xs
xsm
sm
md
lg

เสียดาย กษิต ภิรมย์!

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ประชาชนที่เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บจำนวนมากในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้นได้เสียสละเพื่อรักษาชาติ และราชบัลลังก์ ตลอดจนรักษาหลักนิติรัฐให้ดำรงอยู่ได้ในสังคมไทย ด้วยการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง และขับไล่รัฐบาลให้พ้นจากการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดระยะเวลา 193 วันของการต่อสู้ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถจะลืมเลือนได้

หนึ่งในหลายเหตุผลสำคัญที่ต้องขับไล่รัฐบาลในยุคของนายสมัคร สุนทรเวช นั้นก็คือการลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2552 กรณีการยกปราสาทพระวิหารและ “พื้นที่โดยรอบ” ให้กับประเทศกัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 190

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกรัฐบาลชุดนั้นในแถลงการณ์หลายฉบับว่า “รัฐบาลขายชาติ”!

คดีแถลงการณ์ร่วมฯ ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 โดยศาลรัฐธรรมนูญว่าแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แล้วยังมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2551 โดยศาลปกครองสูงสุดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยื่นคำร้องกับ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ป.ป.ช.กลับต้องใช้เวลานานมากกว่าคดี 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเสียอีก

เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2551 ภริยานายกรัฐมนตรีฮุนเซนแห่งกัมพูชา และคณะ ได้เดินทางบุกรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยบริเวณเขาพระวิหาร เพื่อไปทำพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดแก้วสิขาคีรีศวร ซึ่งในคืนนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 18/2551 ทันที เพื่อประท้วงและประณามกัมพูชากรณีรุกล้ำอธิปไตยบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งนอกจากการประท้วงและประณามกัมพูชาแล้ว ยังมีเนื้อความคัดย่อบางส่วนในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวมีข้อความดังต่อไปนี้

“เรายืนยันว่า วัดแก้วสิขาคีรีศวร และพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร และพื้นที่รอบนอกทั้งหมดเป็นดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์ ผู้บุกรุกทั้งหมดจะต้องออกไปจากดินแดนของราชอาณาจักรไทย

เรายังคงเรียกร้องให้รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการรุกล้ำอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยดังกล่าว และเร่งผลักดันบรรดาผู้บุกรุกชาวกัมพูชาทั้งหมดออกไปจากดินแดนของราชอาณาจักรไทย

เราเรียกร้องให้กองทัพไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาผู้บุกรุกอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทยออกไปจากเขตแดนของประเทศไทยโดยเร็ว”

เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพิ่งจะมาคิดค้นวิธีการต่อสู้ในประเด็นนี้ แต่เป็นจุดยืนเดิมที่ยืนหยัดปกป้องดินแดนและอธิปไตยไทยอย่างหนักแน่น มั่นคง มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยที่มีท่านทูตกษิต ภิรมย์ อยู่ในฐานะผู้ปราศรัยร่วมกับขบวนการที่มีจุดยืนดังกล่าวชัดเจนต่อกรณีการถูกรุกล้ำอธิปไตยไทย

มาปีนี้ภายใต้การนำของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝ่ายกัมพูชาเหิมเกริมมากขึ้น ถึงขั้นมีทหารและประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ของราชอาณาจักรไทยหลายจุด โดยที่ประชาชนชาวไทยทั่วไม่สามารถเข้าไปได้ เช่น ทางเดินจากผามออีแดงถึงวัดแก้วสิขาคีรีศวร บริเวณวัดแก้วสิขาคีรีศวรตลอดแนวถึงปราสาทพระวิหาร บนยอดภูมะเขือ ตลอดจนทางขึ้นตัวปราสาทที่ปิดด้วยรั้วประตูเหล็กที่คนไทยไม่สามารถขึ้นไปบนตัวปราสาทได้ ส่วนทหารไทยที่ต้องการขึ้นไปวัดแก้วสิขาคีรีศวรไม่สามารถพกพาอาวุธได้

นอกจากนี้ยังมีการสร้างถนนลำเลียงเสบียงและยุทโธปกรณ์เข้ามาให้ฝ่ายทหารกัมพูชาที่อยู่ในดินแดนไทยในหลายจุด เช่น ถนนจากบ้านโกมุยในฝั่งกัมพูชา-วัดแก้วสิขาคีรีศวร-ปราสาทพระวิหารเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัฐบาลชุดนี้ บันไดทางขึ้นภูมะเขือเสร็จสิ้นแล้ว และถนนทางขึ้นตัวปราสาทพระวิหารจากด้านหน้าผาเพื่อขึ้นสันปันน้ำใกล้เสร็จ นอกจากนี้ยังมีถนน 4 เลนเข้าช่องตาเฒ่า ซึ่งบริเวณดังกล่าวข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร

ฝ่ายกัมพูชายังสร้างถนนและสิ่งปลูกสร้างเพื่อเตรียมยึดพื้นที่ดินแดนฝั่งไทยเพิ่มเติมอีก เช่น ถนนเข้าปราสาทตาเมือนธม และมีการสร้างที่พักของทหารระดับสูงหลายหลัง และสร้างสิ่งปลูกสร้างของประชาชนชาวกัมพูชาอีกหลายจุด

เฉพาะการถูกรุกล้ำอธิปไตยดังกล่าวข้างต้น นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2552 ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์อธิบายความว่า:

“สาเหตุที่ทำให้ไทยไม่สามารถขึ้นไปชมเขาวิหารได้ เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างรอการเจรจาเกี่ยวกับเขตแดนที่ไทยอ้างเป็นเจ้าของทั้งหมด ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส โดยยึดเขตสันปันน้ำเป็นหลัก ส่วนกัมพูชายึดแผนที่ฝรั่งเศส จึงทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ปกติต้องยึดหลักตามกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เมื่อผู้นำทั้งสองประเทศตกลงยึดหลักเจรจา ก็ต้องว่ากันด้วยการเจรจาตกลงกัน

ทั้งนี้เมื่อการเจรจายังไม่แล้วเสร็จ หากถามว่า อธิปไตยไทยเป็นอย่างไร นายกษิต ตอบว่า ที่พิพาทตรงนี้ไทยได้ประกาศว่าเป็นของเราหลายครั้ง และที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาเราก็ได้ประท้วงไปแล้ว แต่กัมพูชาซึ่งก็อ้างสิทธิในแผนที่ฝรั่งเศสว่าเป็นพื้นที่ของเขา ทำให้มีการตรึงกำลังกันอยู่อย่างที่เห็น ด้วยเหตุนี้ไทยจึงไม่ได้สูญเสียอธิปไตยแต่อย่างใด

ส่วนประเด็นที่ชาวบ้านกังวล ว่า การที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาอยู่ในพื้นที่หากไม่ทำอะไรเลยจะเป็นการรับสภาพโดยปริยาย นายกษิต ตอบว่า เรื่องนี้เคยมีการเสนอต่อรัฐบาลชุดก่อนๆ ให้มีการใช้กำลังขับเคลื่อน แต่ได้ถูกระงับไว้ แต่มาถึงรัฐบาลปัจจุบันได้ตกลงที่จะทำการเจรจา จึงต้องว่ากันตามนั้น และเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ก็สามารถที่จะเจรจา ให้ย้ายวัด ประชาชนออกไปได้ อย่างไรก็ตามระหว่างที่ยังไม่ผ่านสภา หากไปไล่ชาวกัมพูชาออกไป ก็จะผิดวัตถุประสงค์ตามที่ผู้นำระหว่างประเทศได้ตกลงกันไว้”

ถ้าจะให้ความเป็นธรรม ต้องเข้าใจว่านายกษิต ภิรมย์ ซึ่งถูกมอบหมายให้มาเป็นหนังหน้าไฟแทนรัฐบาลนั้น “ไม่ได้เป็นคนถือกำลังทหาร” ที่จะไปผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทยได้ และสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็คือ “การประท้วง” เพื่อประกาศรักษาสิทธิ์ในดินแดน

นายกษิตยังได้พยายามบอกกับประชาชนว่า “ผู้นำประเทศ” ไม่มีวัตถุประสงค์ในการผลักดันฝ่ายกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทย ดังนั้นในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงทำได้เพียงแค่เจรจา ซึ่งต้องขอความเห็นชอบในกรอบการเจรจาจากรัฐสภาก่อน

การผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกไปจากอธิปไตยไทยได้หรือไม่ จึงอยู่ที่ผู้นำประเทศที่ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว!

ดังนั้น ดูจะเป็นการ “อำมหิต” ไปสักหน่อย ที่รัฐบาลมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาตอบแทนรัฐบาลในเรื่อง “การถูกรุกล้ำอธิปไตยอย่างชัดเจนที่สุด” โดยที่คนตอบคำถามไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องงานความมั่นคง ถึงได้โดนประชาชนในเว็บไซต์เข้ามาด่าถล่มเละเพราะพูดว่าเรารักษาดินแดนและอธิปไตยไทยได้เพราะเพียงแค่ “การยื่นหนังสือประท้วง”

ส่วนกรอบการเจรจาที่เตรียมจะขอผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ได้ระบุว่าให้ฝ่ายทหารทั้งสองฝ่ายถอนออกจากดินแดนไทยไปก่อน เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการร่วมปักปันเขตแดน โดยยังคงเหลือมีประชาชนชาวกัมพูชาและสิ่งปลูกสร้างอยู่ จะต่างอะไรที่จะเรียกว่าเป็นดินแดนอาศัยของชาวกัมพูชาในทางพฤตินัย โดยที่ไม่มีทหารทั้งสองฝ่ายมารบกวน

บังเอิญว่าร่างข้อตกลงชั่วคราวฉบับนี้ระบุเอาไว้ว่า “ข้อตกลงชั่วคราวฯ จะมีผลบังคับใช้จนกว่าการจัดทำหลักเขตแดนจะเสร็จสิ้นลง” ซึ่งไม่มีกำหนดว่าจะจบลงเมื่อใด และถ้าไม่มีวันจัดทำหลักเขตแดนเสร็จสิ้นหรือตกลงกันไม่ได้ ดินแดนไทยที่มีแต่ถนน สิ่งปลูกสร้าง วัด ประชาชนชาวกัมพูชาซึ่งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบสิ้น และราชอาณาจักรไทยอาจจะไม่สามารถทวงดินแดนส่วนนั้นกลับมาได้อีกเลย ซึ่งฝ่ายกัมพูชาย่อมพอใจที่จะถ่วงเวลาในการปักปันเขตแดนภายใต้ร่างกรอบการเจรจานี้ตลอดกาล

เมื่อถามว่า อีก 10 ปีเรื่องนี้จะจบไหม นายกษิต ตอบในรายการที่ให้สัมภาษณ์ดังกล่าวว่า เกาะเล็กๆ ระหว่างประเทศสิงคโปร์กับประเทศมาเลเซีย ยังใช้เวลาถึง 30 ปี อย่างไรก็ตามรัฐบาลทั้งสองประเทศไม่ได้เอาเรื่องระยะเวลามาบีบบังคับ คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ

ก็แปลว่าดินแดนของไทยในส่วนที่ถูกรุกล้ำ “มาไม่กี่ปี” นี้ อาจจะไม่มีวันกำหนดทวงคืนเลยก็เป็นได้!

นอกจากนั้น ยังมีทหารบางคนทำมาหากินกับการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ทั้งการค้าขายสินค้า รับงานก่อสร้าง การค้าขายรถขโมยจากประเทศไทย ฯลฯ จึงอยู่ที่ผู้นำไทยจะรู้เท่าทันกับความเลวร้ายของทหารขายชาติเหล่านี้หรือไม่?

17 ธันวาคม 2544 - 30 พฤษภาคม 2546 เป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ฝ่ายไทยได้ปิดทางขึ้นเขาพระวิหารให้คนไทยทั้งหมดออกนอกพื้นที่ แทนที่จะผลักดันให้ประชาชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่ กลับปล่อยให้ประชาชนกัมพูชาอยู่ด้านบนเขาพระวิหารตลอดระยะเวลาเกือบปีครึ่ง มีคำถามให้น่าที่จะตั้งข้อสังเกตอยู่ว่าประชาชนและทหารชาวกัมพูชามีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ถนนที่ตัดผ่านจากฝั่งกัมพูชาข้ามาฝั่งไทยในเวลานั้นก็ยังไม่แล้วเสร็จ หรือว่ามีการปล่อยให้มีการส่งเสบียงหรือการค้าขายให้กับทหารและชาวกัมพูชาที่อยู่บนเขาพระวิหาร ใช่หรือไม่?

ในทางตรงกันข้ามการผลักดันให้ทหารและประชาชนชาวกัมพูชา ถ้าจะทำกันจริงๆก็ย่อมทำได้ เหมือนกับกรณีตัวอย่างเหตุการณ์ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม 2548 ที่ฝ่ายทหารไทยเตรียมกำลังส่งสัญญาณ คำรามพร้อมที่จะใช้กำลังผลักดันให้ฝ่ายกัมพูชาออกนอกพื้นที่เพราะเริ่มมีการปรับปรุงถนนเข้าสู่ปราสาทพระวิหารจากบ้านโกมุยของฝ่ายกัมพูชา ปรากฏว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ปิดทางขึ้นปราสาทพระวิหาร และอพยพครอบครัวบนพื้นที่รอบปราสาทได้เกือบหมดในระยะเวลาอันสั้น แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตกลงถอนทหารกลับไปและเปิดทางขึ้นปราสาทอีกครั้งเป็นปกติ

แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกรุกล้ำอธิปไตย เพราะเรามีทหารและนักการเมืองบางคนขายชาติและติดผลประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป แต่ในยุคนี้เราถูกรุกล้ำอธิปไตยเพราะเรามีผู้นำที่อ่อนแอเกินไป

จึงเป็นที่น่าเสียดายที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องกลายมาเป็นหนังหน้าไฟแบกรับความอ่อนแอด้านความมั่นคงของรัฐบาลอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งไม่มีทางที่จะแบกรับความจริงที่ประเทศไทยถูกรุกล้ำอธิปไตยอยู่ในขณะนี้ได้

ถ้านายกษิต ภิรมย์ มีจิตใจอยู่เคียงข้างการต่อสู้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและไม่ยึดติดอยู่ในตำแหน่ง ควรจะต้องส่งสัญญาณถึงรัฐบาลให้ใช้งานความมั่นคงเพื่อรักษาดินแดนได้แล้ว และถ้าอึดอัดใจที่รัฐบาลไม่รักษาหรือทวงคืนดินแดนทางบกของไทยและผลประโยชน์ทางทะเลของชาติเอาไว้ได้...

ลาออกไปเสียดีกว่า อย่าได้เข้าร่วมกับความล้มเหลวครั้งนี้เลย!
กำลังโหลดความคิดเห็น