ASTVผู้จัดการรายวัน - "สนธิ" ประกาศจุดยืนกลางเวทีเมืองปากน้ำ พร้อมเดินเข้าคุกอย่างสง่าผ่าเผยหากศาลฎีกาตัดสิน เพื่อรักษาหลักนิติรัฐและความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า"ในพระปรมาภิไธย" ยืนยันไม่เคยกลัวคุกหรือกลัวตายเหมือน"นช.แม้ว" ที่ไร้อุดมการณ์ หนีออกนอกประเทศ แล้วด่าศาลเสียๆ หายๆ ย้ำแกนนำพันธมิตรฯ ไม่เคยหวั่นไหวกับลาภยศหรือความตาย การบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติของนักรบ เมื่อถึงเวลาต้องตายเพื่อส่วนรวมก็ยอม วอนพี่น้องหนักแน่น เก็บน้ำตาไว้เป็นพลังสร้างการเมืองใหม่
เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในระหว่างการขึ้นเวทีคอนเสิร์ต "สมุทรปราการ ร่วมสร้างการเมืองใหม่" ที่ศาลาเอื้อสุข สวางคนิวาส อ.เมือง จ.สมุทรปราการ “ASTVผู้จัดการรายวัน” ขอนำรายละเอียดของการพูดในวันนั้นมานำเสนอชนิดคำต่อคำ...
พ่อแม่พี่น้องครับ วันนี้ยังไงก็ต้องมา เพราะน้องปอง อัญชะลี ไพรีรัก เป็นทั้งพันธมิตรฯ และทั้งน้องสาว ซึ่งผมคงจะใช้เวลาพูดไม่นาน เพราะไม่เคยมีกำหนดการใด ไม่ว่างานใดก็ตามจะปรากฏตัว เพื่อความปลอดภัย แต่วันนี้จำเป็นต้องมา เมื่อพูดจบแล้วก็ต้องกลับไป อยากกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องว่า เราต่อสู้กันมาไม่ใช่แค่ 193 วัน แต่เราสู้กันมาตั้งแต่ปี 2548 โดยหลายๆ คน ที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ ก็เคยร่วมต่อสู้กันมาตั้งแต่สมัยจัดรายการที่หอประชุมเล็กและใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ จนถึงที่สวนลุมพินี ต่อมาเรื่อยๆ
ผมอยากฝากไว้ว่า เราได้ปลูกหว่านเม็ดแห่งปัญญาในตัวสังคมไว้แล้ว อย่าไปละทิ้งมัน หรือท้อแท้พี่น้อง ในการต่อสู้นั้น เมื่อเป็นนักรบมันต้องมีบาดเจ็บ แต่ข้อแตกต่างระหว่างแกนนำพันธมิตรฯ กับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง สู้ต่างกันตรงอย่างไร ก็สู้ต่างกันตรงที่ว่า พวกนั้นกลัวตายและกลัวคุก ถ้าไม่กลัวคุก คนอย่างจักรภพ เพ็ญแข ทำไมถึงหนีหมายจับ ถ้าไม่กลัวตายหรือกลัวคุก คนอย่างทักษิณ ชินวัตร ทำไมต้องหนีหมายจับเช่นกัน เหตุผลที่เขาหนี เพราะเขาไม่ได้สู้ด้วยอุดมการณ์ เขาสู้ด้วยเพราะเงิน เขากลัวว่าถ้าเขาติดคุกหรือตาย กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้เงิน แต่พันธมิตรฯ สู้ด้วยอุดมการณ์ ใช้ธรรมนำหน้า พี่น้องยังจำคำพูดที่ผมพูดเมื่อตอนชุมนุมครั้งแรกได้หรือไม่ คือ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ถ้าเรายึดมั่นเพื่อส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว ถึงจะให้ตายก็ไม่ตาย เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยไว้ ถึงเจ๊งก้อไม่เจ๊ง เพราะพ่อแม่พี่น้องไม่ยอมให้เจ๊ง ถึงคุกก็เป็นคุก เพราะว่าคุกขังได้แต่ตัว แต่ขังใจไม่ได้
ผมไม่ได้พูดแทนที่ตัวผมคนเดียว แต่ผมพูดแทนที่แกนนำทุกคน ทั้งพี่จำลอง ศรีเมือง ตัวผม พี่พิภพ ธงชัย พี่สมศักดิ์ โกศัยสุข อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่มีอะไรต้องหวั่นไหว มีการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยอหิงสาที่ใดบ้าง ที่ผู้นำไม่บาดเจ็บ เอาลาภยศมาล่อก็ไม่ขาย เอากระสุน เอาระเบิดมาขู่ก็ไม่กลัว เอาคุกมาบีบก็ไม่สนใจพี่น้อง แล้วการต่อสู้ของประชาชนแบบนี้ ซื้อไม่ขาย ฆ่าไม่กลัว คุกไม่กลัว แล้วเขาจะทำอะไรเราได้
พี่น้องต้องจำไว้ในการต่อสู้ครั้งไหนก็ตาม จำได้หรือไม่ว่า ทักษิณ เคยเปรียบตัวเองว่าเป็น เนลสัน แมนเดลา พี่น้องครับ ผมประกาศไว้นานแล้ว และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็พูดชัดเจน ผมบอกว่า ถ้าศาลฎีกาสั่งให้ผมติดคุก ผมก็จะเดินเข้าคุกอย่างสง่าผ่าเผย ทักษิณ จักรภพ คนเสื้อแดง ทำลายหลักนิติรัฐ ทำลายหลักสังคม ทำลายกฎหมายที่ไม่เข้าข้างตัวเอง ผมไม่เคยบ่นว่าผู้พิพากษาคดีนี้เข้าข้างทักษิณ ผมไม่เคยบ่นว่าถูกพิพากษาคดีนี้ เพราะถูกกลั่นแกล้ง ผมพูดสั้นๆ แค่ว่า ผมยอมรับคำพิพากษา แต่ผมขออนุญาตไม่เห็นด้วย
พี่น้อง คนที่ออกไปอยู่นอกประเทศ ไปด่าศาลเสียๆ หายๆ ทั้งที่ศาลทำโดยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พี่น้อง เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมยินดีติดคุก เพราะต้องการให้ในพระปรมาภิไธยนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ และผมต้องการให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นคนของทักษิณ ได้รู้ว่าคนอย่างผม ยินดีติดคุก เพื่อรักษาหลักนิติรัฐ ที่สถิตย์ความยุติธรรม ที่ทำในนามพระปรมาภิไธย ให้ผู้พิพากษาคนของทักษิณ ได้นำไปเปรียบเทียบ ว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่เขาหลงใหลในทรัพย์สินต่างๆ มันต่างกันราวฟ้ากับดิน
พี่น้องครับ วันนี้ต้องมา พี่น้องไม่ต้องเสียน้ำตาให้ผม เมื่อใดก็ตามที่ศาลพิพากษาตัดสินให้จำคุกผม ไม่ต้องเสียน้ำตา แต่ให้เป็นพลังที่เข้มแข็ง ตั้งแต่ปี 2548-2549 พวกผมสู้กับระบอบทักษิณ ที่มีทั้งอำนาจตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษาบางส่วน ผมต่อสู้กับน้องเขยเขาที่เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่เคยเป็นอดีตผู้พิพากษา สู้กับเงินจำนวนมหาศาล ผมเหมือนเดินชนกำแพง แต่ผมต้องชน เพราะถ้าไม่มีคนออกมาสู้ แล้วกลัว พี่น้องจำคำพูดผมได้หรือไม่ ทุกอย่างได้พิสูจน์ความจริงแล้วว่า เมื่อจุดเทียนเล่มแรกได้ แม้ลมมันแรง พายุมันมา ในอดีต เมื่อจุดเทียน พายุมา คนก็กลัว สิ่งต่างๆที่พายุพัดมาเวลาโดนตัวเอง ก็เลยหลบใช่หรือไม่พี่น้อง แต่การต่อสู้ครั้งแรก ผมต้องเอาหลังบังเทียน ไม่ให้โดนลม ต้องโดนกระเบื้อง โดนหินจนหัวแทบแตก ต้องทนเพื่อให้เทียนมันติด พี่น้องจะเอาเทียนมาต่อกันเป็นเล่มใหญ่ จนได้เทียนพรรษา และวันนี้ เกิดขึ้นมาได้จากการต่อสู้เมื่อปี 2548
พี่น้องครับ ถ้าไม่ยอมเจ็บ ถ้าไม่กล้าตาย เราก็จะไม่มีพันธมิตรฯ ไม่มีวันที่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอนาคตที่ดีให้ลูกหลาน คนรุ่นเราต้องสู้ ต้องยอมทุกอย่าง เพื่อส่วนร่วม เพื่อชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องสู้ให้ดู ต้องเจ็บให้ดู และบางครั้งถ้าจำเป็น ก็ต้องตายให้ดู ถ้าพี่น้องเข้าใจเทียนเล่มแรกที่ถูกจุด และเหตุผลที่ผมเคยพูดให้ฟังตอนนั้น พี่น้องอาจมองจะยังไม่เห็นในรูปธรรม แต่ตอนนี้ พี่น้องเริ่มเห็นรูปธรรมแล้วทีละนิด เราเดินมาไกลเกินกว่าจะร้องไห้กับเรื่องแบบนี้ เก็บน้ำตาไว้ เอาเป็นพลัง เอาเป็นความแค้น แค้นที่ว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะดีเสียที ทำไมคนชั่วในแผ่นดินนี้ถึงเยอะ แค้นที่คนไทยอีกหลายคนยังโง่ ทำไมถึงไม่ยอมลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะว่าพวกเราทั้งหมด ที่นั่งในที่นี้ แกนนำทุกคน ไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่สู้เพื่อชาติ ศาสนา และราชบัลลังก์
พี่น้องครับปลายอาทิตย์หน้า ผมจะเดินทางไปปราศรัยในต่างประเทศ 7 เมือง ในสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น ให้พี่น้องรับรู้ไว้ เดี๋ยวมันจะหาว่าผมหนีคุก พี่น้องต้องหนักแน่น เชื่อในการเมืองใหม่ ถ้าไม่เชื่อในการเมืองใหม่ ก็อย่าเข้ามาร่วมกระบวนการ ถ้าไม่เชื่อในอุดมการณ์ที่มีอยู่ มีคนถามตนว่า พี่สนธิ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ มันจะไปรู้สึกอะไรได้อย่างไร เมื่อเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราต่อสู้นั้นมันถูกต้อง เราไม่เคยหวั่นไหว เหมือนคนที่นับถือศาสนาพุทธ เราก็เชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีจริงใช่หรือไม่ คนที่นับถือศาสนาคริสต์ ก็เชื่อว่าพระเยซูมาจริงใช่หรือไม่ คนที่นับถือศาสนาอิสลามก็ย่อมเชื่อว่าพระอัลเลาะห์มีจริง
เราก็เชื่อว่า ชาติจะอยู่ได้ มันต้องอยู่ได้กันทุกส่วน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าศาสนาอ่อนแอ พระมหากษัตริย์ก็อยู่ไม่ได้ ถ้าพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ศาสนาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าศาสนา พระมหากษัตริย์ อ่อนแอ ชาติก็อยู่ไม่ได้ พี่น้องครับ วันนี้ดีใจที่มาให้น้องปอง และดีใจที่ได้มาพูดให้พ่อแม่พี่น้องฟังอีกครั้งหนึ่ง ขอให้พ่อแม่พี่น้องเก็บกำลังใจ เก็บความแค้น เก็บน้ำตาเอาไว้กับตัว เก็บเอาไว้และเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นพลังชีวิต ที่บูรณาการกับพลังจักรวาล และก็มีธรรมนำหน้า"
เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในระหว่างการขึ้นเวทีคอนเสิร์ต "สมุทรปราการ ร่วมสร้างการเมืองใหม่" ที่ศาลาเอื้อสุข สวางคนิวาส อ.เมือง จ.สมุทรปราการ “ASTVผู้จัดการรายวัน” ขอนำรายละเอียดของการพูดในวันนั้นมานำเสนอชนิดคำต่อคำ...
พ่อแม่พี่น้องครับ วันนี้ยังไงก็ต้องมา เพราะน้องปอง อัญชะลี ไพรีรัก เป็นทั้งพันธมิตรฯ และทั้งน้องสาว ซึ่งผมคงจะใช้เวลาพูดไม่นาน เพราะไม่เคยมีกำหนดการใด ไม่ว่างานใดก็ตามจะปรากฏตัว เพื่อความปลอดภัย แต่วันนี้จำเป็นต้องมา เมื่อพูดจบแล้วก็ต้องกลับไป อยากกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องว่า เราต่อสู้กันมาไม่ใช่แค่ 193 วัน แต่เราสู้กันมาตั้งแต่ปี 2548 โดยหลายๆ คน ที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ ก็เคยร่วมต่อสู้กันมาตั้งแต่สมัยจัดรายการที่หอประชุมเล็กและใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ จนถึงที่สวนลุมพินี ต่อมาเรื่อยๆ
ผมอยากฝากไว้ว่า เราได้ปลูกหว่านเม็ดแห่งปัญญาในตัวสังคมไว้แล้ว อย่าไปละทิ้งมัน หรือท้อแท้พี่น้อง ในการต่อสู้นั้น เมื่อเป็นนักรบมันต้องมีบาดเจ็บ แต่ข้อแตกต่างระหว่างแกนนำพันธมิตรฯ กับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง สู้ต่างกันตรงอย่างไร ก็สู้ต่างกันตรงที่ว่า พวกนั้นกลัวตายและกลัวคุก ถ้าไม่กลัวคุก คนอย่างจักรภพ เพ็ญแข ทำไมถึงหนีหมายจับ ถ้าไม่กลัวตายหรือกลัวคุก คนอย่างทักษิณ ชินวัตร ทำไมต้องหนีหมายจับเช่นกัน เหตุผลที่เขาหนี เพราะเขาไม่ได้สู้ด้วยอุดมการณ์ เขาสู้ด้วยเพราะเงิน เขากลัวว่าถ้าเขาติดคุกหรือตาย กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้เงิน แต่พันธมิตรฯ สู้ด้วยอุดมการณ์ ใช้ธรรมนำหน้า พี่น้องยังจำคำพูดที่ผมพูดเมื่อตอนชุมนุมครั้งแรกได้หรือไม่ คือ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ถ้าเรายึดมั่นเพื่อส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว ถึงจะให้ตายก็ไม่ตาย เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยไว้ ถึงเจ๊งก้อไม่เจ๊ง เพราะพ่อแม่พี่น้องไม่ยอมให้เจ๊ง ถึงคุกก็เป็นคุก เพราะว่าคุกขังได้แต่ตัว แต่ขังใจไม่ได้
ผมไม่ได้พูดแทนที่ตัวผมคนเดียว แต่ผมพูดแทนที่แกนนำทุกคน ทั้งพี่จำลอง ศรีเมือง ตัวผม พี่พิภพ ธงชัย พี่สมศักดิ์ โกศัยสุข อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่มีอะไรต้องหวั่นไหว มีการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยอหิงสาที่ใดบ้าง ที่ผู้นำไม่บาดเจ็บ เอาลาภยศมาล่อก็ไม่ขาย เอากระสุน เอาระเบิดมาขู่ก็ไม่กลัว เอาคุกมาบีบก็ไม่สนใจพี่น้อง แล้วการต่อสู้ของประชาชนแบบนี้ ซื้อไม่ขาย ฆ่าไม่กลัว คุกไม่กลัว แล้วเขาจะทำอะไรเราได้
พี่น้องต้องจำไว้ในการต่อสู้ครั้งไหนก็ตาม จำได้หรือไม่ว่า ทักษิณ เคยเปรียบตัวเองว่าเป็น เนลสัน แมนเดลา พี่น้องครับ ผมประกาศไว้นานแล้ว และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็พูดชัดเจน ผมบอกว่า ถ้าศาลฎีกาสั่งให้ผมติดคุก ผมก็จะเดินเข้าคุกอย่างสง่าผ่าเผย ทักษิณ จักรภพ คนเสื้อแดง ทำลายหลักนิติรัฐ ทำลายหลักสังคม ทำลายกฎหมายที่ไม่เข้าข้างตัวเอง ผมไม่เคยบ่นว่าผู้พิพากษาคดีนี้เข้าข้างทักษิณ ผมไม่เคยบ่นว่าถูกพิพากษาคดีนี้ เพราะถูกกลั่นแกล้ง ผมพูดสั้นๆ แค่ว่า ผมยอมรับคำพิพากษา แต่ผมขออนุญาตไม่เห็นด้วย
พี่น้อง คนที่ออกไปอยู่นอกประเทศ ไปด่าศาลเสียๆ หายๆ ทั้งที่ศาลทำโดยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พี่น้อง เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมยินดีติดคุก เพราะต้องการให้ในพระปรมาภิไธยนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ และผมต้องการให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นคนของทักษิณ ได้รู้ว่าคนอย่างผม ยินดีติดคุก เพื่อรักษาหลักนิติรัฐ ที่สถิตย์ความยุติธรรม ที่ทำในนามพระปรมาภิไธย ให้ผู้พิพากษาคนของทักษิณ ได้นำไปเปรียบเทียบ ว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่เขาหลงใหลในทรัพย์สินต่างๆ มันต่างกันราวฟ้ากับดิน
พี่น้องครับ วันนี้ต้องมา พี่น้องไม่ต้องเสียน้ำตาให้ผม เมื่อใดก็ตามที่ศาลพิพากษาตัดสินให้จำคุกผม ไม่ต้องเสียน้ำตา แต่ให้เป็นพลังที่เข้มแข็ง ตั้งแต่ปี 2548-2549 พวกผมสู้กับระบอบทักษิณ ที่มีทั้งอำนาจตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษาบางส่วน ผมต่อสู้กับน้องเขยเขาที่เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่เคยเป็นอดีตผู้พิพากษา สู้กับเงินจำนวนมหาศาล ผมเหมือนเดินชนกำแพง แต่ผมต้องชน เพราะถ้าไม่มีคนออกมาสู้ แล้วกลัว พี่น้องจำคำพูดผมได้หรือไม่ ทุกอย่างได้พิสูจน์ความจริงแล้วว่า เมื่อจุดเทียนเล่มแรกได้ แม้ลมมันแรง พายุมันมา ในอดีต เมื่อจุดเทียน พายุมา คนก็กลัว สิ่งต่างๆที่พายุพัดมาเวลาโดนตัวเอง ก็เลยหลบใช่หรือไม่พี่น้อง แต่การต่อสู้ครั้งแรก ผมต้องเอาหลังบังเทียน ไม่ให้โดนลม ต้องโดนกระเบื้อง โดนหินจนหัวแทบแตก ต้องทนเพื่อให้เทียนมันติด พี่น้องจะเอาเทียนมาต่อกันเป็นเล่มใหญ่ จนได้เทียนพรรษา และวันนี้ เกิดขึ้นมาได้จากการต่อสู้เมื่อปี 2548
พี่น้องครับ ถ้าไม่ยอมเจ็บ ถ้าไม่กล้าตาย เราก็จะไม่มีพันธมิตรฯ ไม่มีวันที่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอนาคตที่ดีให้ลูกหลาน คนรุ่นเราต้องสู้ ต้องยอมทุกอย่าง เพื่อส่วนร่วม เพื่อชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องสู้ให้ดู ต้องเจ็บให้ดู และบางครั้งถ้าจำเป็น ก็ต้องตายให้ดู ถ้าพี่น้องเข้าใจเทียนเล่มแรกที่ถูกจุด และเหตุผลที่ผมเคยพูดให้ฟังตอนนั้น พี่น้องอาจมองจะยังไม่เห็นในรูปธรรม แต่ตอนนี้ พี่น้องเริ่มเห็นรูปธรรมแล้วทีละนิด เราเดินมาไกลเกินกว่าจะร้องไห้กับเรื่องแบบนี้ เก็บน้ำตาไว้ เอาเป็นพลัง เอาเป็นความแค้น แค้นที่ว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะดีเสียที ทำไมคนชั่วในแผ่นดินนี้ถึงเยอะ แค้นที่คนไทยอีกหลายคนยังโง่ ทำไมถึงไม่ยอมลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะว่าพวกเราทั้งหมด ที่นั่งในที่นี้ แกนนำทุกคน ไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่สู้เพื่อชาติ ศาสนา และราชบัลลังก์
พี่น้องครับปลายอาทิตย์หน้า ผมจะเดินทางไปปราศรัยในต่างประเทศ 7 เมือง ในสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น ให้พี่น้องรับรู้ไว้ เดี๋ยวมันจะหาว่าผมหนีคุก พี่น้องต้องหนักแน่น เชื่อในการเมืองใหม่ ถ้าไม่เชื่อในการเมืองใหม่ ก็อย่าเข้ามาร่วมกระบวนการ ถ้าไม่เชื่อในอุดมการณ์ที่มีอยู่ มีคนถามตนว่า พี่สนธิ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ มันจะไปรู้สึกอะไรได้อย่างไร เมื่อเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราต่อสู้นั้นมันถูกต้อง เราไม่เคยหวั่นไหว เหมือนคนที่นับถือศาสนาพุทธ เราก็เชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีจริงใช่หรือไม่ คนที่นับถือศาสนาคริสต์ ก็เชื่อว่าพระเยซูมาจริงใช่หรือไม่ คนที่นับถือศาสนาอิสลามก็ย่อมเชื่อว่าพระอัลเลาะห์มีจริง
เราก็เชื่อว่า ชาติจะอยู่ได้ มันต้องอยู่ได้กันทุกส่วน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าศาสนาอ่อนแอ พระมหากษัตริย์ก็อยู่ไม่ได้ ถ้าพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ศาสนาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าศาสนา พระมหากษัตริย์ อ่อนแอ ชาติก็อยู่ไม่ได้ พี่น้องครับ วันนี้ดีใจที่มาให้น้องปอง และดีใจที่ได้มาพูดให้พ่อแม่พี่น้องฟังอีกครั้งหนึ่ง ขอให้พ่อแม่พี่น้องเก็บกำลังใจ เก็บความแค้น เก็บน้ำตาเอาไว้กับตัว เก็บเอาไว้และเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นพลังชีวิต ที่บูรณาการกับพลังจักรวาล และก็มีธรรมนำหน้า"