนองนี้บ้างไหม) ส่วนเรา (ยักษ์โง่) ก็เห็นคล้อยกับไอ้แจ็คขะแมร์มาโดยตลอด เช่น มันมักขู่ว่าถ้าเกิดเรื่องจะงดสั่งสินค้าจากไทย ซึ่งจะทำให้พ่อค้าส่งออกไทยเดือดร้อน แต่เราไม่เคยถามกลับเลยว่าเดือดร้อนสักเท่าไหร่ ลองคำนวณสิครับ ถ้าเขมรเลิกซื้อสินค้าไทยหมดเกลี้ยง มันจะกระทบ GDP ของเราไม่ถึง 0.1% หรอก เรียกว่าขนหน้าแข้งไม่ร่วง แต่พอมันขู่เพียงแค่นี้นักการเมืองไทยก็หงอราบคาบแก้วหมดแล้ว (แก้วไวน์ที่กำลังดื่มฉลองชัยชนะหลังซื้อเสียงเลือกตั้งมาได้น่ะแหละ)

2) แต่ลองคิดในมุมกลับบ้างว่าถ้าไม่ซื้อสินค้าจากเรา เขมรมันจะเดือดร้อนหนักขนาดไหน เราก็จิตอ่อนคิดไปว่ามันจะไปหาซื้อเอากับเวียดนาม จีน แทนที่เราได้โดยง่าย โดยลืมคิดไปว่าการซื้อขายสินค้าพวกนี้มันไม่ง่ายเหมือนกับเปลี่ยนร้านซื้อไอติม หรือ กระดาษชำระหรอกนะ มันทุลักทุเลมากกว่าจะหาผู้ขายที่ให้ราคาดี ซื่อสัตย์รู้ใจกัน และมีคุณภาพดีอีกต่างหาก กว่าจะลองผิดลองถูกหาซื้อได้กิจการจำนวนมากก็อาจเจ๊งไปแล้ว เช่น ฝ้ายทอผ้า (ซึ่งเป็นกิจการเศรษฐกิจที่สำคัญของเขมร, คาร์บูเรตเตอร์รถมอเตอร์ไซค์, รวมไปถึงก๋วยเตี๋ยวสำเร็จที่พวกเขากินกันจนรสชาติติดใจหมดทั้งประเทศแล้ว ซึ่งมันไม่ได้เปลี่ยนรสนิยมกันได้ชั่วข้ามคืน)

3) ยังไม่ต้องนับการท่องเที่ยวที่เป็นธุรกิจที่กำลังทำรายได้ให้กับเขาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งหลายนี้ คนไทยเข้ามาเที่ยวเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนต่างชาติทั้งหมด ก็ต้องเดินทางผ่านสนามบินไทยเพื่อเข้ามายัง “สยามราบ “ (เสียมเรียบ) เพื่อชมนครวัดที่สร้างโดยกษัตริย์สุริยวรมันที่ 2 ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายโคราชของเรานี่เอง

4) ถ้าเราปิดด่านการค้า ปิดเที่ยวบิน (ห้ามบินเข้าเขมร) ถามว่าใครเดือดร้อน ตอบ...ไทยเดือดร้อน 0.5% แต่เขมรเดือดร้อน 30% (มากกว่าเรา 60 เท่า) แล้วอย่างนี้เรายังไม่รู้จักเล่นไพ่มาตรการเศรษฐกิจใบนี้อีกหรือ สงสัยเคร่งครัดหลักศาสนากันมากที่ห้ามอบายมุข (แต่อย่าลืมด้วยว่าการปิดด่านค้าขายจะช่วยลดอบายมุขได้มาก เพราะช่วยลดจำนวนคนไทยไปเล่นการพนัน กินเหล้า เข้าซ่องในเขมรได้มากอีกด้วย รวมทั้งลดรายได้ “ผู้นำ” เขมรลงไปด้วย)

5) ยังมีประเด็นปลีกย่อยอีกมาก ลองคิดเองดูบ้างนะครับ ถ้าให้ผมบอกเสียหมด จะหมดสนุกเสียก่อน ที่ปรึกษานักการเมืองดีกรีสูงรวมกันทั้งหมดแล้วก็มีกันหลายร้อยคน จ่ายเงินเดือนรวมแล้วหลายร้อยล้านบาทต่อปี ก็ใช้บริการพวกเขาบ้างนะครับ

ใคร่ขอเสนอต่อไปว่า ถ้าใช้มาตรการเศรษฐกิจดังกล่าวไม่สำเร็จ (หรือดูเหมือนว่าไม่สำเร็จ เพราะเล่นไพ่ไม่เก่งแบบฮุนเซ็น) ก็ควรร้องต่อ UN ให้ประกาศดินแดนเขาพระวิหารเป็นเขตเป็นกลาง อยู่ในความดูแลของ UN จนกว่าจะมีหลักฐานเพื่อตัดสินให้ตกเป็นของฝ่ายใดโดยศาลโลกอีกครั้ง

และในระหว่างนี้ก็เร่งทุ่มเงินทำการวิจัยประวัติศาสตร์เสียให้ดี (ถ้าจะให้ดีก็จ้างนักวิชาการชื่อดังชาวฝรั่งเศสมาเป็นหัวหน้าโครงการเสียเลย แต่ผลวิจัยต้องผ่านสภาไทยเราด้วยนะ) ควรพิจารณาให้ชาวศรีสะเกษฟ้องศาลโลกเพื่อเรียกร้องดินแดนคืน (เน้นย้ำ ...ให้ชาวศรีสะเกษฟ้อง ไม่ใช่ประเทศไทยฟ้องเหมือนสมัยสฤษดิ์ ซึ่งผมได้เขียนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว ส่งอีเมลไปยัง อบต.กันทรลักษณ์ด้วย)

ที่น่าสนใจคือไทยเรามีเงินมากกว่าเขมร 60 เท่า แต่การข่าวของไทยหายไปไหน ทั้งที่มีงบราชการลับที่ไม่ต้องตรวจสอบปีละหลายพันล้าน ทำไมไม่เอาไป “ซื้อ” ข่าวเพื่อให้รู้เขา เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนมากกว่านี้ หรือว่ามันเป็นราชการ “รับ” เสียหมดสิ้น

สงครามจิตวิทยาเชิงเศรษฐศาสตร์ในบริบทของเวทีโลกสำคัญที่สุด จีน เวียดนาม ลาว และ ญี่ปุ่น UN คือคานงัด (leverage) ที่จะช่วยเราได้มาก โดยใช้เงินของเราให้เป็นประโยชน์ แต่อนิจจา..นักการเมืองไทยเราส่วนใหญ่มีเวลาและระดับมันสมองเพียงเพื่อคิดเอาตัวรอด และพรรคพวกรอด พวกเขาไม่มีเวลาเหลือพอที่จะคิดเอาชาติรอดกันสักเท่าใด ทั้งนี้เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ทำงานการเมืองเป็นงานอดิเรก แต่ทำมาหากินเป็นงานหลักด้วยกันทั้งสิ้น

ส่วนฮุนเซ็นนั้นเขาทำงานการเมืองเป็นหลัก หากินเป็นเพียงผลได้ (แต่ก็มากมหาศาลเกินพอ) มันต่างกันตรงนี้เอง ดังนั้น เขมรฮุนเซ็นเพียงคนเดียวจึงเอาชนะทางความคิดต่อคนไทยทั้งชาติได้โดยง่ายดาย (ผ่านผู้แทนรัฐสภาอันทรงเกียรติ) ทั้งที่เรามีศักยภาพสูงกว่าเขา 60 เท่าในด้านเศรษฐกิจ ส่วนมหาวิทยาลัยนั้นเรามีด็อกมากกว่าเขมร 200 เท่ากระมัง แต่เป็นด็อกแดกเกือบทั้งนั้น (คือหลอกแดกเงินเดือนไปวันๆ ไม่ได้คิดทำอะไรเพื่อชาติสักเท่าใด)

เรื่องเขมรไทยในเกมเขาพระวิหารครั้งนี้ คิดอุปมาแล้วไม่ต่างอะไรกับการที่บอลไทยชนะบราซิล 3-0 มันเหลือเชื่อ แต่ฮุนเซ็นเขาทำได้ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแบบฟลุก แต่เขาชนะมา 7 ปีติดต่อกันแล้วด้วย ตั้งแต่ไอ้ ThugSin มันครอง เสียม (เรียบ)
กำลังโหลดความคิดเห็น