xs
xsm
sm
md
lg

สัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัวชงมาร์คกดปุ่มไทยเข้มแข็ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – “กรณ์” มั่นใจเศรษฐกิจฟื้นแน่หลังมีสัญญาณบวกในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลดีจัดเก็บรายได้ปีหน้าได้ตามเป้า 1.35 ล้านล้านบาท ยันนโยบายชัดเจนจะปรับลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 25% แต่ต้องรอหลังปี 58 ที่งบประมาณกลับเข้าสู่สมดุล ขณะที่ผู้แทนการค้าระบุศก.กำลังฟื้นตัว V Shape ด้านกระทรวงการคลังเตรียมเปิดตัวโครงการไทยเข็มแข็ง 4 ก.ย.นี้

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังเปิดเผยภายหลังเป็นประธานทำบุญครบรอบ 94 ปี กรมสรรพากรว่า ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมามีสัญญาณที่เป็นบวก ทำให้การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2552 ต่ำกว่าประมาณการเพียง 1.7 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเกือบ 3 แสนล้านบาท แสดงว่า ฐานะการคลังด้านการจัดเก็บรายได้ปรับตัวดีขึ้น และเชื่อว่าภาวะ การจัดเก็บรายได้จะเข้าสู่ภาวะปกติตั้งแต่ปลายปีนี้ และมั่นใจว่าในงบประมาณปี 2553 จะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมาย 1.35 ล้านล้านบาท

โดยการจัดเก็บรายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลมาจากกรมสรรพากร ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินหลายแสนล้านบาท ถือว่าเป็นเม็ดเงินงบประมาณที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนทุกนโยบายของรัฐบาลและทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่า การจัดเก็บรายได้จะขึ้นกับภาพรวมเศรษฐกิจด้วย และช่วงที่ผ่านมาจะเห็นสัญญาณการจัดเก็บรายได้จากกรมจัดเก็บทั้ง สรรพากร สรรพสามิตและศุลกากร รวมทั้งรายได้จากรัฐวิสาหกิจ เชื่อว่าจะสามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย ซึ่งการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ได้ชี้แจงให้สภาทราบว่าจะสามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย

“ส่วนแนวทางการปรับโครงสร้างหน่วยจัดเก็บรายได้ให้เป็นหน่วยบริการประชาชนนั้นตั้งใจพัฒนากรมจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลให้เป็นหน่วยบริการประชาชนอยู่แล้ว โดยเฉพาะกรมศุลกากร ที่จะต้องปรับบทบาทมาให้เป็นผู้บริการ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการที่มีหน้าที่เสียภาษี ขณะที่หน่วยงานเองต้องแสดงถึงการเป็นมืออาชีพ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภาษี เพื่อนำไปสู่การเป็นหน่วยบริการประชาชน จากที่จัดเก็บภาษีในปัจจุบัน” นายกรณ์กล่าว

***ลดภาษีนิติฯ รอจังหวะเหมาะสม
นายกรณ์กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับลดภาษีนิติบุคคลว่า เป็นเป้าหมายของรัฐบาลตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งแล้วว่า จะปรับลดภาษีนิติบุคคลลงจากเดิม โดยเคยส่งสัญญาณว่า อัตราที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 25% แต่ขึ้นกับสถานการณ์เงื่อนไขและเวลาที่เหมาะสม เพราะหากจะลดภาษีลง จะต้องไม่ส่งผลเชิงลบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล เพราะเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล 1.35 ล้านล้านบาทนั้นยังไม่เพียงพอที่จะใช้ตามนโยบายต่างๆรัฐบาลของรัฐบาล ขณะที่รายจ่ายยังสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท ทำให้ขาดดุลงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง

“การประมาณการรายได้ 1.35 ล้านล้านบาทในปีงบประมาณ 2553 นั้นไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามมาตรการรัฐบาลในการดูแลประชาชน แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น โดยเห็นได้ชัดจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องหลายปี ต้องรอให้กลับเข้าสู่สมดุลก่อน ซึ่งคาดว่าในปีงบประมาณ 2558 งบประมาณจะกลับเข้าสู่สมดุลได้ หลังจากนั้นจึงจะมาพิจารณาให้รอบคอบว่า อัตราภาษีใดที่เหมาสมกับการแข่งขันของผู้ประกอบการและไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลด้วย”นายกรณ์กล่าว

***ยันไม่บี้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย
ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จำเป็นต้องปรับลดอกเบี้ยนโยบายลงหรือไม่ เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อกลับไปอยู่ในเป้าหมาย หลังจากจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติอนุมัติกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 0.5-3% นายกรณ์กล่าวว่า ไม่ต้องการชี้นำ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แต่กรอบเงินเฟ้อใหม่นั้น ก็เป็นข้อเสนอของธปท.เอง และเสนอมาตั้งแต่ต้นปี จึงเป็นหน้าที่ของธปท.ที่จะต้องทำให้ได้ตามเป้าหมาย เพราะเมื่อวันที่ 1 กันยายน ครม.เพียงอนุมัติตามที่เสนอมาเท่านั้น

นายกรณ์กล่าวถึงความคืบหน้าในการอนุมัติการขายหุ้นธนาคาร นครหลวงไทย จำกัด(มหาชน)ว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบัน(เอฟไอดีเอ)สามารถดำเนินการได้เอง ตามแนวทางที่เคยหารือกันไว้ว่า แนวทางไหนที่เป็นประโยชน์และดีที่สุด โดยไม่ต้องรอหนังสืออย่างเป็นทางการจากกระทรวงการคลัง เพราะเป็นหน้าที่โดยตรง และกระทรวงการคลังเองก็พร้อมที่จะสนับสนุนแนวทางที่เอฟไอดีเอฟเลือกอยู่แล้ว

***ผู้แทนการค้าเชื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว V
นายเกียรติ สิทธีอมร ผู้แทนการค้าไทย กล่าวถึงการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเป็นรูปตัววี ว่า ถ้าถามว่าเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปหรือยังก็ต้องตอบว่าสัญญาณชี้ไปอย่างนั้น แต่ยังมีความเสียงอีกมากเช่น ความผันผวนของราคาน้ำมัน อาหาร พืชผลทางการเกษตร ซึ่งความผันวนเหล่านี้มีทั้งข้อดีข้อเสียสำหรับประเทศไทย แต่ถามว่าจะกลับไปเติบโตเหมือนก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่ ตนไม่เชื่อว่าจะเติบโตขนาดนั้นเพราะทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทรัพย์สินที่เป็นหนี้เสียในอเมริกาสูงถึง4ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยตอนที่ประเทศไทยแก้ไขปัญหานี้ใช้เวลาเป็น10ปี ขณะที่ประเทศไทยไม่ได้มีหนี้เสียมากมายเท่ากับสหรัฐฯดังนั้นจะต้องใช้เวลามากทีเดียวกว่าจะทำให้ระบบเศรษฐกิจขยับขึ้นมา

“แต่ในอีก 10ปีข้างหน้าการเจริญเติบโตของภูมิภาคเอเชียจะโตเร็วที่สุดในโลก ประเทศไทยก็อยู่ในจุดทีได้เปรียบ ซึ่งประเทศไทยจะเติบโตได้แค่ไหนก็อยู่ที่ฝีมือแล้วทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจะขึ้นเป็นรูปตัววีคงเป็นไปไม่ได้ แต่จะเป็นตัววีแบบแบะๆคือจะเติบโตแต่ไม่หวือหวา โดยไม่ใช่ขึ้นเป็นตัววีพรวดเลย แต่จะขึ้นแล้วเอนเพราะเวลาเกิดวิกฤติไม่รู้ว่ากระทบเยอะแค่ไหน และทุกคนก็อนุรักษ์นิยมคือถอยและหยุดหมด แล้วนั่งดู ดังนั้นจุดที่เป็นก้นของตัววีมันผ่านไปแล้ว แต่จะกลับมาโตขึ้นเครื่องยนต์ต้องเต็มสูบ แต่ผมบอกว่าเครื่องยนต์มันจะเต็มสูบไม่ได้เพราะหนี้ในระบบของสหรัฐฯมีมหาศาล โชคดีที่ประเทศไทยไม่มี แต่อย่าลืมว่าสหรัฐฯก็เป็นตลาดสำคัญของไทย”นายเกรียติ กล่าว

ผู้แทนการค้าไทย กล่าวด้วยว่า ถ้าเรามองมิติเล็กๆก็จะเห็นเป็นตัววี แต่ถ้าลากยาวดูแบบขยายอาจะไม่ใช่ตัววี แต่ถ้าเอสพี 2 เดินหหน้าก็จะกระตุ้นการจ้างงาน 1.5-2 ล้านคน เฟสหน้าเราต้องการตัวเล่นใหม่ทั้งเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ การค้าชายแดนที่จะต้องปลดล็อกอะไรหลายอย่าง โครงการขนส่งมวลชน เป็นต้น

***นายกกดปุ่มเปิดตัวไทยเข้มแข็ง 4 ก.ย.
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า วันที่ 4 ก.ย.นี้ กระทรวงการคลังจะจัดงานและเปิดตัวโครงการตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 อย่างเป็นทางการที่ อาคารอิมแพค คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เมืองทองธานี โดยนายกรัฐมนตรีจะเดินทางเข้าร่วมเป็นประธานในการปิดงาน

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนภายใต้แผนดังกล่าวทั้งหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ผู้แทนจากภาคเอกชนกว่าพันคนเข้าร่วมรับฟังข้อมูลและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรวงเงินกู้ตามพ.ร.ก.ในรอบแรก 2 แสนล้านบาท ให้เริ่มดำเนินงานได้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งกระทรวงการคลังจะถือโอกาสเปิดตัวเว็บไซด์ www.TKK2555.com ด้วย

***โชว์แผน 4 กระทรวงเพิ่มคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้จะเปิดตัวโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จาก 4 กระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบสูงสุด คือ 1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับจัดสรร 48,078 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนโครงการจัดหาแหล่งน้ำและบริหารจัดการน้ำเพื่อชลประทาน 2.กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน 45,389 ล้านบาทเช่นใช้ในโครงการก่อสร้างและปรับปรุงสถานศึกษาทั่วประเทศ 5,467 ล้านบาทและยกระดับคุณภาพครูทั้งระบบ 7,949 ล้านบาท 3.กระทรวงคมนาคม 39,900 ล้านบาท เช่น โครงการถนนไร้ฝุ่น 14,821 ล้านบาท และโครงการบำรุงรักษาทางหลวง 14,034 ล้านบาท 4. กระทรวงสาธารณะสุข ได้รับวงเงิน 11,515 ล้านบาท เช่น โครงการพัฒนาและปรับปรุงสถานีอนามัย วงเงิน 1,534 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนการปฎิบัติงานของเครือข่ายบริการด้านสาธารณะสุขทุกระดับวงเงิน 3,888 ล้านบาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังมั่นใจว่าโครงการลงทุนภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง ในสาขาต่างๆ จะเริ่มดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่เดือนก.ย. นี้เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการจ้างงานภายในประเทศ

***บัญชีกลางเร่งเบิกจ่ายดันศก.ฟื้น
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้รับมอบหมายนโยบายเกี่ยวกับการเบิกจ่ายและกระบวนการต่าง ๆ ในการใช้จ่ายงบประมาณ โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งจะเริ่มใช้ในต้นปีงบประมาณ 53 นี้ โดยที่ผ่านมาได้เสนอแนวทางเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันอังคารที่ 28 ก.ค.52 โดยลดทั้งขั้นตอนและระยะเวลา

ซึ่งเดิมจะต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการถึง 85 วัน แต่หลักเกณฑ์ที่กำหนดใหม่นี้สามารถลดระยะเวลาการจัดซื้อจัดจ้างเหลือเพียง 28 วันเท่านั้น ได้ลดขั้นตอนอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 ในส่วนของการตั้งคณะกรรมการร่าง TOR และเอกสารประกวดราคาเพื่อประกาศทางเว็บไซด์ ลดเวลาได้ 14 วัน ช่วงที่ 2 การอุทธรณ์ผลการพิจารณาคัดเลือกผู้เสนอราคาลดได้ 10 วัน สามารถดำเนินการประมูล ในระบบต่อไปได้เลยไม่ต้องรอผลการพิจารณาการอุทธรณ์ และช่วงที่ 3 คือ การอุทธรณ์ผลการเสนอราคา ระหว่างที่มียื่นอุทธรณ์ ตามระเบียบฯ ปี 49 สามารถลดเวลาได้ 33 วัน ซึ่งทั้ง 3 ช่วงดังกล่าวลดเวลาไปได้ถึง 57 วัน เหลือเวลาดำเนินการเพียง 28 วัน เท่านั้น ซึ่งจะทำให้มีการใช้จ่ายงบในโครงการไทยเข้มแข็งได้รวดเร็วขึ้น

นอกจากนี้ยังได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของการเบิกจ่ายงบไทยเข้มแข็งเช่นเดียวกัน โดยกรมบัญชีกลางกำหนดเชิญประชุมหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามแผนภายใต้โครงการปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ในวันที่ 8 ก.ย.นี้ ณ โรงแรมรามาการ์เดน เวลา 09.00 น. – 16.00 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น