ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์”ระดมสมองทูตการค้าวันนี้ ประเมินการส่งออกในช่วงที่เหลือ พร้อมวางแผนทำงานผลักดันการส่งออกปีหน้า หลัง “พรทิวา” ต้องการให้ตัวเลขกลับมาเป็นบวก 10-15% ระบุแนวโน้มตลาดส่งออกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า วันนี้ (15 ก.ย.) กระทรวงพาณิชย์จะเรียกประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ทั่วโลก 62 แห่ง เพื่อประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยปี 2552 ในช่วงที่เหลือ และการประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2553 ตามนโยบายของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการให้การส่งออกปีหน้าขยายตัวเป็นบวก10-15% จากปีนี้ที่คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวติดลบ 15-19% มูลค่า 1.51-1.42 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ในปีหน้ากรมส่งเสริมการส่งออกได้ปรับแผนการส่งออกใหม่ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดใหม่เป็น 55% และตลาดหลัก 45% เน้นการผลักดันการส่งออกสินค้าอาหารและเกษตร การพัฒนาโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาค การสนับสนุนการส่งออกธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ การวางแผนบุกเจาะตลาดอาเซียน หลังจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจในปี 2558 ซึ่งทำให้ต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานของทูตพาณิชย์ใหม่ให้สอดคล้องกัน
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมทูตพาณิชย์ครั้งนี้ จะมีการประเมินเป้าหมายการส่งออกรายตลาด โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย เพิ่มขึ้น 5% จากปีนี้เพิ่ม 2% จีนจะเป็นบวกแน่นอน จากปีนี้คาดว่าจะไม่ขยายตัว ตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้น 5% จากปีนี้คาดว่าจะติดลบ 14% ยุโรป เพิ่มขึ้น 10% จากปีนี้ติดลบ 10-15% สหรัฐฯ จะติดลบน้อยลง ญี่ปุ่น จะกลับมาเป็นบวก
จากปีนี้คาดว่าจะติดลบ 10%
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าต่างประเทศ กรุงลอนดอน กล่าว่า ปีหน้าคาดว่าการส่งออกไปตลาดยุโรป จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 10% เป็นผลจากปัจจัยบวกเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่หลายประเทศในภูมิภาคนี้ดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดเงินให้คนภายในประเทศซื้อรถใหม่ หรือผู้ประกอบการรายใดที่ลงทุนผลิต รัฐบาลจะให้เงินอุดหนุน ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเริ่มเห็นผลไตรมาส 2 ปีหน้า รวมทั้งเศรษฐกิจโลกโดยรวมเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้กำลังซื้อฟื้นคืนมา ส่วนปีนี้ตัวเลขส่งออกภูมิภาคนี้ คาดว่าจะติดลบประมาณ 10-15% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าขยายตัวเพิ่ม 3-5%
นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครลอสแองเจลีส สหรัฐฯ กล่าวว่า ตลาดสหรัฐฯ ในปีหน้า คาดว่าจะยังขยายตัวติดลบอยู่ แต่เป็นอัตราติดลบที่น้อยลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบมากถึงตัวเลขสองหลักขึ้นไป ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยปัจจัยที่ทำให้การส่งออกปีหน้าขยายตัวดีขึ้น เป็นผลจากรูปแบบเจาะตลาดเฉพาะเช่น การขายผ่านสถาบันต่างๆ กองทัพ สถาบันการศึกษา เรือสำราญ ทำให้มีการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น โดยปีหน้าก็จะเน้นการทำกิจกรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
นายปิลัณ พานิชศุภผล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวว่า ปีหน้าตั้งเป้าส่งออกตลาดตะวันออกกลางเพิ่ม 5% เป็นผลจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้น และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของกลุ่มตะวันออกกลางฟื้นขึ้นมา มีกำลังที่จะซื้อสินค้าจากไทยได้ แต่ปีนี้การส่งออกคงติดลบประมาณ 14%ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ประเมินไว้ช่วงต้นปีคาดว่าขยายตัวเพิ่ม 10%
นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครเซี่ยงไฮ้ จีน กล่าวว่า ปีหน้าการส่งออกไปตลาดจีนจะกลับมาเป็นบวก เพราะจีดีพีของจีนจะยังคงเพิ่มขึ้น 8.5-9% ประกอบกับปีหน้าในจีนจะมีกิจกรรมขนาดใหญ่ เช่น เอเชี่ยนเกมส์ และงานแสดงสินค้านานาชาติ ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในจีนเพิ่มขึ้นเป็นประโยชน์ที่ทำให้สินค้าไทยขายในจีนได้มากขึ้น ส่วนแผนกิจกรรมปีหน้า จะต้องสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทยในเชิงบวก เพิ่มรายการประเภทสินค้าให้มากขึ้น
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า วันนี้ (15 ก.ย.) กระทรวงพาณิชย์จะเรียกประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ทั่วโลก 62 แห่ง เพื่อประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยปี 2552 ในช่วงที่เหลือ และการประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2553 ตามนโยบายของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการให้การส่งออกปีหน้าขยายตัวเป็นบวก10-15% จากปีนี้ที่คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวติดลบ 15-19% มูลค่า 1.51-1.42 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ในปีหน้ากรมส่งเสริมการส่งออกได้ปรับแผนการส่งออกใหม่ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดใหม่เป็น 55% และตลาดหลัก 45% เน้นการผลักดันการส่งออกสินค้าอาหารและเกษตร การพัฒนาโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาค การสนับสนุนการส่งออกธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ การวางแผนบุกเจาะตลาดอาเซียน หลังจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจในปี 2558 ซึ่งทำให้ต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานของทูตพาณิชย์ใหม่ให้สอดคล้องกัน
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมทูตพาณิชย์ครั้งนี้ จะมีการประเมินเป้าหมายการส่งออกรายตลาด โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย เพิ่มขึ้น 5% จากปีนี้เพิ่ม 2% จีนจะเป็นบวกแน่นอน จากปีนี้คาดว่าจะไม่ขยายตัว ตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้น 5% จากปีนี้คาดว่าจะติดลบ 14% ยุโรป เพิ่มขึ้น 10% จากปีนี้ติดลบ 10-15% สหรัฐฯ จะติดลบน้อยลง ญี่ปุ่น จะกลับมาเป็นบวก
จากปีนี้คาดว่าจะติดลบ 10%
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าต่างประเทศ กรุงลอนดอน กล่าว่า ปีหน้าคาดว่าการส่งออกไปตลาดยุโรป จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 10% เป็นผลจากปัจจัยบวกเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่หลายประเทศในภูมิภาคนี้ดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดเงินให้คนภายในประเทศซื้อรถใหม่ หรือผู้ประกอบการรายใดที่ลงทุนผลิต รัฐบาลจะให้เงินอุดหนุน ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเริ่มเห็นผลไตรมาส 2 ปีหน้า รวมทั้งเศรษฐกิจโลกโดยรวมเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้กำลังซื้อฟื้นคืนมา ส่วนปีนี้ตัวเลขส่งออกภูมิภาคนี้ คาดว่าจะติดลบประมาณ 10-15% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าขยายตัวเพิ่ม 3-5%
นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครลอสแองเจลีส สหรัฐฯ กล่าวว่า ตลาดสหรัฐฯ ในปีหน้า คาดว่าจะยังขยายตัวติดลบอยู่ แต่เป็นอัตราติดลบที่น้อยลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบมากถึงตัวเลขสองหลักขึ้นไป ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยปัจจัยที่ทำให้การส่งออกปีหน้าขยายตัวดีขึ้น เป็นผลจากรูปแบบเจาะตลาดเฉพาะเช่น การขายผ่านสถาบันต่างๆ กองทัพ สถาบันการศึกษา เรือสำราญ ทำให้มีการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น โดยปีหน้าก็จะเน้นการทำกิจกรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
นายปิลัณ พานิชศุภผล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวว่า ปีหน้าตั้งเป้าส่งออกตลาดตะวันออกกลางเพิ่ม 5% เป็นผลจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้น และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของกลุ่มตะวันออกกลางฟื้นขึ้นมา มีกำลังที่จะซื้อสินค้าจากไทยได้ แต่ปีนี้การส่งออกคงติดลบประมาณ 14%ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ประเมินไว้ช่วงต้นปีคาดว่าขยายตัวเพิ่ม 10%
นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครเซี่ยงไฮ้ จีน กล่าวว่า ปีหน้าการส่งออกไปตลาดจีนจะกลับมาเป็นบวก เพราะจีดีพีของจีนจะยังคงเพิ่มขึ้น 8.5-9% ประกอบกับปีหน้าในจีนจะมีกิจกรรมขนาดใหญ่ เช่น เอเชี่ยนเกมส์ และงานแสดงสินค้านานาชาติ ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในจีนเพิ่มขึ้นเป็นประโยชน์ที่ทำให้สินค้าไทยขายในจีนได้มากขึ้น ส่วนแผนกิจกรรมปีหน้า จะต้องสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทยในเชิงบวก เพิ่มรายการประเภทสินค้าให้มากขึ้น