xs
xsm
sm
md
lg

กรณ์ยกปัจจัยศก.รุมเร้าต้องกู้ ลั่นพ.ร.ก.ไม่ผ่านเจ๊งหนัก-ศาลนัดชี้3มิ.ย.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้าน ชอบหรือไม่ ศาล รธน.นัดชี้ขาด 3 มิ.ย. รมว.คลังร่ายยาววิกฤตจากเศรษฐกิจโลก-การเมืองไทยกดดัน ส่งออกหดตัวลงท่องเที่ยวทรุดว่างงานเพิ่ม รัฐบาลพยายามใช้มาตรการทางภาษีและอัดฉีดสภาพคล่องเกษตรกร แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ดีขึ้น แถมถูกขัดขวางการจัดประชุมอาเซียนทำให้จีดีพีหดตัว ใช้งบเพิ่มก็ติดข้อกฎหมาย ต้องกู้ด่วน แจงถ้าออก พ.ร.ก.ไม่ได้ เศรษฐกิจจะเสียหายหนักกว่านี้ ด้านฝ่ายอ้างรัฐบาลมีวาระซ่อนเร้น ไม่มีความจำเป็นต้องกู้จริง

วานนี้ (26 พ.ค.) คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ เพื่อรับฟังคำชี้แจงกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของ ส.ส. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 กรณีพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา184 วรรค 1 หรือวรรค 2 หรือไม่ โดยตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เดินทางมารอเข้าชี้แจงตั้งแต่ช่วงเช้า ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระราชวัง และ การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงประมาณ 10 คน ที่มาปราศรัยโจมตีการจะออก พ.ร.ก.กู้เงิน ครั้งนี้ของรัฐบาล

ในการชี้แจงทั้ง 2 ฝ่าย ต่างนำเสนอข้อมูลหักล้างกันในประเด็นว่า การตรา พ.ร.ก. ดังกล่าวของคณะรัฐมนตรี เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน อันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้หรือไม่

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ในฐานะตัวแทนรัฐบาลชี้แจงว่า ขณะนี้ประเทศประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากรับผลกระทบเศรษฐกิจโลก และวิกฤตการเมืองตั้งแต่ปลายปี 51 มูลค่าการส่งออกหดตัวลง รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง ธุรกิจปิดกิจการและการว่างงานเพิ่มขึ้น หนี้เสียก็เพิ่มขึ้น ทำให้จีดีพีจากเดิม 3 ไตรมาสแรกของปี 51 บวกร้อยละ 5.1 แต่พอไตรมาสที่ 4 กลับหดตัวลงร้อยละ 4.2 และในไตรมาสแรกของปี 52 ก็หดตัวลงถึงร้อยละ 7.1

ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องดำเนินมาตรการแก้เศรษฐกิจทั้งช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ การใช้มาตรการทางภาษี การช่วยสภาพคล่องทางการเงินของภาคการผลิต ช่วยเกษตรกรฐานราก ลดภาระค่าใช้จ่าย ทำงบประมาณปี 52 เพิ่มเติม 1.16 แสนล้าน แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ดีขึ้น ซ้ำยังมามีปัญหาจากการไม่สามารถจัดประชุมอาเซียน และผลกระทบจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ทำให้จีดีพีหดตัวลงร้อยละ 5.1 รัฐบาลจึงมีมาตรการไทยเข้มแข็งปี 52-55 โดยเน้นการลงทุน เพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจ คิดเป็นวงเงิน1.43 ล้านล้าน และคาดว่าจะเกิดการจ้างงาน 4-5 แสนคน

นายกรณ์กล่าวว่า การนำงบประมาณมาใช้ก็มีข้อจำกัดในส่วนของกฎหมาย จึงต้องมีการตรากฎหมายพิเศษขึ้นมา โดยจะออกพ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้าน และออกเป็นพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มอีก 4 แสนล้าน ทั้งนี้เป็นไปเพื่อการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ควรกู้เงินมาฟื้นฟู มิให้สภาพเศรษฐกิจตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่ โดยเงินที่กู้มาจะมาสมทบเงินคงคลังและใช้จ่ายในโครงการบริการสาธารณะ อีกทั้งการจัดเก็บรายได้ก็ยังไม่เป็นไปตามเป้า รัฐบาลขาดดุลการคลังสูงกว่ากรอบเพดานเงินกู้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยการขาดดุลปี 52 อยู่ 3.5 แสนล้าน และมีกรอบเงินกู้อยู่ที่ 4.4 แสนล้าน แต่คาดว่ารายได้จากการจัดเก็บจะอยู่ที่ 2.8 แสนล้าน ดังนั้นการขาดดุลงบประมาณทั้งหมดจะอยูที่ 6.5 แสนล้าน ซึ่งถือว่าเกินกรอบเงินที่จะกู้มาอยู่ 2 แสนล้าน

“การลงทุนภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งที่จะเบิกจ่ายตั้งแต่ปี 52-53 ยังขาดอีกประมาณ 2.3 แสนล้าน ดังนั้นเราต้องมีอำนาจกู้เงินด่วนเพื่อดำเนินโครงการ หากไม่รีบเศรษฐกิจจะหนักกว่านี้ ผู้ประกอบการจะขาดทุน สายป่านจะขาด เกิดการลดการผลิต ลดการจ้างงาน และปิดกิจการ เป็นปัญหาสังคม และยังจะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นส่งผลต่อปัญหาของประเทศ และการแก้ยากกว่าการป้องกันไม่ให้เกิด การใช้จ่ายภาครัฐจึงมีความจำเป็น การขึ้นภาษี หรือการขายทรัพย์สินของรัฐไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม เราจึงต้องดำเนินการก่อนที่ปัญหาเศรษฐกิจจะลุกลามใหญ่โตไปสู่ภาคอื่นๆ และการชะลอการลงทุน กลับจะเป็นการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ และหากจะออกพ.ร.ก.แก้ไขเพดานหนี้สาธารณะก็จะส่งผลให้เสียวินัยการเงินอย่างถาวร”

พร้อมยืนยันว่าการออกพ.ร.ก.ครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 และพ.ร.บวิธีพิจารณางบประมาณมาตรา 23 วรรคหนึ่งและมาตรา 24 วรรคหนึ่ง นอกจากนี้เรามีนโยบายกู้เงินในประเทศอีก 9.4 หมื่นล้าน จึงไม่เข้าข่ายการทำสัญญากับต่างประเทศที่ต้องรายงานสภาตามมาตรา 190

ด้านฝ่ายค้านในฐานะผู้ร้อง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า การกู้เงิน 4 แสนล้าน ก็เกินความจำเป็น เพราะนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง และอธิบดีกรมบัญชีกลาง g8pออกมาให้สัมภาษณ์ ว่า สภาพคล่องของประเทศยังดีอยู่ รอได้ถึงสิ้นปีงบประมาณแล้วค่อยกู้ก็ได้

นอกจากนี้โครงการไทยเข้มแข็งปี2555 ที่รัฐอ้างว่าการกู้เงิน 4 แสนล้าน เป็นความเร่งรีบในระยะที่ 1 แต่ถ้าตรวจสอบแล้ว จะเห็นว่าเป็นความเร่งรีบระยะที่ 2 โดยเงินดังกล่าวจะนำมาลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ 1.43 แสนล้าน และโครงการจะเริ่มตั้งแต่ปี 53-55 จึงเกิดคำถามว่า แล้วทำไมจึงต้องมาเร่งกู้ในปี 52 อีกทั้งโครงการก็ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้ากระตุ้นจริงต้องใช้เงินลงทุนปี 52 อย่างโครงการสาธารณะที่รัฐบาลระบุไว้ เช่นโครงการปลูกต้นไม้ บ้านพักให้ข้าราชการ ก็ไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการสาธารณะเลย

การออก พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้าน จึงเป็นเพียงความต้องการที่จะเอามาปิดหีบงบประมาณ 52 ที่ขาดอยู่ 1.11 แสนล้าน ส่วนอีก 2.88 แสนล้านเป็นการเอาไปลงทุน แล้วที่รัฐอ้างว่า ต้องเร่งกู้ มิเช่นนั้นจะเกิดการตกงานจำนวนมาก แต่รัฐก็ไม่ได้ระบุว่า จะมีการจ้างงานจำนวนเท่าใด

"นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ให้มองในทางร้ายที่สุดว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้ไม่ผ่านก็ยังมีวิธีการอีกหลายวิธี แสดงว่ารัฐบาลยังมีทางออกอื่นในการดำเนินการ เช่น แก้กฎหมายต่างๆ อาทิ พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มเพดานเงินกู้ หรือแก้ไขเพิ่มเติมงบประมาณปี 52 เป็นครั้งที่ 2 ก็ได้ จึงอยากให้คณะตุลาการฯ ช่วยพิจารณาว่า รัฐบาลมีความจำเป็น เร่งด่วนจริงหรือไม่ อีกทั้งจากที่ตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการในโครงการแผนงาน ๆ ต่างที่รัฐบาลเสนอ ก็มีวาระซ่อนเร้นอยู่ ไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์จากเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณ จึงคิดว่าการกู้เงินครั้งนี้ควรมีการออกเป็นพระราชบัญญัติ ที่ผ่านสภา เพื่อที่จะได้มีการตรวจสอบไม่ให้เกิดการทุจริต ใช้เงินผิดประเภท เพราะการออกเป็น พ.ร.ก. นั้นจะทำให้สูญเสียวินัยในการบริหารเงินโดยฝ่ายค้านพร้อมให้การสนับสนุนด้วยการผ่าน 3 วาระรวด ถ้ารัฐบาลสามารถชี้ให้เห็นว่าการกู้เงินนี้จะเป็นประโยชน์จริง”

อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้าชี้แจง นายสุรพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า คิดว่าฝ่ายค้านคงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ชี้แจง เพราะเท่าที่ฟังจากการพูดของนายกฯ และนายกรณ์ ดูมั่นใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไฟเขียวให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.ได้ แต่ก็อยากชี้แจงให้ตุลาการทราบข้อเท็จจริงต่างๆ ที่รัฐบาลซ่อนเร้นอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการทั้ง 2 ฝ่ายใช้เวลาในการชี้แจงรวมประมาณ 40 นาที โดยไม่มีการซักถามจากคณะตุลาการ จากนั้นนายบุญส่ง ก็อ่านกระบวนวิธีพิจารณา พร้อมกับนัดคู่กรณีให้ส่งคำแถลงปิดคดีมาภายในวันที่ 3 มิ.ย. ก่อนที่คณะตุลาการ จะแถลงด้วยวาจาและลงมติในวันเดียวกันเวลา 10.00 น.

***อัดอย่าเล่นการเมืองแบบเห็นแก่ได้

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยก็ยังเดินเกมต่อโดยการอ้างว่าจะ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนออกมาว่า ขัดต่อมาตรา 184 ก็จะยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ถือเป็นสิทธิของพรรคเพื่อไทยที่สามารถทำได้ ตามมาตรา 271 ต่อนายกรัฐมนตรีและ ครม. แต่ตนคิดว่า หากในวันที่ 3 มิ.ย. หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดออกมาว่า ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็อยากถามว่าพรรคเพื่อไทย จะรับผิดชอบอย่างไร เพราะไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยเล่นการเมืองแบบเอาแต่ได้เพียงฝ่ายเดียว เพราะขณะนี้ความล่าช้าของการออก พ.ร.ก.ได้ขัดขวางการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมาก ถ้าผลตัดสินในกรณีนี้ออกมาอย่างไร ก็ขอให้มีคนออกมารับผิดชอบความเสียหายจากผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากความล่าช้า

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีมาตรการดำเนินการกับทางพรรคเพื่อไทยอย่างไร หากศาลวินิจฉัยว่า การออกพ.ร.ก.กู้เงินของรัฐบาลไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ นายเทพไท ตอบว่า เรื่องนี้ไม่มีมาตรการทางกฎหมายแต่เป็นมาตรการทางสังคมว่า สังคมจะลงโทษคนพวกนี้อย่างไร นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของจิตสำนึกของนักการเมืองแต่ละคน ว่าจะมีความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่ตัวเองก่อขึ้นไว้กับสังคมโดยรวมอย่างไร เพราะคนเหล่านี้ชอบอ้างว่าทำเพื่อประชาชน ท้ายที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น