xs
xsm
sm
md
lg

มาร์คกดปุ่มไทยเข้มแข็งหว่าน1.43ล้านล.ทั่วไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกฯ กดปุ่มไทยเข้มแข็ง 2555 สานต่อกระตุ้นเศรษฐกิจวางรากฐานการพัฒนาประเทศระยะยาว 1.43 ล้านล้าน "กรณ์" ระบุเบิกจ่ายงบได้ทันทีปลายเดือนนี้ มั่นใจเอกชนฟื้นความเชื่อมั่นสร้างแรงจูงใจเกิดการลงทุน ด้าน “เจ๊วา”ชงครม. ขอแบ่งงบไทยเข้มแข็งรอบ 2 กว่า 2 หมื่นล้าน

วานนี้ (4 ก.ย.) กระทรวงการคลังได้จัดพิธีเปิดแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และเว็ปไซต์ www.tkk2555.com อย่างเป็นทางการ ณ ห้อง Grand Diamond Ballroom อาคารอิมแพคคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงานฯ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยได้จัดทำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ในระยะเร่งด่วนที่เรียกว่า แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 1 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยการช่วยเหลือด้านรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย และการลดการใช้จ่ายให้แก่ภาคครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รวมทั้ง ลดรายจ่ายด้านการศึกษาของนักเรียนในโครงการเรียนฟรี ซึ่งมาตรการดังกล่าว ช่วยลดผลกระทบให้แก่ประชาชนได้ในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะแรก ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกในอนาคต ยังมีความไม่แน่นอน รัฐบาลจึงมีความจำเป็นจะต้องดำเนินมาตรการเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาว โดยมุ่งเน้นการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในสาขาต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน และการลงทุนต่อเนื่องของภาคเอกชน
รวมทั้ง เป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกได้ทันที ที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 6 พ.ค.52 เห็นชอบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือแผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งเป็นการลงทุนในช่วงระหว่างปี 2553-2555 วงเงินรวม 1.43 ล้านล้านบาท

'กรณ์' ลั่นเบิกจ่ายปลายเดือนนี้
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า งบประมาณที่ใช้ในปฏิบัติการไทยเข้มแข็งจะเข้าสู่ระบบ มีการเบิกจ่ายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นไป โดย 4 กระทรวงหลักคือ คมนาคม เกษตรฯ ศึกษาธิการและสาธารณสุข มีวงเงินสูงถึง 75% ของงบประมาณ 2 แสนล้านบาทแรก ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วนได้ทำความเข้าใจกันชัดเจนแล้วว่า จะต้องเบิกจ่ายให้ได้อย่างน้อย 85-90% ภายในปีปฏิทิน 2553
“เงิน 2 แสนบาทแรกต้องเบิกจ่ายให้ได้ในสิ้นปี 53 โดยเป็นเงินจาก พ.ร.ก.กู้ฉุกเฉิน 4 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะมีเงินเข้าสู่ระบบได้ในปี 53 ไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนล้าน ถือเป็นสัดส่วนประมาณ 2.7-2.8% ของจีดีพี น่าจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นที่น่าพอใจ ส่วนโครงการต่างๆ ที่มีการกลั่นกรองมาแล้วนั้นทุกโครงการมีความพร้อมสามารถเปิดประมูลและเบิกจ่ายเงินได้ทันทีเพื่อให้ทันต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ” นายกรณ์กล่าว

หวังเอกชนเชื่อมั่นและลงทุน
รมว.คลังกล่าวว่า รัฐบาลเชื่อว่าโครงการลงทุนครั้งประวิติศาสตร์นี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชนให้มีการลงทุนตามมาแน่นอน รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศที่จะมีการขยายตัวขึ้น แต่ทั้งนี้รัฐบาลต้องประเมินผลความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจประกอบไปด้วย โดยในระยะหลังดัชนีต่างๆ ชี้วัดออกมาว่านักธุรกิจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังดีขึ้น
“ในระยะแรกโครงการต่างๆ ที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจะเน้นการใช้วัตถุดิบจากในประเทศเป็นหลักยังไม่มีการนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศมากนัก แต่ในช่วงหลังที่มีการใช้เงินจากพ.ร.บ.เงินกู้ 4 แสนล้าน โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมที่มีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพขนส่งระบบราง และขนส่งทางอากาศก็คงจะมีการนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศมากขึ้นรวมถึงจะปรับสัดส่วนการกู้เงินจากต่างประเทศให้มีความเหมาะสม” รมว.คลังกล่าว

ชี้โปร่งใสเปิดเว็บไซต์ให้จับผิด
นายกรณ์เชื่อว่า โครงการไทยเข้มแข็งจะสามารถเดินหน้าได้ด้วยความโปร่งใส เนื่องจากมีการพัฒนาเวบไซต์ www.tkk2555.com ควบคู่กัน เพื่อให้มีการตรวจสอบจากภาคประชาชนว่า เงินที่เขานำมาซื้อพันธบัตรไทยเข้มแข็งได้ใช้ประโยชน์จริง และในท้องถิ่นที่เขาอยู่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันหากพบเห็นสัญญาณการทุจริตเกิดขึ้นก็สามารถแจ้งให้ทราบได้ทางเวบไซต์เพื่อส่งต่อไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่รับผิดชอบดำเนินการตรวจสอบต่อไป
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ในส่วนของคมนาคมโดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทที่มีงบประมาณกว่า 2 หมื่นล้านบาท จะเริ่มเซ็นสัญญาว่าจ้างได้ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.เป็นต้นไป และโครงการถนนไร้ฝุ่น 1.5 หมื่นล้านบาท 3 พันกิโลเมตรจะเริ่มเซ็นสัญญาได้ในเดือนตุลาคม โดยโครงการที่มีมูลค่าไม่เกิน 40 ล้านบาทน่าจะเสร็จภายใน 1 ปี โดยจะมีการค้ำประกันสัญญาการก่อสร้าง 2 ปี ได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า งบประมาณประจำปี 2553 ของศธ. 3.5 แสนล้านบาท และงบไทยเข้มแข็ง 4 หมื่นล้านบาท รวมแล้ว 4 แสนล้านบาทถือว่ามากเป็นประวัติการณ์ของกระทรวง โดยในวันที่ 18 ก.ย.หน่วยงานทุกแห่งในสังกัดจะได้รับเม็ดเงินจากโครงการไทยเข้มแข็งสามารถจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนได้ในทันที เพราะทุกโครงการมีความพร้อมและมีการเตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว

"เจ๊วา" ชง 7 โครงการ 2 หมื่นล้าน
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ได้เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า เพื่อของบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็ง ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะ 2 ระหว่างปี 2553-55 รอบ 2 วงเงินรวม 20,131 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในในการจัดทำแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจเพิ่มเติมของกระทรวงพาณิชย์
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า โครงการที่กระทรวงพาณิชย์เตรียมนำเสนอที่ประชุม ครม. เพื่อขออนุมัติงบประมาณดังกล่าว ประกอบด้วย 1.โครงการส่งเสริมและพัฒนาย่านการค้าจังหวัด 1,850 ล้านบาท เป้าหมายส่งเสริมและพัฒนาการค้าใน 45 จังหวัด ให้มีการเชื่อมโยงแหล่งผลิตสินค้ากับผู้ซื้อทั้งในประเทศและผู้ซื้อจากต่างประเทศ ระยะเวลาโครงการจะเริ่มปี 2553-55 ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าการค้าให้ย่านจังหวัดได้ไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท และเงินหมุนเวียนต่อระบบเศรษฐกิจกว่า 2 หมื่นล้านบาท 2.โครงการสร้างเครือข่ายยุวชนธงฟ้า 75 ล้านบาท เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีความรู้และรักษาสิทธิประโยชน์ของตนเองในการซื้อสินค้าและบริการผ่านโรงเรียนสีฟ้าและโรงเรียนอื่นๆ
3.โครงการส่งเสริมการตลาดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างมูลค่าทางการค้าแก่สินค้าเกษตร 100 ล้านบาท เป็นการส่งเสริมการตลาดเชิงสร้างสรรค์สินค้าเกษตรเป้าหมายโดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ลิ้นจี่ และลำไย 4. โครงการธงฟ้าเพื่อผู้บริโภค 386 ล้านบาท เป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชนทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค 76 จังหวัด จำนวน 79 ครั้ง ส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยและโอท็อปให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงและราคาต่ำกว่าท้องตลาด 20-40% ซึ่งจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินตราและผลผลิตสินค้าในระบบเศรษฐกิจ ระยะเวลาโครงการ 1 ปี
5.โครงการเพิ่มมูลค่าการค้าของภาคเกษตรด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 40 ล้านบาทส่งเสริมในเรื่องการเพิ่มภูมิปัญญาในการผลิตสินค้าและการจัดจำหน่าย 6.โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดเกษตร 13,080 ล้านบาท เป็นการให้ความรู้เกษตรต่อการทำตลาด การเปิดเสรี และรักษาสิทธิประโยชน์ สนับสนุนการจัดตั้งคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น 30 แห่ง จัดทำห้องเย็นเคลื่อนที่ 24 ชม. และยุ้งฉางกลางใน 20 จังหวัด ทำตลาดสด 500 แห่งทั่วประเทศ ตั้งศูนย์กลางรวมผลไม้ใหญ่สุดของโลก 1 แห่ง เป็นการแก้ปัญหาด้านสินค้าเกษตรทั้งระบบ ระยะโครงการ 3 ปี
7.โครงการช่วยเหลือประชาชนฐานราก 4,600 ล้านบาท รณรงค์ให้คนไทยนิยมใช้และกินของไทย จำหน่ายสินค้าราคาถูกกว่าตลาด 20-40% ผ่านร้านค้าย่อยในชุมชนกว่า 30 แห่ง ดูแลต้นทุนวัตถุดิบและการผลิตให้ลดลง เช่น ก๊าซหุงต้ม น้ำมันพืช ข้าวสาร และภาคบริการต่างๆ.
กำลังโหลดความคิดเห็น