ASTV ผู้จัดการรายวัน - ตะลึง! อลังการรีสอร์ตไม้สักทองมูลค่านับร้อยล้านบาทย่านบางพลี “2 ตำรวจหญิงลูกสาวพัชรวาท” เป็นเจ้าของ ส่อเค้านิติกรรมอำพราง เปิดให้เช่าปีละ 3 แสน คนธรรมดาหมดสิทธิ์ ให้เหยียบได้เฉพาะสีกากีชั้นผู้กำกับ เปิดที่มาที่ดิน 12 ไร่ ซับซ้อนซ่อนเงื่อน รอ ป.ป.ช.แกะรอย
คลิกจอภาพ เพื่อรับชม
แม้วันนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะยังเหนียวแน่นในเก้าอี้ ผบ.ตร. ทั้งที่มีชนักติดหลังหลายต่อหลายเรื่องทั้งกรณีการถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีอาจเป็นผู้สั่งการให้ตำรวจเข้าทำการสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หน้ารัฐสภาและกองบัญชาการตำรวจนครบาลเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 หรือตุลาทมิฬ, ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีบริหารงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่องงบประชาสัมพันธ์ 18 ล้านบาทไม่โปร่งใสเมื่อครั้งเป็นรอง ผบ.ตร.
ขณะเดียวกันก็ยังพบว่า สตช.ในยุคที่มี พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นผู้นำสูงสุดของตำรวจทั่วประเทศเกือบ 3 แสนคน ถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำที่สุดยุคหนึ่งของวงการตำรวจที่ไม่เพียงแต่ ผบ.ตร.จะมีปัญหาในเรื่องการทำงานอย่างสองกรณีที่ยกมาข้างต้น ในส่วนการทำหน้าที่ ผบ.ตร.ของ พล.อ.พัชรวาท ก็ถูกวิจารณ์อย่างมากว่าหย่อนยานไร้ประสิทธิภาพ เห็นได้จากการไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้ โดยเฉพาะการปล่อยให้คนเสื้อแดงบุกเข้าไปในโรงแรมสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา
ทั้งที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็บัญชาการควบคุมพื้นที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว แต่ พล.อ.พัชรวาท กลับไม่มีความสามารถในการแก้ปัญหาและเจรจากับกลุ่มเสื้อแดงจนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ประเทศไทยเสียหายยับเยิน และยังมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้งในช่วงสงกรานต์เลือด แต่ปรากฏว่า พล.ต.อ.พัชรวาท นอกจากไม่แสดงความรับผิดชอบกับความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการด้อยประสิทธิภาพของตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งแล้ว ยังกลับโยนความผิดไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วตัวเองก็นั่งอยู่ในตำแหน่งแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ซึ่งหากว่าไม่ใช่เพราะเขาเป็นน้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ที่มีแบ็กอัพหนุนหลังทั้งกองทัพและพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบแล้ว ป่านนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ต้องถูกเด้งไปนั่งบีบสิวที่สำนักนายกรัฐมนตรีจนถึง 30 กันยายนนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้ พล.ต.อ.พัชรวาท จะเหลือเวลาในเก้าอี้ ผบ.ตร.อีกแค่ 1 เดือน แต่การทำหน้าที่ตรวจสอบและตั้งคำถามกับผู้กุมอำนาจรัฐก็ยังต้องดำเนินต่อไป
และล่าสุดมีประเด็นที่ชวนให้สงสัยถึงที่มาที่ไปของทรัพย์สินของ พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่งทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ ได้รับข้อมูลและส่งคนในพื้นที่ตรวจสอบโดยทันที
กรณีดังกล่าวคือ เรื่องที่มีการพูดถึงกันอย่างหนาหูในวงการสีกากีตอนนี้ว่า พล.ต.อ.พัชรวาทได้วางแผนการใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการด้วยการลงทุนทำธุรกิจรีสอร์ตให้เช่าที่พักย่านบางพลีน้อย อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
แถมยังเป็นรีสอร์ตไม่ธรรมดา เพราะคนที่จะเข้าพักหรือขอเช่ารีสอร์ตแห่งนี้ได้ต้องเป็นเฉพาะพวกเดียวกันกับ พล.ต.อ.พัชรวาท คือต้องเป็นตำรวจเท่านั้น และต้องเป็นระดับผู้กำกับการ (ผกก.) ซึ่งเป็นนายตำรวจชั้นยศที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในสตช.และทุกคนต่างมีเป้าหมายเดียวกันทั้งหมดคือมุ่งหวังจะขอเป็นนายพลให้ได้เพื่อเป็นเกียรติประวัติในชีวิตและวงศ์ตระกูล
จากการตรวจสอบพบว่า สัญญาการเช่าและการเข้าพักรีสอร์ตดังกล่าวมีเรื่องน่าสงสัยไม่น้อย คือ ทำสัญญาเช่ากันเป็นรายปีๆ ละ 3 แสนบาท ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนไม่ใช่น้อยและน่าสงสัยไม่ใช่น้อยว่าใครกันจะมาเช่ารีสอร์ตที่ห่างไกลกรุงเทพฯ และไม่ได้อยู่ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวปีละ 3 แสนบาท
ทำให้ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบรีสอร์ตดังกล่าว ซึ่งก็น่าแปลกใจไม่น้อยที่มีการมาทำที่พักให้เช่าในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมที่มีปัญหาเรื่องมลพิษ ซึ่งไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวและคนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่กลับมีการสร้างรีสอร์ตไม้สักบ้านทรงไทยประยุกต์ในพื้นที่หลายไร่ซึ่งตั้งติดริมถนน อบต.บางพลีน้อย
จากการตรวจสอบกับสำนักงานที่ดินบางพลี พบว่า ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 9 ต.บางพลีน้อย อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 12 ไร่ ซึ่งที่พักหลายแห่งในพื้นที่ดังกล่าวจากการสังเกตพบว่าเป็นบ้านพักไม้สักสไตล์รีสอร์ตทรงไทยประยุกต์ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจากที่ดินบางพลีพบว่าทั้งราคาที่ดินรวมสิ่งปลูกสร้างน่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท มันชวนให้น่าสงสัยอยู่ไม่น้อยกับทรัพย์สินจำนวนมากขนาดนี้ว่าหากรีสอร์ทแห่งนี้เป็นของ พล.ต.อ.พัชรวาท ที่รับราชการมาทั้งชีวิตได้เงินมาได้อย่างไร หรือหากไม่ใช่เงินของ พล.ต.อ.พัชรวาท อย่างที่ร่ำลือกันใน สตช.แต่เป็นของคนใกล้ชิด ผบ.ตร.ก็น่าแกะรอยให้รู้ความจริงว่าแล้วคนใกล้ชิด ผบ.ตร.คนนี้เป็นเจ้าของที่แท้จริงหรือไม่
จากข้อมูลที่ตรวจสอบยังพบว่า ที่ดินทั้งหมดมีการโอนขายกันทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยครั้งแรกพบว่ามีการโอนให้จำนวน 3 ไร่ได้มาจาก พ.ต.อ.พิทักษ์ ศรีแดง ผกก.1 ส.1 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รอง ผกก.1 ส.1 แต่ปัจจุบัน พ.ต.อ.พิทักษ์ เกษียณอายุราชการเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งที่ดิน 3 ไร่ดังกล่าวราคาประเมินที่สำนักงานที่ดินบางพลีและอบต.บางพลีน้อยตีมูลค่าเอาไว้คือไร่ละ 3 ล้านบาท ซื้อขายทั่วไป 1.5-2 ล้านบาท โดยพบว่าชื่อเจ้าของเดิมคือนางดวงพร หรือต้อย ศรีแดง ภรรยา พ.ต.อ.พิทักษ์ ศรีแดง
และเมื่อตรวจสอบต่อไปพบว่า หลังได้รับที่ดินครั้งแรก 3 ไร่ดังกล่าว ต่อมาก็มีการใช้อำนาจสั่งให้ พ.ต.อ.พิทักษ์และภรรยาขายที่ดินให้อีก 6 ไร่ซึ่งตั้งอยู่คนละฟากถนนกับ 3 ไร่แรก แต่ไม่ติดริมถนน โดยที่ดิน 6 ไร่ดังกล่าวมีการบีบขอซื้อในราคาไร่ละ 1 ล้านบาทรวมเป็นเงิน 6 ล้านบาท
ล่าสุดพบว่า เมื่อช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการมาบีบขอซื้อที่ดินกับ พ.ต.อ.พิทักษ์ และภรรยาอีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 เพื่อขอซื้อที่ดินเพิ่มอีก 3 ไร่ แปลงติดถนนฝั่งตรงข้ามกับ 3 ไร่แรก เพื่อจะได้ผืนเดียวกับ 6 ไร่ที่ซื้อมาครั้งแรก โดยแปลงหลัง 3 ไร่นี้ได้ให้นายหน้าทำสัญญาโดยไม่กรอกข้อความใดๆ มาให้นางดวงพร ภรรยา พ.ต.อ.พิทักษ์ลงชื่อ ปรากฏว่านางดวงพรมาทราบภายหลังว่าเป็นการขายให้ในลักษณะถูกฉ้อฉลแต่ทำอะไรไม่ได้จึงเสียที่ดินไป 3 ไร่ซึ่งได้รับเงินเพียง 2 ล้านบาทจากราคาจริงประมาณ 6 ล้านบาท ทำให้นางดวงพรเสียใจอย่างมากแทบจะฆ่าตัวตายเนื่องจากไม่ได้บอกให้ลูกๆ รู้แต่อย่างใด
และจากการสอบถามประชาชนที่อาศัยบริเวณโดยรอบรีสอร์ตดังกล่าวได้รับคำเปิดเผยว่า รีสอร์ตแห่งนี้เริ่มมีการขนสิ่งของ เทปูน ตอกเสาเข็มเพื่อปลูกสร้างรีสอร์ตในพื้นที่ 3 ไร่แรก จนปัจจุบันกลายเป็นบ้านพักสไตล์รีสอร์ตทรงไทยประยุกต์หลายหลังและมีรั้วกำแพงปูนคอนกรีต ด้านหลังติดคลองสาธารณะประตูติดตั้งวงจรปิดและมีการจ้างคนงานกระเหรี่ยงคอยเฝ้าอยู่
เมื่อตรวจสอบเรื่องการยื่นเอกสารเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็พบว่ามีการยื่นขอบ้านเลขที่ 1 หมู่ 9 ต.บางพลีน้อย อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ซึ่งผู้ยื่นก็คือ พัชรา วงษ์สุวรรณ บุตรสาวคนโตของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่มีตำแหน่งทางราชการคือ ร.ต.อ.หญิงพัชรา วงษ์สุวรรณ เภสัชกร สบ 2 กลุ่มงานเภสัชกรรม รพ.ตำรวจ
“ส่วนเนื้อที่ 6 ไร่ที่ซื้อมา 6 ล้านบาท ซึ่งพบว่ามี 3 หุ้นได้ก่อสร้างบ้านพักสไตล์รีสอร์ตทรงไทยประยุกต์จำนวนหลายหลังเช่นกัน ขณะนี้ใกล้เสร็จแล้วอยู่ระหว่างการปรับปรุงตกแต่งภายใน มีการยื่นขอบ้านเลขที่ 9/9 หมู่ 9 ต.บางพลีน้อย อ.บางพลี สมุทรปราการ โดยมีชื่อเจ้าบ้านคือ นวพร วงษ์สุวรรณ” แหล่งข่าวระบุ
และเป็น นวพร วงษ์สุวรรณ อายุ 24 ปี ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกตำรวจชั้นประทวนเข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ กมธ.ตรวจสอบการใช้อำนาจของ พล.ต.อ.พัชรวาท ผู้เป็นบิดาในกรณีพยายามผลักดันให้บุตรสาวที่มียศตำรวจคือ ส.ต.ต.(หญิง) นวพร วงษ์สุวรรณ ผู้บังคับหมู่ฝ่ายการต่างประเทศ 3 กองการต่างประเทศ จากชั้นประทวนขึ้นมาเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ยศ ร.ต.ต.โดยไม่มีการสอบคัดเลือก
ส่วนที่แปลงสุดท้าย 3 ไร่ จากการสังเกตโดยรอบพบว่าอยู่ระหว่างการก่อสร้างเทคานฐานราก หล่อเสา
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้รับการร้องเรียนด้วยว่าในการก่อสร้างรีสอร์ตดังกล่าวได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างมากมีการรุกล้ำเข้าไปตรงแนวเสาไฟฟ้าบนถนนอบต. แต่ทาง อบต.กลับไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ เนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพลสร้างความไม่พอใจกับประชาชนและผู้บริหารท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้รับการร้องเรียนด้วยว่าในการก่อสร้างรีสอร์ตแห่งนี้ได้มีการมอบหมายให้ พ.ต.อ.เกรียงไกร บุญซ้อน ผกก.สภ.คลองเขื่อน ฉะเชิงเทรา นรต.รุ่น 42 และพ.ต.อ.ปราศรัย จิตตสนธิ ผกก.สภ.บางเสาธง สมุทรปราการ นรต.42 อีกคนหนึ่งคอยดูแล ซึ่งทั้งสองเป็นเพื่อนกับ พ.ต.อ.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผกก.ด่านตม.แม่สาย รุ่น 42 ที่ใกล้ชิดกับพล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ ผช.ผบ.ตร. โดยการก่อสร้างจะมีการประสานงานกับแม่เลี้ยงจ.แพร่คนหนึ่งให้เป็นผู้ขนไม้จากภาคเหนือมาในเวลากลางคืน
ประเด็นที่น่าสงสัยและเป็นปริศนารอการชี้แจงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องรีสอร์ตบิ๊กตำรวจแห่งนี้ก็คือ บุตรสาวทั้งสองของ พล.ต.อ.พัชรวาท ทั้ง ร.ต.อ.หญิงพัชรา และ ส.ต.ต.(หญิง) นวพร วงษ์สุวรรณ ซึ่งนวพรเพิ่งจบการศึกษาและรับราชการได้ไม่นานจะมีเงินจำนวนมากมายหลายล้านบาทมาซื้อที่ดินและทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จำนวนเกือบร้อยล้านบาทได้อย่างไร และทั้งสองคนเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดังกล่าวจริงหรือไม่ หรือว่าเป็นบิดามารดาที่ใช้ชื่อบุตรสาวทั้งสองเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
และหากเป็นเช่นนี้จริงก็ต้องถามว่า เงินจำนวนที่ไปซื้อที่ดินและทำรีสอร์ตของ พล.ต.อ.พัชรวาท และนางสมถวิล วงษ์สุวรรณ ภรรยาซึ่งไม่ได้ทำธุรกิจอะไร ได้มีการแจ้งบัญชีไว้กับ ป.ป.ช.หรือไม่และกระบวนการโอนเงินถอนเงินทำอย่างไร หรือว่าเป็นการทำธุรกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่มาที่ไปของการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินเนื่องจากบุตรสาวทั้งสองคนบรรลุนิติภาวะแล้วจึงไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.
หากมีผู้ร่วมหุ้นทำรีสอร์ตกับบุตรสาว พล.ต.อ.พัชรวาท คำถามก็คือ ใครคือผู้ร่วมถือหุ้นด้วยกับการสร้างรีสอร์ตให้เช่าแห่งนี้
อีกทั้งค่าเช่ารีสอร์ตแห่งนี้ให้เช่าเฉพาะกับนายตำรวจระดับผู้กำกับการปีละ 3 แสนบาท เป็นการทำสัญญาเช่าจริงหรือไม่ มีหนังสือสัญญาและการโอนเงิน จ่ายเงินค่าเช่าหรือไม่เพราะลักษณะการเช่าที่เช่าเป็นรายปีในพื้นที่ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและไม่ใช่แหล่งพักผ่อนหย่อนใจแต่กลับไปเปิดให้เฉพาะตำรวจเช่าเพื่ออยู่อาศัยและพักผ่อน เงินค่าเช่าปีละ 3 แสนบาท หากคนคิดจะเช่าเอาไว้จริงๆ ก็น่าจะไปหาซื้อที่ดินหรือซื้อบ้านในบริเวณใกล้เคียงที่ได้เป็นเจ้าของเลยดีกว่า ก็น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีกว่าจะมาเช่าปีละ 3 แสนบาท ถือว่าผิดวิสัยของการเช่าโดยทั่วไป
รวมถึงประเด็นเรื่องไม้ที่นำมาก่อสร้างรีสอร์ตแห่งนี้ที่ตามรูปภาพที่นำมาลงประกอบจะพบว่าเป็นไม้สักทอง ไม้ซุงขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งควรที่ผ็เกี่ยวข้องจะต้องไปตรวจสอบว่าไม้ทั้งหมดได้มาโดยถูกต้องหรือไม่ มีการทำสัญญาก่อสร้างและการซื้อขายไม้สักทองจำนวนมากขนาดนี้เพื่อสร้างรีสอร์ตดังกล่าวหรือไม่
ข้อสงสัยทั้งหลายข้างต้น หาก พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นผู้บริสุทธิ์จริงก็คงตอบข้อสงสัยทุกประเด็นได้ เพื่อเคลียร์ตนเองพ้นจากข้อครหา แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบและเล่นแร่แปรธาตุซุกไว้กับคนอื่นก็คงจะหนีความรับผิดชอบต่อกฎหมายบ้านเมืองไม่พ้นเช่นกัน
บรรยากาศในมุมต่างๆ ของรีสอร์ต
