ที่ประชุมสภาพิจารณางบประมาณประจำปี 53 ตัวเลข 1.7 ล้านล้านบาท “มาร์ค” รับจัดงบขาดดุลปีหน้า เร่งดัน 8 ยุทธศาสตร์นำไทยสู้วิกฤตโลก ทำใจเก็บภาษีไม่เข้าเป้าเหตุเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ย้ำทุกโครงการของรัฐบาลต้องชี้แจงที่มาได้ โต้ฝ่ายค้านบีบให้ผ่านกฏหมายกู้เงิน 3 วาระรวด ด้าน “ไข่แม้ว” หมดมุก วนเวียนเรื่องเก่า งัดโครงการรถไฟฟ้าสีม่วง ยำรัฐบาลส่อทุจริต
วันนี้ (17 มิ.ย.) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฏรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2553 โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า ครม.ได้กำหนดวงเงินงบประมาณ จำนวน 1 .7 ล้านล้านบาท เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามแนวทางของนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างเสถียรภาพอย่างยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจและสังคมไทย สร้างความพร้อมเพื่อการแข่งขันในเวทีโลก
นายกฯกล่าวว่า ฐานะและนโยบายการเงินการคลังของประเทศไทย ในไตรมาสแรกของปี 2552 หดตัวลงถึงร้อยละ 7.1 ต่อเนื่องมาจากไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ซึ่งหดตัวร้อยละ 4.2 เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยเป็นวงกว้าง และรุนแรงได้ส่งผลกระทบในการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากรายได้ของครัวเรือน มีแนวโน้มลดลง มีการหดตัวของภาคการผลิตในหลายสาขาโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง และการท่องเที่ยวส่วนภาคเกษตรมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อย แม้ว่ามีการผลิตพืชหลักเพิ่มขึ้น แต่ราคาสินค้าเกษตรลดลงมากตามราคาในตลาดโลก ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม
อ้างเศรษฐกิจชะลอตัว ทำรัฐเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า
ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับที่สูง สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2552 คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้น และสามารถกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสสุดท้าย ส่วนในปี 2553 คาดว่า จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.0-3.0 อัตราเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 0-1 โดยแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญมาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและการส่งออก การระดมทุนจากแหล่งต่างๆ เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของรัฐบาล ซึ่งคาดว่า จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้นควบคู่ไปกับการมีรากฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งในระยะยาว ในงบปี 2553
การชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมา ได้ส่งผลในการจัดเก็บรายได้ของรัฐต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยประมาณการเอาไว้ ดังนั้น พ.ร.บ.งบประมาณปี 2553 จึงกำหนดวงเงินเอาไว้ทั้งสิ้นจำนวน 1.7 ล้านล้านบาท เป็นนโยบายงบประมาณขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิจำนวน 1.350 ล้านล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีกจำนวน 3.5 แสน ล้านบาท ซึ่งวงเงินงบประมาณดังกล่าวจำแนกเป็นรายจ่ายประจำจำนวน 1,436,389.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 84.5 รายจ่ายลงทุนจำนวน 212,689.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.5 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 50,920.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3
ผุด 8 ยุทธศาสตร์ นำไทยสู้วิกฤตโลก
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณไว้จำนวน 8 ยุทธศาสตร์ คือ 1 การสร้างความเชื่อมั่นและการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 144,591.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.5 2.การรักษาความมั่นคงของรัฐ จำนวนเงินทั้งสิ้น 173,192 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.2 3.การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต จำนวนทั้งสิ้น 506,640.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 29.8 4.การบริหารจัดการเศรษฐกิจ ให้ขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ งบประมาณ 158,707.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9.3 5.ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม จำนวน 29,719.4 ล้านบาท 6.ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ 11,960.8 ล้านบาท 7.ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 7,357.7 ล้านบาท และ 8.ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 241,228.3 ล้านบาท
สำหรับรายการค่าดำเนินการภาครัฐได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้จำนวนทั้งสิ้น 426,602.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.1 ของวงเงินงบประมาณ จำแนกเป็นการบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาในสภาวะฉุกเฉิน และบริหารจัดการเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมาย
“ไข่แม้ว” รุมอัดรัฐบาลมั่วตัวเลขโยกงบสนุกมือ
ด้าน ส.ส.ฝ่ายค้าน ต่างรุมอภิปรายตำหนิการจัดงบประมาณในปี 2553 ว่า ไม่เหมาะสม โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงผูกโยงไปถึงการออก พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงินของกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะการเร่งรัดให้พิจารณา 3 วาระรวดของรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่เพื่อไทย อภิปรายในฐานะตัวแทนพรรคเพื่อไทย ว่า มีการมั่วตัวเลขในหลายโครงการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งในพ.ร.บ.กู้เงิน เขียนวงเงินลงทุนไว้ 4.1 หมื่นล้านบาท แต่ก่อนหน้านี้ ครม.อนุมัติไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมา 5 พันล้านบาท ยิ่งทำให้สงสัยถึงการประชุม ครม.นัดพิเศษ ที่อนุมัติงบให้กระทรวงท่องเที่ยว 2 พันล้านบาท และให้กระทรวงมหาดไทยอีกเกือบ 2 พันล้านบาท ว่า เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของโครงการรถไฟฟ้าหรือไม่ หากดูการจัดทำงบประมาณรายรายจ่ายจะเห็นว่าไม่เพียงการกู้แค่ 8 แสนล้านบาทเท่าที่มีเท่านั้น แต่ยังมีตัวเลขการกู้เงินเพื่อนำมาปิดปีงบประมาณ 2553 อีก 3.5 แสนล้านบาท เพราะงบประมาณปี 2553 เป็นงบขาดดุล
“ดังนั้น เมื่อดูจากตัวเลขเงินกู้ของรัฐบาลนี้เมื่อรวมตัวเลขแล้วสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลหาเงินไม่เป็น เป็นแต่การกู้ ดังนั้น ขอเรียกว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่กู้จนแขกหนี เพราะกลัวว่ารัฐบาลจะไปกู้เขาอีก”
“มาร์ค” มั่นใจทุกโครงการแจงที่มาได้
ด้าน นายอภิสิทธิ์ ลุกชี้แจงทันทีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน (16 มิ.ย.) รัฐบาลไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องพิจารณา พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 3วาระ เพราะตั้งใจจะให้กรรมาธิการร่วมตรวจสอบและพิจารณา แต่เมื่อฝ่ายค้านยืนยันไม่ร่วมเป็นกรรมาธิการ รัฐบาลก็จึงตั้งกรรมาธิการเต็มสภา
ส่วนข้อกล่าวหาตัวเลขมั่วนั้น ยืนยันว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของทุกประเทศผันผวนตลอด วงเงินที่จะใช้ทำงานต้องปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม และต้องมีการเผื่อเงินเอาไว้ในการสร้างงานสร้างอาชีพ ต้องมีโครงการสำรองที่เพิ่มเข้ามา จึงแล้วแต่ว่าจะเอายอดส่วนไหนไปดู แต่ทุกโครงการต้องสามารถอธิบายได้
ชี้ไม่ควรเพิ่มวงเงินโครงการสายสีม่วง
ส่วนกรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วงนี้ ตนได้พบกับ รมว.คมนาคม และได้ให้นโยบายชัดเจนว่าไม่สมควรจะเพิ่มกรอบวงเงิน เมื่อขั้นตอนเสร็จสิ้นในส่วนแรกต้องอยู่ภายใต้กรอบ 3.6 หมื่นล้านบาทและครม.ก็ยังไม่ได้พิจารณาวงเงินนี้ สำหรับการเพิ่มโครงการในกรอบการใช้จ่ายเงินใน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 เรื่อง เพราะเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการเพิ่มศูนย์เด็กเล็ก และเป็นเรื่องปกติหาเศรษฐกิจไม่ดีเราก็ต้องกู้
“ผมยืนยันได้ว่า โครงการที่อนุมัติจาก ครม.คำนึงถึงความจำเป็นในการพัฒนาบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่มีโครงการใดที่จะอนุมัติโดยหวังผลทางการเมือง หรือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคร่วมรัฐบาล และการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการ ถือเป็นสิ่งปกติที่รัฐบาลต้องทำในสถานการณ์ภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็ต้องกู้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช หรือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องกู้ทั้งนั้น แต่สำหรับรัฐบาลนี้เรากู้มาเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเป็นหลัก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
“ซาเล้ง” แก้ตัวพัลวันป่าวแก้ตัวเลข
ด้าน นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้ชี้แจงกรณีตัวเลขของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่มีตัวเลขสูงขึ้นเป็น 4.1 หมื่นล้านบาท ว่า ตัวเลขเดิมที่เป็นงานเฉพาะด้านโยธาธิการ คือ 3.6หมื่นล้านบาท แต่ ณ วันนี้จะต้องมีการซื้อหัวรถจักรและดำเนินการอย่างอื่นอีกจึงทำให้มีตัวเลขเป็น 4.1 หมื่นล้านบาท จึงไม่ได้เป็นการเพิ่ม หรือเปลี่ยนแปลงตัวเลขในโครงการนี้
ส.ส.ใต้ ติงรัฐให้งบดับไฟใต้น้อย เสนอตั้ง กก.อิสระ สร้างความมั่นใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหนึ่ง ส.ส.ภาคใต้จากพรรคมาตุภูมิ ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลให้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้น้อยเกินไป และคิดว่า รัฐบาลควรมีตั้งคณะกรรมการอิสระ ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลควรเปลี่ยนนโยบายในการแก้ไขปัญหาจากใช้การการเมืองนำการทหาร แต่ควรเปลี่ยนเป็นศาสนานำการเมือง
นายกฯรับข้อเสนอดึง “ดาโต๊ะ” ร่วม กก.เล็งดันตั้ง ศบ.ชต.แก้ปัญหาถาวร
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า น้อมรับข้อเสนอดังกล่าวในการตั้งคณะกรรมการดังกล่าวโดยอนาคตอาจจะเป็นการตั้งดาโต๊ะขึ้นมาร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ การทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาก็เน้นการทำความเข้าใจในพื้นที่เป็นสำคัญมากกว่าการเน้นการใช้ความรุนแรงและการปราบปราม โดยรัฐบาลตั้งเป้าว่าในการประชุมรัฐสภาในสมัยสามัญนิติบัญญัติ จะสามารถผลักดันร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งสำนักบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศบ.ชต.) ขึ้นมาเป็นองค์กรถาวรในการแก้ไขปัญหาได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า โครงสร้างองค์กรนี้ยังต้องเป็นโครงสร้างที่ฝ่ายการเมืองเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่ให้ทหารมีอำนาจเหนือการเมือง แต่ยังไม่แน่ใจว่าองค์กรนี้จะได้รับการผลักดันให้เป็นทบวงหรือไม่เพราะต้องรอให้มีกระบวนการในการจัดทำกฎหมายก่อน