วานนี้ (17มิ.ย.) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ได้พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2553 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า ครม.ได้กำหนดวงเงินงบประมาณ จำนวน1 .7 ล้านล้านบาท เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามแนวทางของนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และ สร้างเสถียรภาพอย่างยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจ และสังคมไทย สร้างความพร้อมเพื่อการแข่งขันในเวทีโลก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ในช่วงที่มีการหดตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวาเศรษฐกิจของโลกที่ตกต่ำ แต่คาดว่าช่วงที่เหลือของปี 52 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้น และสามารถกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสสุดท้าย ส่วนในปี 53 คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ2.0 ถึง 3.0 อัตราเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 0 ถึง1 โดยแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจะมาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ และการส่งออก การระดมทุนจากแหล่งต่างๆ เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555
การชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมาได้ส่งผลในการจัดเก็บรายได้ของรัฐต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น พ.ร.บ.งบประมาณปี 53 จึงเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ 1.350 ล้านล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีก 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งวงเงินงบประมาณดังกล่าว จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 1,436,389.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 84.5 รายจ่ายลงทุน 212,689.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.5 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 50,920.9 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ3
**8 ยุทธศาสตร์นำไทยสู้วิกฤตโลก
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณไว้ 8 ยุทธศาสตร์ คือ 1. การสร้างความเชื่อมั่นและการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ 144,591.4 ล้านบาท 2. การรักษาความมั่นคงของรัฐ 173,192 ล้านบาท 3 .การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต 506,640.2 ล้านบาท 4. การบริหารจัดการเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ 158,707.7 ล้านบาท 5.ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 29,719.4 ล้านบาท 6.ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ 11,960.8 ล้านบาท 7. ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 7,357.7 ล้านบาท และ 8. ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 241,228.3 ล้านบาท
สำหรับรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ 426,602.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.1 ของวงเงินงบประมาณ จำแนกเป็นการบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาในสภาวะฉุกเฉิน และบริหารจัดการเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมาย
**อัดรัฐบาลมั่วตัวเลขโยกงบสนุกมือ
ด้าน ส.ส.ฝ่ายค้านได้อภิปรายตำหนิการจัดงบประมาณปี 53 ว่าไม่เหมาะสมโดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงผูกโยงไปถึงการออก พ.ร.ก. และพ.ร.บ.กู้เงิน ของกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะการเร่งรัดให้พิจารณา 3 วาระรวดของรัฐบาล เมื่อคืนวันที่16 มิ.ย. ที่ผ่านมา
นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีการมั่วตัวเลขในหลายโครงการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งใน พ.ร.บ.กู้เงิน เขียนวงเงินลงทุนไว้ 4.1 หมื่นล้านบาท แต่ก่อนหน้านี้ ครม.อนุมัติไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมา 5 พันล้านบาท ยิ่งทำให้สงสัยถึงการประชุมครม.นัดพิเศษ ที่อนุมัติงบให้กระทรวงท่องเที่ยว 2 พันล้านบาท และให้มหาดไทยอีกเกือบ 2 พันล้านบาท ว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของโครงการรถไฟฟ้าหรือไม่ หากดูการจัดทำงบประมาณรายจ่ายจะเห็นว่า ไม่เพียงการกู้แค่ 8 แสนล้านบาทเท่าที่มีเท่านั้น แต่ยังมีตัวเลขการกู้เงินเพื่อนำมาปิดปีงบประมาณ 53 อีก 3.5 แสนล้านบาท เพราะงบประมาณปี 53 เป็นงบขาดดุล
"ดังนั้นเมื่อดูจากตัวเลขเงินกู้ของรัฐบาลนี้ เมื่อรวมตัวเลขแล้วสูงถึง1.6 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลหาเงินไม่เป็น เป็นแต่การกู้ ดังนั้น ขอเรียกว่ารัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลที่กู้จนแขกหนี เพราะกลัวว่ารัฐบาลจะไปกู้เขาอีก"
**"มาร์ค"มั่นใจทุกโครงการแจงที่มาได้
ด้านนายอภิสิทธิ์ ลุกชี้แจงทันทีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน (16มิ.ย.) รัฐบาลไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องพิจารณา พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ 3วาระ เพราะตั้งใจจะให้กรรมาธิการร่วมตรวจสอบและพิจารณา แต่เมื่อฝ่ายค้านยืนยันไม่ร่วมเป็นกรรมาธิการ รัฐบาลก็จึงตั้งกรรมาธิการเต็มสภาฯ
ส่วนข้อกล่าวหาตัวเลขมั่วนั้น ยืนยันว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของทุกประเทศผันผวนตลอด วงเงินที่จะใช้ทำงานต้องปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม และต้องมีการเผื่อเงินเอาไว้ในการสร้างงานสร้างอาชีพ ต้องมีโครงการสำรองที่เพิ่มเข้ามา จึงแล้วแต่ว่าจะเอายอดส่วนไหนไปดู แต่ทุกโครงการต้องสามารถอธิบายได้
**ไม่ควรเพิ่มวงเงินรถไฟฟ้าสายสีม่วง
ส่วนกรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วงนี้ ตนได้พบกับ รมว.คมนาคม และได้ให้นโยบายชัดเจนว่า ไม่สมควรจะเพิ่มกรอบวงเงิน เมื่อขั้นตอนเสร็จสิ้นในส่วนแรกต้องอยู่ภายใต้กรอบ 3.6หมื่นล้านบาท และครม.ก็ยังไม่ได้พิจารณาวงเงินนี้ สำหรับการเพิ่มโครงการในกรอบการใช้จ่ายเงินใน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 เรื่องเพราะเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการเพิ่มศูนย์เด็กเล็ก และเป็นเรื่องปกติ หากเศรษฐกิจไม่ดีเราก็ต้องกู้
"ผมยืนยันได้ว่า โครงการที่อนุมัติจากครม. คำนึงถึงความจำเป็นในการพัฒนาบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่มีโครงการใดที่จะอนุมัติโดยหวังผลทางการเมือง หรือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคร่วมรัฐบาล และการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการ ถือเป็นสิ่งปกติที่รัฐบาลต้องทำในสถานการณ์ภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็ต้องกู้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช หรือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องกู้ทั้งนั้น แต่สำหรับรัฐบาลนี้ เรากู้มาเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเป็นหลัก" นายอภิสิทธิ์กล่าว
**"เหลิม"อัดรัฐบาลฝึกงาน
ต่อมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า รัฐบาลจัดงบประมาณแบบเพ้อฝัน เพราะจัดงบน้อยกว่าประมาณการถึง 2 แสนล้านบาท ทั้งที่ควรจะทำงบลงทุนให้มาก แต่กลับจัดงบรายจ่ายประจำมากกว่า ถือว่าบริหารบ้านเมืองไม่เป็น ปัญญาทึบ 2 มาตรฐาน เป็นรัฐบาลฝึกงาน ในการจัดสรรงบประมาณ และการจัดเก็บงบไม่เข้าเป้าเพราะไม่มีความศรัทธาจากประชาชน ไม่ควรมั่วเอานโยบายเรียนฟรีมาอ้างว่าเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนเช็ค 2,000บาท นั้นก็มีคนไม่มารับ 604,633 คน คิดเป็นเงินที่ยังค้างถึง 1,208 ล้านบาท แล้วเงินส่วนนี้ถูกนำไปไว้ที่ไหน นำไปใช้อะไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงปัญหาเช่ารถเมล์เอนจีวี 4,000 คัน ที่ ครม.โยนให้สภาพัฒน์ไปศึกษาว่า จะเช่าหรือซื้อ อยากรู้ว่านายกฯ คิดได้อย่างไร เพราะหากกล้าจริงควรตรวจสอบเรื่องการทุจริต ไม่ใช่ศึกษาว่าจะซื้อหรือเช่า เพราะสมัยตนเป็นรมว.คลัง ก็เป็นผู้คัดค้าน เพราะเห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากล เชื่อว่าหากเรื่องนี้ไม่ได้รับการอนุมัติ ต่อให้เอาปืนใหญ่ไปจี้หัวก็ไม่มีพรรคการเมืองไหนยอมถอนตัวจากรัฐบาลแน่
"อยากให้เอาให้ชัดไปเลยว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จะสร้างรถไฟฟ้าสายนั้นสายนี้ หรือจะเอารถเมล์เอ็นจีวีด้วย แต่คนอีสานทั้ง19จังหวัดไม่ได้อะไรเลย จะได้ไปวัดกันในการเลือกตั้งเลย ถ้านายกฯ เห็นว่าโครงการรถเมล์ไม่ทุจริต ก็ควรรีบอนุมัติให้เขาไป ต้นปีหน้าคงได้เจอพวกผมตามทุบเรื่องนี้แน่" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
**"มาร์ค"ตอก"เหลิม"แค่พื้นๆ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงทันทีว่า สิ่งที่ร.ต.อ.เฉลิมพูดไป ไม่ได้มีการเสนออะไรที่ชัดเจน แต่เป็นการอภิปรายทั่วไป ที่บอกว่านโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการจัดงบประมาณและการเก็บภาษีไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ไม่เป็นความจริง ไม่ว่าตำราเศรษฐศาสตร์ฉบับไหนก็ระบุเหมือนกันว่า การเพิ่มงบประมาณ และการเพิ่มภาษี ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกัน และที่กล่าวหาว่าโครงการเรียนฟรี 15 ปีไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ไม่ใช่ เพราะนโยบายเรียนฟรี เจตนารมณ์ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดยรัฐบาลใส่เงินสดเข้าไป สามารถไปตรวจได้ว่า ช่วงเดือนเม.ย. ที่ผ่านมามีเงินที่ถูกนำมาใช้หมุนเวียนจำนวนมาก
ส่วนเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี ที่ยื่นสภาพัฒน์ฯไปนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ส่งให้ศึกษาว่าทุจริตหรือไม่ แต่ให้ไปดูว่าควรจะมีการปฏิรูประบบรถเมล์อย่างไร ถ้ารัฐบาลส่งเรื่องให้สภาพัฒน์ดูว่ามีการทุจริตหรือไม่ คงเป็นเรื่องแปลก เพราะองค์กรเดียวที่จะบอกว่ามีการทุจริตหรือไม่คือ ป.ป.ช.
นายอภิสิทธ์ ยอมรับว่าโครงการต้นกล้าอาชีพในช่วงเดือนแรกๆ อาจจะต่ำกว่าเป้า แต่ระยังหลังมีผู้ที่ตกงานมาร่วมงานมากขึ้น และขณะนี้ ครม.ได้อนุมัติจ้างพนักงานธุรกิจในโรงเรียนอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ครูไม่ต้องทำหน้าที่นี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ฝึกอบรมจากโครงการดังกล่าวเข้าไปทำหน้าที่นี้แทน
"งบประมาณที่ทำ เป็นไปตามกรอบกฎหมาย เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ยอมรับว่างบที่จัดลงไป ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่อยากจัดงบสนับสนุน แต่ต้องรอเวลาก่อน" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้านนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ชี้แจงว่า กระทรวงคมนาคม ไม่ได้ทอดทิ้งคนชนบท เพราะเรามีการจัดทำโครงการถนนไร้ฝุ่น ส่วนโครงการรถเมล์เอ็นจีวี ตนไม่ใช่คนริเริ่ม แต่เมื่อรับผิดชอบ ขสมก.ซึ่งมีหนี้ 6หมื่นล้านบาท ทำให้ตนต้องเข้ามาอุดหนี้ว่าจะทำอย่างไรให้คนกทม.ได้ขึ้นรถในราคาประหยัด และตรงต่อเวลามากที่สุด รัฐบาลชุดนี้เข้ามาปรับปรุงให้ดีขึ้น หากสภาพัฒน์ตัดสินใจอย่างไร ตนไม่มีปัญหา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ในช่วงที่มีการหดตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวาเศรษฐกิจของโลกที่ตกต่ำ แต่คาดว่าช่วงที่เหลือของปี 52 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้น และสามารถกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสสุดท้าย ส่วนในปี 53 คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ2.0 ถึง 3.0 อัตราเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 0 ถึง1 โดยแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจะมาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ และการส่งออก การระดมทุนจากแหล่งต่างๆ เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555
การชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมาได้ส่งผลในการจัดเก็บรายได้ของรัฐต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น พ.ร.บ.งบประมาณปี 53 จึงเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ 1.350 ล้านล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีก 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งวงเงินงบประมาณดังกล่าว จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 1,436,389.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 84.5 รายจ่ายลงทุน 212,689.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.5 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 50,920.9 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ3
**8 ยุทธศาสตร์นำไทยสู้วิกฤตโลก
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณไว้ 8 ยุทธศาสตร์ คือ 1. การสร้างความเชื่อมั่นและการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ 144,591.4 ล้านบาท 2. การรักษาความมั่นคงของรัฐ 173,192 ล้านบาท 3 .การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต 506,640.2 ล้านบาท 4. การบริหารจัดการเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ 158,707.7 ล้านบาท 5.ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 29,719.4 ล้านบาท 6.ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ 11,960.8 ล้านบาท 7. ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 7,357.7 ล้านบาท และ 8. ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 241,228.3 ล้านบาท
สำหรับรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ 426,602.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.1 ของวงเงินงบประมาณ จำแนกเป็นการบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาในสภาวะฉุกเฉิน และบริหารจัดการเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมาย
**อัดรัฐบาลมั่วตัวเลขโยกงบสนุกมือ
ด้าน ส.ส.ฝ่ายค้านได้อภิปรายตำหนิการจัดงบประมาณปี 53 ว่าไม่เหมาะสมโดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงผูกโยงไปถึงการออก พ.ร.ก. และพ.ร.บ.กู้เงิน ของกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะการเร่งรัดให้พิจารณา 3 วาระรวดของรัฐบาล เมื่อคืนวันที่16 มิ.ย. ที่ผ่านมา
นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีการมั่วตัวเลขในหลายโครงการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งใน พ.ร.บ.กู้เงิน เขียนวงเงินลงทุนไว้ 4.1 หมื่นล้านบาท แต่ก่อนหน้านี้ ครม.อนุมัติไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมา 5 พันล้านบาท ยิ่งทำให้สงสัยถึงการประชุมครม.นัดพิเศษ ที่อนุมัติงบให้กระทรวงท่องเที่ยว 2 พันล้านบาท และให้มหาดไทยอีกเกือบ 2 พันล้านบาท ว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของโครงการรถไฟฟ้าหรือไม่ หากดูการจัดทำงบประมาณรายจ่ายจะเห็นว่า ไม่เพียงการกู้แค่ 8 แสนล้านบาทเท่าที่มีเท่านั้น แต่ยังมีตัวเลขการกู้เงินเพื่อนำมาปิดปีงบประมาณ 53 อีก 3.5 แสนล้านบาท เพราะงบประมาณปี 53 เป็นงบขาดดุล
"ดังนั้นเมื่อดูจากตัวเลขเงินกู้ของรัฐบาลนี้ เมื่อรวมตัวเลขแล้วสูงถึง1.6 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลหาเงินไม่เป็น เป็นแต่การกู้ ดังนั้น ขอเรียกว่ารัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลที่กู้จนแขกหนี เพราะกลัวว่ารัฐบาลจะไปกู้เขาอีก"
**"มาร์ค"มั่นใจทุกโครงการแจงที่มาได้
ด้านนายอภิสิทธิ์ ลุกชี้แจงทันทีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน (16มิ.ย.) รัฐบาลไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องพิจารณา พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ 3วาระ เพราะตั้งใจจะให้กรรมาธิการร่วมตรวจสอบและพิจารณา แต่เมื่อฝ่ายค้านยืนยันไม่ร่วมเป็นกรรมาธิการ รัฐบาลก็จึงตั้งกรรมาธิการเต็มสภาฯ
ส่วนข้อกล่าวหาตัวเลขมั่วนั้น ยืนยันว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของทุกประเทศผันผวนตลอด วงเงินที่จะใช้ทำงานต้องปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม และต้องมีการเผื่อเงินเอาไว้ในการสร้างงานสร้างอาชีพ ต้องมีโครงการสำรองที่เพิ่มเข้ามา จึงแล้วแต่ว่าจะเอายอดส่วนไหนไปดู แต่ทุกโครงการต้องสามารถอธิบายได้
**ไม่ควรเพิ่มวงเงินรถไฟฟ้าสายสีม่วง
ส่วนกรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วงนี้ ตนได้พบกับ รมว.คมนาคม และได้ให้นโยบายชัดเจนว่า ไม่สมควรจะเพิ่มกรอบวงเงิน เมื่อขั้นตอนเสร็จสิ้นในส่วนแรกต้องอยู่ภายใต้กรอบ 3.6หมื่นล้านบาท และครม.ก็ยังไม่ได้พิจารณาวงเงินนี้ สำหรับการเพิ่มโครงการในกรอบการใช้จ่ายเงินใน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 เรื่องเพราะเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการเพิ่มศูนย์เด็กเล็ก และเป็นเรื่องปกติ หากเศรษฐกิจไม่ดีเราก็ต้องกู้
"ผมยืนยันได้ว่า โครงการที่อนุมัติจากครม. คำนึงถึงความจำเป็นในการพัฒนาบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่มีโครงการใดที่จะอนุมัติโดยหวังผลทางการเมือง หรือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคร่วมรัฐบาล และการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการ ถือเป็นสิ่งปกติที่รัฐบาลต้องทำในสถานการณ์ภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็ต้องกู้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช หรือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องกู้ทั้งนั้น แต่สำหรับรัฐบาลนี้ เรากู้มาเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเป็นหลัก" นายอภิสิทธิ์กล่าว
**"เหลิม"อัดรัฐบาลฝึกงาน
ต่อมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า รัฐบาลจัดงบประมาณแบบเพ้อฝัน เพราะจัดงบน้อยกว่าประมาณการถึง 2 แสนล้านบาท ทั้งที่ควรจะทำงบลงทุนให้มาก แต่กลับจัดงบรายจ่ายประจำมากกว่า ถือว่าบริหารบ้านเมืองไม่เป็น ปัญญาทึบ 2 มาตรฐาน เป็นรัฐบาลฝึกงาน ในการจัดสรรงบประมาณ และการจัดเก็บงบไม่เข้าเป้าเพราะไม่มีความศรัทธาจากประชาชน ไม่ควรมั่วเอานโยบายเรียนฟรีมาอ้างว่าเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนเช็ค 2,000บาท นั้นก็มีคนไม่มารับ 604,633 คน คิดเป็นเงินที่ยังค้างถึง 1,208 ล้านบาท แล้วเงินส่วนนี้ถูกนำไปไว้ที่ไหน นำไปใช้อะไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงปัญหาเช่ารถเมล์เอนจีวี 4,000 คัน ที่ ครม.โยนให้สภาพัฒน์ไปศึกษาว่า จะเช่าหรือซื้อ อยากรู้ว่านายกฯ คิดได้อย่างไร เพราะหากกล้าจริงควรตรวจสอบเรื่องการทุจริต ไม่ใช่ศึกษาว่าจะซื้อหรือเช่า เพราะสมัยตนเป็นรมว.คลัง ก็เป็นผู้คัดค้าน เพราะเห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากล เชื่อว่าหากเรื่องนี้ไม่ได้รับการอนุมัติ ต่อให้เอาปืนใหญ่ไปจี้หัวก็ไม่มีพรรคการเมืองไหนยอมถอนตัวจากรัฐบาลแน่
"อยากให้เอาให้ชัดไปเลยว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จะสร้างรถไฟฟ้าสายนั้นสายนี้ หรือจะเอารถเมล์เอ็นจีวีด้วย แต่คนอีสานทั้ง19จังหวัดไม่ได้อะไรเลย จะได้ไปวัดกันในการเลือกตั้งเลย ถ้านายกฯ เห็นว่าโครงการรถเมล์ไม่ทุจริต ก็ควรรีบอนุมัติให้เขาไป ต้นปีหน้าคงได้เจอพวกผมตามทุบเรื่องนี้แน่" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
**"มาร์ค"ตอก"เหลิม"แค่พื้นๆ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงทันทีว่า สิ่งที่ร.ต.อ.เฉลิมพูดไป ไม่ได้มีการเสนออะไรที่ชัดเจน แต่เป็นการอภิปรายทั่วไป ที่บอกว่านโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการจัดงบประมาณและการเก็บภาษีไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ไม่เป็นความจริง ไม่ว่าตำราเศรษฐศาสตร์ฉบับไหนก็ระบุเหมือนกันว่า การเพิ่มงบประมาณ และการเพิ่มภาษี ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกัน และที่กล่าวหาว่าโครงการเรียนฟรี 15 ปีไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ไม่ใช่ เพราะนโยบายเรียนฟรี เจตนารมณ์ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดยรัฐบาลใส่เงินสดเข้าไป สามารถไปตรวจได้ว่า ช่วงเดือนเม.ย. ที่ผ่านมามีเงินที่ถูกนำมาใช้หมุนเวียนจำนวนมาก
ส่วนเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี ที่ยื่นสภาพัฒน์ฯไปนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ส่งให้ศึกษาว่าทุจริตหรือไม่ แต่ให้ไปดูว่าควรจะมีการปฏิรูประบบรถเมล์อย่างไร ถ้ารัฐบาลส่งเรื่องให้สภาพัฒน์ดูว่ามีการทุจริตหรือไม่ คงเป็นเรื่องแปลก เพราะองค์กรเดียวที่จะบอกว่ามีการทุจริตหรือไม่คือ ป.ป.ช.
นายอภิสิทธ์ ยอมรับว่าโครงการต้นกล้าอาชีพในช่วงเดือนแรกๆ อาจจะต่ำกว่าเป้า แต่ระยังหลังมีผู้ที่ตกงานมาร่วมงานมากขึ้น และขณะนี้ ครม.ได้อนุมัติจ้างพนักงานธุรกิจในโรงเรียนอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ครูไม่ต้องทำหน้าที่นี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ฝึกอบรมจากโครงการดังกล่าวเข้าไปทำหน้าที่นี้แทน
"งบประมาณที่ทำ เป็นไปตามกรอบกฎหมาย เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ยอมรับว่างบที่จัดลงไป ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่อยากจัดงบสนับสนุน แต่ต้องรอเวลาก่อน" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้านนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ชี้แจงว่า กระทรวงคมนาคม ไม่ได้ทอดทิ้งคนชนบท เพราะเรามีการจัดทำโครงการถนนไร้ฝุ่น ส่วนโครงการรถเมล์เอ็นจีวี ตนไม่ใช่คนริเริ่ม แต่เมื่อรับผิดชอบ ขสมก.ซึ่งมีหนี้ 6หมื่นล้านบาท ทำให้ตนต้องเข้ามาอุดหนี้ว่าจะทำอย่างไรให้คนกทม.ได้ขึ้นรถในราคาประหยัด และตรงต่อเวลามากที่สุด รัฐบาลชุดนี้เข้ามาปรับปรุงให้ดีขึ้น หากสภาพัฒน์ตัดสินใจอย่างไร ตนไม่มีปัญหา