ASTVผู้จัดการรายวัน-คณะกรรมการมรรยาท สภาทนาย ลงมติเอกฉันท์ ลบชื่อ“พิชิฏ ชื่นบาน-ธนา ตันศิริ-น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์"ออกจากทะเบียนทนายความ งดทำหน้าที่ 5 ปี ประธานกรรมการมรรยาท ชี้ชัดทำผิดข้อบังคับมรรยาท ละเมิดศาลหิ้วถุงขนม 2 ล้านให้ จนท.ศาลฎีกานักการเมือง ถือผิดสถานหนัก
วานนี้(9 ก.ย.)นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานกรรมการมรรยาท สภาทนายความ กล่าวถึงการพิจารณาข้อกล่าวหา นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกกับพวก ซึ่งเป็นเสมียนทนายความ และผู้ประสานงานคดี รวม 3 คน กระทำผิดข้อบังคับมรรยาทความว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการมรรยาทจำนวน 13 คนที่เข้าร่วมประชุมจากจำนวนทั้งหมด 15 คน ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน, น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ข้อ 6 ที่ไม่เคารพยำเกรง อำนาจศาล หรือกระทำการใดอันเป็นการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา
และข้อ 18 ที่ประกอบอาชีพดำเนินธุรกิจหรือประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ จากการที่บุคคลทั้งสามได้ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล ที่นายธนา ผู้ประสานงานคดีได้นำเงินสด 2 ล้านบาท บรรจุในซองสีน้ำตาลเพื่อจะมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง ในวันที่ 10 มิ.ย.51 ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เดินทางไปรายงานตัวต่อศาลคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก
นายสิทธิโชค กล่าวว่า สำหรับการวินิจฉัยโทษกับทนายความทั้งสามนั้น คณะกรรมการมรรยาท ลงมติเสียงข้างมาก 9 ต่อ 3 เสียง โดยตนในฐานะประธานกรรมการมรรยาท ไม่ได้ออกเสียง ให้ลงโทษหนักสุด ตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 ด้วยการการลบชื่อทนายความทั้งสามออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งทั้งสามไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้เป็นเวลา 5 ปี โดยหลังจากนี้ คณะกรรมการมรรยาทฯ ต้องทำรายงานการลงมติ พร้อมส่งสำนวนการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด เสนอคณะกรรมการสภาทนายความ จำนวน 25 คน ที่มีนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เป็นประธาน และมีตัวแทนเนติบัณฑิตยสภา และ ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ร่วมเป็นกรรมการ รับทราบและพิจารณาตามขั้นตอนปฏิบัติต่อไป ซึ่งในชั้นนี้คณะกรรมการสภาทนายความ จะตรวจทานว่าคำสั่งลงโทษนั้นดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอน และลงโทษเหมาะสมตามพฤติการณ์หรือไม่ โดยคณะกรรมการสภาทนายความอาจจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงโทษหรือไม่ก็ได้ตามอำนาจที่มี แต่ในแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมา คณะกรรมการสภาทนายความ มักจะความเห็นตามที่คณะกรรมการมรรยาททนายความ และหลังจากคณะกรรมการสภาทนายความ ตรวจทานเป็นเรียบร้อยนายทะเบียนสภาทนายความก็จะแจ้งมติให้ทนายความทั้งสามทราบต่อไป
นายสิทธิโชค กล่าวด้วยว่า การลงมติดังกล่าวได้พิจารณาตามแนวทางที่ศาลฎีกามีคำตัดสินคดีละเมิดอำนาจศาล และได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวทั้งสามอย่างเต็มที่ในการนำพยานหลักฐานมาชี้แจง ซึ่งผู้ถูกกล่าวหา เคยมีหนังสือร้องเข้ามาไม่ได้รับความเป็นธรรมในการสู้คดีต่อศาล แต่เมื่อเปิดโอกาสให้นำพยานหลักฐานพิสูจน์ก็ปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ให้การเพิ่มเติมมากไปกว่าที่เคยให้การในชั้นศาล โดยในส่วนของนายธนา ก็ไม่ได้มาให้การหรือนำพยานมาชี้แจงเพิ่มเติมแต่อย่างใด ขณะที่การกระทำที่เกิดขึ้นก็มีความชัดเจนว่าผิดข้อบังคับของทนายความ ซึ่งตลอด 10 กว่าปีที่ตนทำหน้าที่สอบสวนความผิดมรรยาททนายความ ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
“ผมไม่ห่วงว่าจะเกิดความไม่พอในการลงโทษ เพราะเราทำอย่างตรงไปตรงมา และให้โอกาสผู้ถูกกล่าวชี้แจงอย่างเต็มที่แล้วตามที่ร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา โดยเราไม่อคติกับใคร ส่วนถ้าทนายความทั้งสามจะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อ รมว.ยุติธรรม ในฐานะนายกสภาพิเศษแห่งสภาทนายความแห่งประเทศไทย ตามขั้นตอนปฏิบัติ หรือการใช้สิทธิ์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ก็ทำได้ แต่การอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีนั้นจะไม่เป็นเหตุให้ระงับการที่ทั้งสาม ต้องงดปฏิบัติหน้าที่ฐานะทนายความของทั้งสามตามคำสั่งลงโทษแต่อย่างใด” นายสิทธิโชคกล่าว และย้ำว่า หลังจากนี้ทนายความทั้งสามจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ทนายความ รับว่าความคดีใดๆ จนครบเวลา 5 ปีที่ลงโทษ ซึ่งหลังจากครบกำหนดเวลาแล้ว ทั้งสามจะยื่นคำขออนุญาตจดทะเบียนใหม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคระกรรมการสภาทนายความว่าจะอนุญาตหรือไม่
**“พิชิฎ”สู้ไม่ยอมรับคำตัดสิน**
นายพิชิฎ ชื่นบาน เปิดเผยว่า ตนทราบว่ามีการเรียกประชุมกรรมการฯมาตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 8 ก.ย.และทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ประธานกรรมการมารยาทของทนายความ เป็นทนายความที่รับทำคดีหวยบนดินจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)อีกทั้งยังมีความพยายามเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว.ในสัดส่วนของสภาทนายความ ดังนั้นตนจะได้รับความเป็นธรรมตรงไหน อีกทั้งเหตุใดถึงเรียกประชุมแบบลับๆล่อๆ กรรมการส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือน คตส.แต่บางคนก็เป็นคนดี ขอขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรมกับตน ที่ผ่านมามีเพื่อนทนายความของตนจำนวนมากรับรู้ถึงความไม่เป็นธรรมและพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนมาตลอด แต่หัวหน้าคณะกรรมการฯก็เป็นเหมือน คตส.
นายพิชิฎ กล่าวด้วยว่า ตนไม่ยอมรับคำตัดสินของคณะกรรมการฯ ผมประกอบอาชีพทนายความมา 30 ปี ต่อสู้ด้วยเนื้อหาข้อกฏหมาย มั่นใจว่าตัวเองไม่เคยประพฤติผิดมารยาทของทนายความ แต่กรรมการส่วนใหญ่ที่ตัดสินว่าผมผิดนั้นเพราะผมเป็นทนายความให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหลังจากนี้จะยื่นอุทธรณ์ต่อ รมว.ยุติธรรมและต่อสู้ทางกระบวนการทางศาลปกครองต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมนั้นไม่หวังอะไรมาก เพราะ รมว.ยุติธรรม เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ และผมมีความสุขที่จะทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาทางด้านกฏหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดไป
สำหรับ นายพิชิฏ ชื่นบาน, นายธนา ตันศิริ, น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551 ได้รับการปล่อยตัวสู่อิสระภาพ หลังพวกเขาถูกจองจำ ชดใช้กรรมเป็นเวลา 6 เดือนเต็ม จากนั้นมา พิชิฏ ชื่นบาน ได้เก็บตัวเงียบ โดยได้ไปปรากฏตัววันที่ 29 ม.ค.52 ที่สภาทนายความ เพื่อเข้าพบคณะกรรมการสอบสวนมรรยาทสภาทนายความ ที่มีการเรียกร้องให้เพิกถอนใบอนุญาตทนายความ ฐานทำผิดร้ายแรง
โดยวันนั้น นายพิชิฏ พูดว่า...“ ผมยังมั่นใจว่าสภาทนายความซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่มีความอิสระ จะให้ความเป็นธรรมกับผมที่มีวิชาชีพเดียวกัน ผมพร้อมจะให้ความร่วมมือ ซึ่งวันนี้มาสภาทนายความก็เหมือนมาบ้านผม ส่วนหลังจากนี้จะทำอะไรนั้น เมื่อผมเป็นนักกฎหมายก็ยังต้องเป็นต่อไป ซึ่งผมยังเป็นที่ปรึกษากฎหมายได้”
จากนั้นมา นายพิชิฏ ชื่นบาน ไปปรากฏตัวที่ตึกชินวัตร 3 เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังจากตำรวจกองปราบปรามเข้าไปตรวจค้นบริษัท เอสซี แอสแสท เพื่อหาต้นตอคลิปเสียง “นายกฯ มาร์ค” โดยวันนั้น “พิชิฏ” เขาบอกสื่อว่า มาในฐานะทนายความ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายตระกูลชินวัตร และหลังจากสื่อเอเอสทีวี ผู้จัดการ ได้นำเสนอเรื่องนี้ ทำให้สภาทนายความดำเนินการลบชื่อบุคคลทั้ง 3 ทันที
วานนี้(9 ก.ย.)นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานกรรมการมรรยาท สภาทนายความ กล่าวถึงการพิจารณาข้อกล่าวหา นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกกับพวก ซึ่งเป็นเสมียนทนายความ และผู้ประสานงานคดี รวม 3 คน กระทำผิดข้อบังคับมรรยาทความว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการมรรยาทจำนวน 13 คนที่เข้าร่วมประชุมจากจำนวนทั้งหมด 15 คน ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน, น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ข้อ 6 ที่ไม่เคารพยำเกรง อำนาจศาล หรือกระทำการใดอันเป็นการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา
และข้อ 18 ที่ประกอบอาชีพดำเนินธุรกิจหรือประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ จากการที่บุคคลทั้งสามได้ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล ที่นายธนา ผู้ประสานงานคดีได้นำเงินสด 2 ล้านบาท บรรจุในซองสีน้ำตาลเพื่อจะมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง ในวันที่ 10 มิ.ย.51 ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เดินทางไปรายงานตัวต่อศาลคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก
นายสิทธิโชค กล่าวว่า สำหรับการวินิจฉัยโทษกับทนายความทั้งสามนั้น คณะกรรมการมรรยาท ลงมติเสียงข้างมาก 9 ต่อ 3 เสียง โดยตนในฐานะประธานกรรมการมรรยาท ไม่ได้ออกเสียง ให้ลงโทษหนักสุด ตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 ด้วยการการลบชื่อทนายความทั้งสามออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งทั้งสามไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้เป็นเวลา 5 ปี โดยหลังจากนี้ คณะกรรมการมรรยาทฯ ต้องทำรายงานการลงมติ พร้อมส่งสำนวนการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด เสนอคณะกรรมการสภาทนายความ จำนวน 25 คน ที่มีนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เป็นประธาน และมีตัวแทนเนติบัณฑิตยสภา และ ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ร่วมเป็นกรรมการ รับทราบและพิจารณาตามขั้นตอนปฏิบัติต่อไป ซึ่งในชั้นนี้คณะกรรมการสภาทนายความ จะตรวจทานว่าคำสั่งลงโทษนั้นดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอน และลงโทษเหมาะสมตามพฤติการณ์หรือไม่ โดยคณะกรรมการสภาทนายความอาจจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงโทษหรือไม่ก็ได้ตามอำนาจที่มี แต่ในแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมา คณะกรรมการสภาทนายความ มักจะความเห็นตามที่คณะกรรมการมรรยาททนายความ และหลังจากคณะกรรมการสภาทนายความ ตรวจทานเป็นเรียบร้อยนายทะเบียนสภาทนายความก็จะแจ้งมติให้ทนายความทั้งสามทราบต่อไป
นายสิทธิโชค กล่าวด้วยว่า การลงมติดังกล่าวได้พิจารณาตามแนวทางที่ศาลฎีกามีคำตัดสินคดีละเมิดอำนาจศาล และได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวทั้งสามอย่างเต็มที่ในการนำพยานหลักฐานมาชี้แจง ซึ่งผู้ถูกกล่าวหา เคยมีหนังสือร้องเข้ามาไม่ได้รับความเป็นธรรมในการสู้คดีต่อศาล แต่เมื่อเปิดโอกาสให้นำพยานหลักฐานพิสูจน์ก็ปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ให้การเพิ่มเติมมากไปกว่าที่เคยให้การในชั้นศาล โดยในส่วนของนายธนา ก็ไม่ได้มาให้การหรือนำพยานมาชี้แจงเพิ่มเติมแต่อย่างใด ขณะที่การกระทำที่เกิดขึ้นก็มีความชัดเจนว่าผิดข้อบังคับของทนายความ ซึ่งตลอด 10 กว่าปีที่ตนทำหน้าที่สอบสวนความผิดมรรยาททนายความ ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
“ผมไม่ห่วงว่าจะเกิดความไม่พอในการลงโทษ เพราะเราทำอย่างตรงไปตรงมา และให้โอกาสผู้ถูกกล่าวชี้แจงอย่างเต็มที่แล้วตามที่ร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา โดยเราไม่อคติกับใคร ส่วนถ้าทนายความทั้งสามจะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อ รมว.ยุติธรรม ในฐานะนายกสภาพิเศษแห่งสภาทนายความแห่งประเทศไทย ตามขั้นตอนปฏิบัติ หรือการใช้สิทธิ์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ก็ทำได้ แต่การอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีนั้นจะไม่เป็นเหตุให้ระงับการที่ทั้งสาม ต้องงดปฏิบัติหน้าที่ฐานะทนายความของทั้งสามตามคำสั่งลงโทษแต่อย่างใด” นายสิทธิโชคกล่าว และย้ำว่า หลังจากนี้ทนายความทั้งสามจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ทนายความ รับว่าความคดีใดๆ จนครบเวลา 5 ปีที่ลงโทษ ซึ่งหลังจากครบกำหนดเวลาแล้ว ทั้งสามจะยื่นคำขออนุญาตจดทะเบียนใหม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคระกรรมการสภาทนายความว่าจะอนุญาตหรือไม่
**“พิชิฎ”สู้ไม่ยอมรับคำตัดสิน**
นายพิชิฎ ชื่นบาน เปิดเผยว่า ตนทราบว่ามีการเรียกประชุมกรรมการฯมาตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 8 ก.ย.และทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ประธานกรรมการมารยาทของทนายความ เป็นทนายความที่รับทำคดีหวยบนดินจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)อีกทั้งยังมีความพยายามเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว.ในสัดส่วนของสภาทนายความ ดังนั้นตนจะได้รับความเป็นธรรมตรงไหน อีกทั้งเหตุใดถึงเรียกประชุมแบบลับๆล่อๆ กรรมการส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือน คตส.แต่บางคนก็เป็นคนดี ขอขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรมกับตน ที่ผ่านมามีเพื่อนทนายความของตนจำนวนมากรับรู้ถึงความไม่เป็นธรรมและพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนมาตลอด แต่หัวหน้าคณะกรรมการฯก็เป็นเหมือน คตส.
นายพิชิฎ กล่าวด้วยว่า ตนไม่ยอมรับคำตัดสินของคณะกรรมการฯ ผมประกอบอาชีพทนายความมา 30 ปี ต่อสู้ด้วยเนื้อหาข้อกฏหมาย มั่นใจว่าตัวเองไม่เคยประพฤติผิดมารยาทของทนายความ แต่กรรมการส่วนใหญ่ที่ตัดสินว่าผมผิดนั้นเพราะผมเป็นทนายความให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหลังจากนี้จะยื่นอุทธรณ์ต่อ รมว.ยุติธรรมและต่อสู้ทางกระบวนการทางศาลปกครองต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมนั้นไม่หวังอะไรมาก เพราะ รมว.ยุติธรรม เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ และผมมีความสุขที่จะทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาทางด้านกฏหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดไป
สำหรับ นายพิชิฏ ชื่นบาน, นายธนา ตันศิริ, น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551 ได้รับการปล่อยตัวสู่อิสระภาพ หลังพวกเขาถูกจองจำ ชดใช้กรรมเป็นเวลา 6 เดือนเต็ม จากนั้นมา พิชิฏ ชื่นบาน ได้เก็บตัวเงียบ โดยได้ไปปรากฏตัววันที่ 29 ม.ค.52 ที่สภาทนายความ เพื่อเข้าพบคณะกรรมการสอบสวนมรรยาทสภาทนายความ ที่มีการเรียกร้องให้เพิกถอนใบอนุญาตทนายความ ฐานทำผิดร้ายแรง
โดยวันนั้น นายพิชิฏ พูดว่า...“ ผมยังมั่นใจว่าสภาทนายความซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่มีความอิสระ จะให้ความเป็นธรรมกับผมที่มีวิชาชีพเดียวกัน ผมพร้อมจะให้ความร่วมมือ ซึ่งวันนี้มาสภาทนายความก็เหมือนมาบ้านผม ส่วนหลังจากนี้จะทำอะไรนั้น เมื่อผมเป็นนักกฎหมายก็ยังต้องเป็นต่อไป ซึ่งผมยังเป็นที่ปรึกษากฎหมายได้”
จากนั้นมา นายพิชิฏ ชื่นบาน ไปปรากฏตัวที่ตึกชินวัตร 3 เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังจากตำรวจกองปราบปรามเข้าไปตรวจค้นบริษัท เอสซี แอสแสท เพื่อหาต้นตอคลิปเสียง “นายกฯ มาร์ค” โดยวันนั้น “พิชิฏ” เขาบอกสื่อว่า มาในฐานะทนายความ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายตระกูลชินวัตร และหลังจากสื่อเอเอสทีวี ผู้จัดการ ได้นำเสนอเรื่องนี้ ทำให้สภาทนายความดำเนินการลบชื่อบุคคลทั้ง 3 ทันที