ท่านผู้อ่านที่เคารพ
อาจารย์ปราโมทย์ให้เกียรติผมโดยส่งคทาของคอลัมน์ “คิดถึงเมืองไทย” มาให้ คอลัมน์นี้มีประวัติยาวนานและกล่าวได้ว่าผู้ถือคทาล้วนสวมรองเท้าเบอร์ 14-15 กันทั้งสิ้น ผมสวมรองเท้าเบอร์ 9 ฉะนั้นผมจะไม่สามารถวัดรอยเท้าของท่านเหล่านั้นได้แน่ แต่เมื่อรุ่นพี่ที่ผมเคารพรักและหนังสือพิมพ์ผู้จัดการให้ความไว้วางใจ ผมก็จะพยายามรักษาอุดมการณ์ของคอลัมน์ไว้อย่างสุดความสามารถ ขอเรียนว่าผมรับคทามาในฐานะผู้สืบทอดอุดมการณ์โดยจะประสานให้นักวิชาการสลับกันเขียน
ในขณะนี้เรามีผู้เขียน 4 คนรวมทั้งผมด้วย ท่านได้อ่านงานของคุณทวิช จิตรสมบูรณ์ คุณวิทยา วชิระอังกูร และคุณสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธ์ บ้างแล้ว อีกไม่นานคุณชำนาญ พิเชษฐพันธ์ เนติบัณฑิตอังกฤษซึ่งมีลำนำชีวิตโดดเด่นและประสบการณ์หลากหลายจะมาร่วมหัวจมท้ายด้วย ในวันข้างหน้า คงจะมีผู้กระโดดเข้ามาร่วมเขียนเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นอาจารย์ปราโมทย์ก็คงจะกลับมาเขียนบ้างเป็นครั้งคราวเมื่ออาจารย์คันไม้คันมือขึ้นมาและพอหาเวลาได้
สำหรับวันนี้ซึ่งอาจารย์ปราโมทย์บอกว่าเป็นฤกษ์ดีเพราะเป็นวาระครบรอบ 8 ปีที่สหรัฐอเมริกาถูกถล่มด้วยผู้ก่อการร้ายที่ใช้เครื่องบินโดยสารเป็นอาวุธ ผมขออนุญาตโหมโรงด้วยเรื่องก้อนเส้าซึ่งคงมีพวกเราไม่กี่คนเคยเห็น ผมมองว่าอาจารย์ปราโมทย์และผู้เขียนคอลัมน์ “คิดถึงเมืองไทย” ในอดีตพยายามเสริมสร้างก้อนเส้าก้อนหนึ่งติดต่อกันมาเป็นเวลานาน
ย้อนไปในสมัยก่อน ชาวบ้านที่ออกไปทำงานในป่าและตามท้องไร่ปลายนาต้องหาก้อนหินหรือก้อนดินที่สูงเท่าๆ กันมาตั้งเป็นสามเส้าแล้วก่อไฟตรงกลางเพื่อตั้งหม้อหุงข้าว ก้อนเส้าต้องแข็งแกร่งและสูงเท่าๆ กัน มิฉะนั้นหุงข้าวไม่ได้ ผมใช้ก้อนเส้าหุงข้าวเป็นประจำเมื่อครั้งยังอยู่กับพ่อแม่ในทุ่งนา จากมุมมองของการใช้ก้อนเส้า เมืองไทยของเราประสบปัญหาหนักหนาสาหัสอยู่ในขณะนี้เพราะตกอยู่ในภาวะที่มีก้อนเส้าไม่เท่ากัน ตั้งแต่วันที่เมืองไทยเริ่มเร่งรัดพัฒนาเมื่อราว 50 ปีก่อน เราพยายามเสริมสร้างก้อนเส้าก้อนหนึ่งซึ่งมักเรียกกันว่าการลงทุน รัฐบาลใช้เงินจำนวนมหาศาลก่อสร้างปัจจัยพื้นฐานจำพวกถนนหนทาง ท่าเรือ สนามบิน เขื่อนและโรงไฟฟ้า นอกจากนั้นก็มีการกระตุ้นการลงทุนในโรงงานและการผลิตชนิดอื่นผ่านรัฐวิสาหกิจและการจูงใจให้เอกชนทำ ทั้งเอกชนคนไทยและชาวต่างประเทศ
เนื่องจากรัฐบาลมีรายได้ไม่พอต่อการลงทุนเหล่านั้น จึงไปกู้เงินจากต่างประเทศมาเพิ่มทั้งจากธนาคารเพื่อการพัฒนา เช่น ธนาคารโลกและจากภาคเอกชน รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนและการนำเงินทุนเข้ามาจากต่างประเทศผ่านแรงจูงใจต่างๆ เช่น การยกเว้นภาษี การลงทุนเหล่านั้นเป็นการลงทุนทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการผลิตโดยตรงซึ่งก็มีผลให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ทั้งในด้านการมีปัจจัยพื้นฐาน เช่น ถนนหนทาง และการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นยกเว้นในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ในขณะนี้และเมื่อปี 2540
พร้อมๆ กับการลงทุนทางเศรษฐกิจ เราลงทุนทางด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยควบคู่กันไปด้วย รัฐบาลและเอกชนใช้เงินจำนวนมหาศาลในด้านนี้ซึ่งก็มีผลให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เช่นกัน ทั้งในรูปของโรงเรียนชั้นประถมซึ่งกระจายออกไปถึงชุมชนห่างไกลและในรูปของมหาวิทยาลัยซึ่งเพิ่มขึ้นนับสิบเท่าจากเดิมที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ เพียง 5 แห่ง ตอนนี้เมืองไทยจึงมีผู้เรียนจบมหาวิทยาลัยนับล้านคนและประชาชนโดยทั่วไปมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคต่างๆ สูงกว่าในสมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
กระบวนการลงทุนทางเศรษฐกิจและการศึกษาที่กล่าวมานั้นเกิดขึ้นทั้งในเมืองไทยและในต่างประเทศ นักพัฒนาเคยหวังกันว่าหลังเวลาผ่านไป 50 ปี ประเทศต่างๆ จะก้าวหน้าจนทัดเทียมกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปตะวันตก สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น แต่ความจริงหาเป็นเช่นไม่ เพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ทำได้ เช่น เกาหลีใต้และสิงคโปร์ ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในสภาพเดิมๆ ผู้สนใจในกระบวนการพัฒนาจึงพยายามค้นหาสาเหตุและได้ข้อสรุปซึ่งส่วนใหญ่ชี้ไปที่การมีทุนด้านที่สามไม่เพียงพอ ด้านนี้มีชื่อว่าทุนทางสังคมซึ่งไม่มีใครให้ความใส่ใจมาก่อนทั้งที่เคยมีผู้ศึกษามานานแล้ว ยิ่งกว่านั้นเมื่อมีผู้เสนอว่ามันมีความสำคัญ ผู้นั้นก็มักถูกโจมตี เริ่มจากวันที่ปราชญ์ชาวเยอรมันชื่อแมกซ์ เวเบอร์ เขียนหนังสือชื่อ The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
เมื่อไม่นานมานี้อาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อ เดวิด แลนเดส เขียนหนังสือออกมาชื่อ The Wealth and Poverty of Nations หลังจากได้พยายามแสวงหาปัจจัยที่อธิบายความล้มเหลวและความสำเร็จของประเทศต่างๆ ทุนทางสังคมเป็นปัจจัยหนึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้คำนี้โดยตรงก็ตาม ข้อสรุปของเขาได้รับการโจมตีคล้ายกับของเวเบอร์
ตอนนี้เริ่มมีการศึกษาเรื่องทุนทางสังคมมากขึ้น ตัวอย่างของการศึกษาในประเทศที่ก้าวหน้ามากแล้วได้แก่งานของอาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีกคนหนึ่งชื่อโรเบอร์ต พัทนัม ซึ่งรวมเป็นหนังสือชื่อ Bowling Alone ส่วนตัวอย่างของการศึกษาในประเทศที่ก้าวหน้าน้อยลงมาได้แก่งานของอาจารย์มหาวิทยาลัยดุ๊กชื่อ อนิรุธ กฤษณา ซึ่งพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือชื่อ Active Social Capital หนังสือเล่มนี้เป็นผลการวิจัยหมู่บ้านในอินเดีย 69 แห่งซึ่งสรุปว่า ทุนทางสังคมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา ในการทำงานของระบอบประชาธิปไตยและในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สองคนนี้ให้คำจำกัดความของทุนทางสังคมว่า เครือข่าย ฐานทางคุณธรรมและความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งเอื้อให้เกิดการประสานงานและการทำงานร่วมกันให้สัมฤทธิผล
หากนำคำจำกัดความนั้นมาเป็นฐานของการประเมินวิวัฒนาการและเหตุการณ์ในเมืองไทย เราคงได้แง่คิดชนิดเถียงกันไม่รู้จบเช่นเดียวกับข้อสรุปของเวเบอร์และแลนเดส ที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งเพราะในบรรดาทุนทั้งสามอย่าง ทุนทางสังคมวัดยากที่สุด ยังผลให้นำไปใช้พิสูจน์สมมติฐานได้ยากกว่าทุนอีกสองอย่าง หลังจากได้คลุกคลีกับการพัฒนามานาน ผมแน่ใจว่า ทุนทางสังคมเป็นก้อนเส้าก้อนที่สามที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าก้อนอื่น และเมืองไทยจะไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ปัจจุบันได้และพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง หรืออีกนัยหนึ่งหุงข้าวไม่สำเร็จ ถ้าไม่ลงทุนสร้างเสริมก้อนเส้าก้อนนี้ให้มีความสูงและแข็งแกร่งทัดเทียมกับก้อนอื่น
คำจำกัดความรวมคำว่า “ฐานทางคุณธรรม” อยู่ด้วย คำนี้มีความลุ่มลึกมากจนยากแก่ผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญทางด้านสังคมศาสตร์ เช่น ผมจะอธิบายจากมุมมองของการพัฒนา ผมมองง่ายๆ ว่ามันคือ การทำตามกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมที่จะยังผลให้สมาชิกของสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น สังคมไหนมีการทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมมาก สังคมนั้นมีทุนทางสังคมสูง ตรงข้าม การไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างแพร่หลายยังผลให้สังคมมีต้นทุนต่ำซึ่งรวมทั้งการกระทำง่ายๆ ที่ไม่มีผลร้ายแรงนัก เช่น ทิ้งเศษกระดาษลงบนถนน ไปจนถึงความฉ้อฉลและการลุแก่อำนาจของผู้นำซึ่งมีความร้ายแรงสูงยิ่ง
จากประสบการณ์ที่ผมพยายามนำเรื่องเมืองไทยขาดก้อนเส้าก้อนที่สามมาเสนอในเวทีต่างๆ บางครั้งผมได้รับการโต้แย้งแบบเผ็ดร้อนเนื่องจากเพื่อนคนไทยหลายๆ คนมองไม่เห็นว่ามันเป็นประเด็นสำคัญ ส่วนฝรั่งที่รู้จักเมืองไทยเป็นอย่างดีมักจะเห็นด้วย แต่บอกว่าพวกเขาไม่กล้าพูดกับคนไทยแบบตรงไปตรงมาเพราะกลัวว่าจะเจ็บตัว ที่พูดเช่นนี้มิใช่ผมเป็นจำพวกขี้ชื่นชมฝรั่ง หากมองว่าความเห็นของพวกเขาคือกระจกเงาที่ช่วยให้เรามองเห็นตัวเอง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผมไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านสังคมศาสตร์ จึงขอเสนอต่อผู้ที่มีความรู้ด้านนี้ให้ออกมาช่วยกันชี้แนะ หรือถ้าเป็นไปได้ ออกไปช่วยกันเสริมก้อนเส้าก้อนที่สามด้วย
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือของแลนเดสซึ่งพูดถึงปัญหาของเมืองไทยและของกฤษณาซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน แต่ไม่มีเวลาไปอ่านทั้งเล่ม ผมได้ทำบทคัดย่อเป็นภาษาไทยไว้ให้แล้วและกัลยาณมิตรผู้หนึ่งได้นำไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ชื่อ www.sawaiboonma.com ซึ่งเขาสร้างขึ้นเพื่อปันงานส่วนหนึ่งของผมมาให้ผู้ที่สนใจอ่าน
หวังว่าประเด็นนี้จะมีผู้นำไปคิดต่อ ศึกษาและวิจัยโดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนถึงระดับปริญญาโทและเอก นอกจากนั้น ผู้ที่พอจะทำได้จะออกมาช่วยกันเสริมก้อนเส้าก้อนที่สามและอีกไม่นานก้อนเส้าก้อนนี้จะมีความสูงและแข็งแกร่งทัดเทียมกับอีกสองก้อนจนสังคมไทยสามารถหุงข้าวได้สำเร็จ
อาจารย์ปราโมทย์ให้เกียรติผมโดยส่งคทาของคอลัมน์ “คิดถึงเมืองไทย” มาให้ คอลัมน์นี้มีประวัติยาวนานและกล่าวได้ว่าผู้ถือคทาล้วนสวมรองเท้าเบอร์ 14-15 กันทั้งสิ้น ผมสวมรองเท้าเบอร์ 9 ฉะนั้นผมจะไม่สามารถวัดรอยเท้าของท่านเหล่านั้นได้แน่ แต่เมื่อรุ่นพี่ที่ผมเคารพรักและหนังสือพิมพ์ผู้จัดการให้ความไว้วางใจ ผมก็จะพยายามรักษาอุดมการณ์ของคอลัมน์ไว้อย่างสุดความสามารถ ขอเรียนว่าผมรับคทามาในฐานะผู้สืบทอดอุดมการณ์โดยจะประสานให้นักวิชาการสลับกันเขียน
ในขณะนี้เรามีผู้เขียน 4 คนรวมทั้งผมด้วย ท่านได้อ่านงานของคุณทวิช จิตรสมบูรณ์ คุณวิทยา วชิระอังกูร และคุณสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธ์ บ้างแล้ว อีกไม่นานคุณชำนาญ พิเชษฐพันธ์ เนติบัณฑิตอังกฤษซึ่งมีลำนำชีวิตโดดเด่นและประสบการณ์หลากหลายจะมาร่วมหัวจมท้ายด้วย ในวันข้างหน้า คงจะมีผู้กระโดดเข้ามาร่วมเขียนเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นอาจารย์ปราโมทย์ก็คงจะกลับมาเขียนบ้างเป็นครั้งคราวเมื่ออาจารย์คันไม้คันมือขึ้นมาและพอหาเวลาได้
สำหรับวันนี้ซึ่งอาจารย์ปราโมทย์บอกว่าเป็นฤกษ์ดีเพราะเป็นวาระครบรอบ 8 ปีที่สหรัฐอเมริกาถูกถล่มด้วยผู้ก่อการร้ายที่ใช้เครื่องบินโดยสารเป็นอาวุธ ผมขออนุญาตโหมโรงด้วยเรื่องก้อนเส้าซึ่งคงมีพวกเราไม่กี่คนเคยเห็น ผมมองว่าอาจารย์ปราโมทย์และผู้เขียนคอลัมน์ “คิดถึงเมืองไทย” ในอดีตพยายามเสริมสร้างก้อนเส้าก้อนหนึ่งติดต่อกันมาเป็นเวลานาน
ย้อนไปในสมัยก่อน ชาวบ้านที่ออกไปทำงานในป่าและตามท้องไร่ปลายนาต้องหาก้อนหินหรือก้อนดินที่สูงเท่าๆ กันมาตั้งเป็นสามเส้าแล้วก่อไฟตรงกลางเพื่อตั้งหม้อหุงข้าว ก้อนเส้าต้องแข็งแกร่งและสูงเท่าๆ กัน มิฉะนั้นหุงข้าวไม่ได้ ผมใช้ก้อนเส้าหุงข้าวเป็นประจำเมื่อครั้งยังอยู่กับพ่อแม่ในทุ่งนา จากมุมมองของการใช้ก้อนเส้า เมืองไทยของเราประสบปัญหาหนักหนาสาหัสอยู่ในขณะนี้เพราะตกอยู่ในภาวะที่มีก้อนเส้าไม่เท่ากัน ตั้งแต่วันที่เมืองไทยเริ่มเร่งรัดพัฒนาเมื่อราว 50 ปีก่อน เราพยายามเสริมสร้างก้อนเส้าก้อนหนึ่งซึ่งมักเรียกกันว่าการลงทุน รัฐบาลใช้เงินจำนวนมหาศาลก่อสร้างปัจจัยพื้นฐานจำพวกถนนหนทาง ท่าเรือ สนามบิน เขื่อนและโรงไฟฟ้า นอกจากนั้นก็มีการกระตุ้นการลงทุนในโรงงานและการผลิตชนิดอื่นผ่านรัฐวิสาหกิจและการจูงใจให้เอกชนทำ ทั้งเอกชนคนไทยและชาวต่างประเทศ
เนื่องจากรัฐบาลมีรายได้ไม่พอต่อการลงทุนเหล่านั้น จึงไปกู้เงินจากต่างประเทศมาเพิ่มทั้งจากธนาคารเพื่อการพัฒนา เช่น ธนาคารโลกและจากภาคเอกชน รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนและการนำเงินทุนเข้ามาจากต่างประเทศผ่านแรงจูงใจต่างๆ เช่น การยกเว้นภาษี การลงทุนเหล่านั้นเป็นการลงทุนทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการผลิตโดยตรงซึ่งก็มีผลให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ทั้งในด้านการมีปัจจัยพื้นฐาน เช่น ถนนหนทาง และการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นยกเว้นในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ในขณะนี้และเมื่อปี 2540
พร้อมๆ กับการลงทุนทางเศรษฐกิจ เราลงทุนทางด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยควบคู่กันไปด้วย รัฐบาลและเอกชนใช้เงินจำนวนมหาศาลในด้านนี้ซึ่งก็มีผลให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เช่นกัน ทั้งในรูปของโรงเรียนชั้นประถมซึ่งกระจายออกไปถึงชุมชนห่างไกลและในรูปของมหาวิทยาลัยซึ่งเพิ่มขึ้นนับสิบเท่าจากเดิมที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ เพียง 5 แห่ง ตอนนี้เมืองไทยจึงมีผู้เรียนจบมหาวิทยาลัยนับล้านคนและประชาชนโดยทั่วไปมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคต่างๆ สูงกว่าในสมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
กระบวนการลงทุนทางเศรษฐกิจและการศึกษาที่กล่าวมานั้นเกิดขึ้นทั้งในเมืองไทยและในต่างประเทศ นักพัฒนาเคยหวังกันว่าหลังเวลาผ่านไป 50 ปี ประเทศต่างๆ จะก้าวหน้าจนทัดเทียมกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปตะวันตก สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น แต่ความจริงหาเป็นเช่นไม่ เพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ทำได้ เช่น เกาหลีใต้และสิงคโปร์ ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในสภาพเดิมๆ ผู้สนใจในกระบวนการพัฒนาจึงพยายามค้นหาสาเหตุและได้ข้อสรุปซึ่งส่วนใหญ่ชี้ไปที่การมีทุนด้านที่สามไม่เพียงพอ ด้านนี้มีชื่อว่าทุนทางสังคมซึ่งไม่มีใครให้ความใส่ใจมาก่อนทั้งที่เคยมีผู้ศึกษามานานแล้ว ยิ่งกว่านั้นเมื่อมีผู้เสนอว่ามันมีความสำคัญ ผู้นั้นก็มักถูกโจมตี เริ่มจากวันที่ปราชญ์ชาวเยอรมันชื่อแมกซ์ เวเบอร์ เขียนหนังสือชื่อ The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
เมื่อไม่นานมานี้อาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อ เดวิด แลนเดส เขียนหนังสือออกมาชื่อ The Wealth and Poverty of Nations หลังจากได้พยายามแสวงหาปัจจัยที่อธิบายความล้มเหลวและความสำเร็จของประเทศต่างๆ ทุนทางสังคมเป็นปัจจัยหนึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้คำนี้โดยตรงก็ตาม ข้อสรุปของเขาได้รับการโจมตีคล้ายกับของเวเบอร์
ตอนนี้เริ่มมีการศึกษาเรื่องทุนทางสังคมมากขึ้น ตัวอย่างของการศึกษาในประเทศที่ก้าวหน้ามากแล้วได้แก่งานของอาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีกคนหนึ่งชื่อโรเบอร์ต พัทนัม ซึ่งรวมเป็นหนังสือชื่อ Bowling Alone ส่วนตัวอย่างของการศึกษาในประเทศที่ก้าวหน้าน้อยลงมาได้แก่งานของอาจารย์มหาวิทยาลัยดุ๊กชื่อ อนิรุธ กฤษณา ซึ่งพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือชื่อ Active Social Capital หนังสือเล่มนี้เป็นผลการวิจัยหมู่บ้านในอินเดีย 69 แห่งซึ่งสรุปว่า ทุนทางสังคมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา ในการทำงานของระบอบประชาธิปไตยและในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สองคนนี้ให้คำจำกัดความของทุนทางสังคมว่า เครือข่าย ฐานทางคุณธรรมและความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งเอื้อให้เกิดการประสานงานและการทำงานร่วมกันให้สัมฤทธิผล
หากนำคำจำกัดความนั้นมาเป็นฐานของการประเมินวิวัฒนาการและเหตุการณ์ในเมืองไทย เราคงได้แง่คิดชนิดเถียงกันไม่รู้จบเช่นเดียวกับข้อสรุปของเวเบอร์และแลนเดส ที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งเพราะในบรรดาทุนทั้งสามอย่าง ทุนทางสังคมวัดยากที่สุด ยังผลให้นำไปใช้พิสูจน์สมมติฐานได้ยากกว่าทุนอีกสองอย่าง หลังจากได้คลุกคลีกับการพัฒนามานาน ผมแน่ใจว่า ทุนทางสังคมเป็นก้อนเส้าก้อนที่สามที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าก้อนอื่น และเมืองไทยจะไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ปัจจุบันได้และพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง หรืออีกนัยหนึ่งหุงข้าวไม่สำเร็จ ถ้าไม่ลงทุนสร้างเสริมก้อนเส้าก้อนนี้ให้มีความสูงและแข็งแกร่งทัดเทียมกับก้อนอื่น
คำจำกัดความรวมคำว่า “ฐานทางคุณธรรม” อยู่ด้วย คำนี้มีความลุ่มลึกมากจนยากแก่ผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญทางด้านสังคมศาสตร์ เช่น ผมจะอธิบายจากมุมมองของการพัฒนา ผมมองง่ายๆ ว่ามันคือ การทำตามกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมที่จะยังผลให้สมาชิกของสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น สังคมไหนมีการทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมมาก สังคมนั้นมีทุนทางสังคมสูง ตรงข้าม การไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างแพร่หลายยังผลให้สังคมมีต้นทุนต่ำซึ่งรวมทั้งการกระทำง่ายๆ ที่ไม่มีผลร้ายแรงนัก เช่น ทิ้งเศษกระดาษลงบนถนน ไปจนถึงความฉ้อฉลและการลุแก่อำนาจของผู้นำซึ่งมีความร้ายแรงสูงยิ่ง
จากประสบการณ์ที่ผมพยายามนำเรื่องเมืองไทยขาดก้อนเส้าก้อนที่สามมาเสนอในเวทีต่างๆ บางครั้งผมได้รับการโต้แย้งแบบเผ็ดร้อนเนื่องจากเพื่อนคนไทยหลายๆ คนมองไม่เห็นว่ามันเป็นประเด็นสำคัญ ส่วนฝรั่งที่รู้จักเมืองไทยเป็นอย่างดีมักจะเห็นด้วย แต่บอกว่าพวกเขาไม่กล้าพูดกับคนไทยแบบตรงไปตรงมาเพราะกลัวว่าจะเจ็บตัว ที่พูดเช่นนี้มิใช่ผมเป็นจำพวกขี้ชื่นชมฝรั่ง หากมองว่าความเห็นของพวกเขาคือกระจกเงาที่ช่วยให้เรามองเห็นตัวเอง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผมไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านสังคมศาสตร์ จึงขอเสนอต่อผู้ที่มีความรู้ด้านนี้ให้ออกมาช่วยกันชี้แนะ หรือถ้าเป็นไปได้ ออกไปช่วยกันเสริมก้อนเส้าก้อนที่สามด้วย
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือของแลนเดสซึ่งพูดถึงปัญหาของเมืองไทยและของกฤษณาซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน แต่ไม่มีเวลาไปอ่านทั้งเล่ม ผมได้ทำบทคัดย่อเป็นภาษาไทยไว้ให้แล้วและกัลยาณมิตรผู้หนึ่งได้นำไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ชื่อ www.sawaiboonma.com ซึ่งเขาสร้างขึ้นเพื่อปันงานส่วนหนึ่งของผมมาให้ผู้ที่สนใจอ่าน
หวังว่าประเด็นนี้จะมีผู้นำไปคิดต่อ ศึกษาและวิจัยโดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนถึงระดับปริญญาโทและเอก นอกจากนั้น ผู้ที่พอจะทำได้จะออกมาช่วยกันเสริมก้อนเส้าก้อนที่สามและอีกไม่นานก้อนเส้าก้อนนี้จะมีความสูงและแข็งแกร่งทัดเทียมกับอีกสองก้อนจนสังคมไทยสามารถหุงข้าวได้สำเร็จ