ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนักการเมือง-นายตำรวจ มีเอี่ยวทำร้าย ปชช.7 ตุลา ระบุ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์-ชวลิต ยงใจยุทธ-พัชรวาท วงษ์สุวรรณ-สุชาติ เหมือนแก้ว” ผิดอาญา ม.157 “ป๊อด-สุชาติ” โดนวินัยร้ายแรงด้วย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนักการเมือง-นายตำรวจ ฆ่า ปชช.7 ตุลาฯ
วันนี้ (7 ก.ย.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ซึ่งมี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณาคดีสั่งการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งที่ประชุมมีมติชี้มูลความผิดนักการเมืองและนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง ตามข้อกล่าวหา ประกอบด้วย
1.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเรียกประชุม ครม.นัดพิเศษในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 โดยมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้สั่งการ และเปิดทางให้ ส.ส.และ ส.ว.เข้าสู่รัฐสภา ซึ่งที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 8 ต่อ 1
2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ และสั่งการให้ตำรวจผลักดันผู้ชุมนุมโดยใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 6 ต่อ 3
3.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบตามอำนาจหน้าที่ เมื่อเกิดเหตุรุนแรงจนถึงขั้นผู้ชุมนุมบาดเจ็บสาหัส ถึงขนาดขาขาดแขนขาด ก็ต้องยับยั้งมิให้เหตุการณ์ลุกลามต่อไป และมีการให้การจากพยานว่า เป็นผู้สั่งการสลายการชุมนุม จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและมีความผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 8 ต่อ 1
4.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ และเป็นเจ้าของพื้นที่ มีความผิดวินัยร้ายแรงและอาญา เช่นกัน โดยที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 8 ต่อ 1
ส่วนนายตำรวจอีก 5 คน ประกอบด้วยพล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร.ถูกกล่าวหามีความผิดทางวินัย พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น.ถูกกล่าวหามีความผิดทั้งทางวินัยและทางอาญา พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.ถูกกล่าวหามีความผิดทั้งทางวินัยและทางอาญา พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น.ถูกกล่าวหามีความผิดทั้งทางวินัยและทางอาญา และ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น.ถูกกล่าวหามีความผิดทั้งทางวินัยและทางอาญา นั้น ทาง ป.ป.ช.ไม่ชี้มูลความผิด เนื่องจากทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
สำหรับผู้ถูกชี้มูลความผิดทางคดีอาญานั้น ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้อัยการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป ซึ่งจะอยู่ในเวลาดำเนินการ 7-15 วัน ส่วนความผิดทางวินัยร้ายแรง จะส่งเรื่องถึงผู้บังคับบัญชาให้พิจารณาภายใน 3 วัน
สำหรับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังจากทราบมติ ป.ป.ช.ดังกล่าวว่า จะขอดูคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ก่อน หากทำให้ พล.ต.อ.พัชรวาทไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ตร.ได้ จะมีการตั้งรักษาราชการแทน ซึ่งต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย
สำหรับเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมเมื่อเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เกิดขึ้นหลังจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ชุมนุมคัดค้านการแถลงนโยบายรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่หน้ารัฐสภาตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งในคืนวันดังกล่าว นายสมชายได้เรียกประชุม ครม.นัดพิเศษที่สนามบินดอนเมือง และมีมติให้สลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพื่อเข้าไปแถลงนโยบายในรัฐสภาให้ได้ โดยมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกฯ เป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์
หลังจากนั้น เวลาประมาณ 06.15 น. วันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เริ่มทำการสลายการชุมนุมด้วยการยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่พันธมิตรฯ ที่ชุมนุมกันอยู่บริเวณหน้ารัฐสภา จนมีผู้บาดเจ็บขาขาดแขนขาดจำนวนมาก และสามารถเปิดทางให้นายสมชาย รวมทั้ง ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปประชุมสภาได้ อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้มาชุมนุมกันมากขึ้นในช่วงกลางวัน ตำรวจได้ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตายิงใส่ผู้ชุมนุมอีกครั้งในช่วงบ่าย ทำให้มีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตจากระเบิด 1 คน คือ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือ สารวัตรจ๊าบ
จนถึงช่วงเย็น ยังคงมีการระดมยิงระเบิดแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผู้ชุมนุมเดินทางกลับจากรัฐสภาไปยังทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาระดมยิงเข้าใส่ประชาชนที่เดินกลับจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน คือ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และมีผู้บาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บทั่วไปอีกประมาณ 400 คน
รายละเอียด คำแถลงข่าวของป.ป.ช.
“ตามที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรคประชาธิปัตย์ รวม 20 คน ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 ตุลาคม 2551 ขอให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กับพวก รู้เห็นเป็นใจสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปราบปรามประชาชนที่กำลังชุมนุมโดยสงบในบริเวณหน้ารัฐสภา บริเวณถนนพิชัย บริเวณถนนสุโขทัย และบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลทำให้ประชาชนได้รับอันตรายแก่กาย และจิตใจ ประมาณ 400 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส 6 คน และถึงแก่ความตาย 2 คน และต่อมาประธานวุฒิสภา ได้มีหนังสือลงวันที่ 28 มกราคม 2552 ส่งคำร้องของ รองศาสตราจารย์ จิราพร ลิ้มปานานนท์ และคณะ ซึ่งได้รวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอ จำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนยื่นคำร้องขอให้ถอดถอนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ในกรณีดังกล่าวมาให้ดำเนินการไต่สวนถอดถอนด้วย นั้น
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รวมดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน โดยกำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะ เป็นองค์คณะในการดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และมอบหมายให้นายวิชา มหาคุณ และนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งจากการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2551 และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2551 แล้ว รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ประกาศ ที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานรัฐสภา ได้เรียกประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อรับฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เวลา 09.30 น.ในขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งได้ชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ได้ประกาศที่จะขัดขวางการเข้าประชุมของสมาชิกรัฐสภาเพื่อมิให้รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยการเคลื่อนมวลชนมาปิดล้อมรัฐสภาตั้งแต่ค่ำวันที่ 6 ตุลาคม 2551
ในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 เวลาประมาณ 23.00 น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ ที่ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวภายในท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อพิจารณาเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยในวันประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยได้เรียก พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้ารับฟังนโยบายของรัฐบาลต่อสถานการณ์การชุมนุม พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พร้อมคณะประกอบด้วย พลตำรวจเอก วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว และได้พบกับ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี โดยบุคคลทั้งสอง ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมให้ได้ และสั่งให้พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ไปปฏิบัติ
หลังจากนั้น เวลาประมาณ 01.40 น. พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ พร้อมด้วยคณะประกอบด้วย พลตำรวจเอก บุญฤทธิ์ รัตนพร นายตำรวจนอกราชการ และพลตำรวจตรี สุรพงษ์ ศิริภักดี ผู้บังคับการตำรวจรถไฟ ได้เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อนำมติคณะรัฐมนตรีมาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยขณะนั้นมี พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พลตำรวจเอก วิโรจน์ พหลเวชช์ พลตำรวจเอก ปานศิริ ประภาวัต และรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลอีกหลายนาย ได้เข้าฟังการมอบหมายนโยบาย แต่พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ไม่ได้อยู่รับฟังด้วย เนื่องจากติดภารกิจรับเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โดยพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้แจ้งต่อที่ประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ว่า ได้นำมติคณะรัฐมนตรี มาแจ้งว่า เช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการเปิดเส้นทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมให้ได้โดยเวลา 05.00 น. ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ และ คณะรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ ควบคุมการปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังจากนั้น ได้เดินทางกลับ โดยให้ พลตำรวจเอก บุญฤทธิ์ รัตนพร และ พลตำรวจตรี สุรพงษ์ ศิริภักดี อยู่ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล
ต่อมาเมื่อ พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว กลับจากการรับเสด็จเดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้พบกับ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ซึ่งพลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้แจ้งเรื่องการมาของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ว่าได้มามอบหมายหน้าที่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องปฏิบัติในการเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมในตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ให้ได้ ต่อมาเวลาประมาณ04.30 น. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ พลตำรวจตรี ลิขิต กลิ่นอวล รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ ในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมด้วย พลตำรวจตรี จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรี วิบูลย์ บางท่าไม้ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรี อนันต์ ศรีหิรัญ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ได้ร่วมประชุมวางแผนเพื่อกำหนดแผนการปฏิบัติตามคำสั่งของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ โดยมอบหมายหน้าที่ให้ พลตำรวจตรี ลิขิต กลิ่นอวล รับผิดชอบดูแลเหตุการณ์ทั้งหมด พลตำรวจตรี จักรทิพย์ ชัยจินดา พลตำรวจตรี ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รับผิดชอบนำกองร้อยควบคุมฝูงชนจากตำรวจภูธรภาค 1, 2 และ 3 กองบังคับการตำรวจนครบาล 8 กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 5 กองร้อย เข้าปฏิบัติหน้าที่ที่แยกการเรือน ส่วนพลตำรวจตรี วิบูลย์ บางท่าไม้ พลตำรวจตรี อนันต์ ศรีหิรัญ พันตำรวจเอก วิชาญ บริรักษ์กุล นำกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1และ 7กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 5 กองร้อยเข้าทางแยกขัตติยาณี ถนนพิชัย ให้เริ่มปฏิบัติการเวลา 06.00 น.และพลตำรวจตรี จักรทิพย์ ชัยจินดา ได้สั่งให้ พันตำรวจเอก ลือชัย สุดยอด เข้าร่วมปฏิบัติการที่แยกขัตติยาณี ด้วย
ต่อมาเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เวลาประมาณ 06.00 น. ปรากฏว่า มีการใช้แก๊สน้ำตา ชนิดยิง และขว้าง เพื่อผลักดันประชาชนกลุ่มพันธมิตร ที่ชุมนุมปิดทางเข้ารัฐสภา บริเวณประตูปราสาทเทวริทธิ์ ด้านถนนราชวิถี ต่อเนื่องมาบริเวณแยกอู่ทองใน เลยไปทางประตูด้านหน้ารัฐสภา บริเวณถนนอู่ทองใน ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก โดยมีผู้บาดเจ็บขาขาดนิ้วเท้าขาดและน่องเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ด้วย หลังจากนั้น สื่อมวลชนได้เสนอข่าวการสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก และในเวลาต่อมาเวลาประมาณ 09.30 น. พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
ต่อมาเมื่อนายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตย ได้เคลื่อนขบวนปิดล้อมประตูเข้าออกรัฐสภาทุกด้านโดยเฉพาะประตูปราสาทเทวริทธิ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ผลักดันโดยใช้แก๊สน้ำตาจนเปิดทางได้แล้วนั้น ถูกกลุ่มพันธมิตรได้เข้ามายึดครองและปิดล้อมไว้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถออกจากที่ประชุมได้ทำให้สมาชิกส่วนหนึ่งและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ต้องปีนกำแพงออกด้านหลังซึ่งเป็นบริเวณเขตพระราชฐานโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นำเฮลิคอปเตอร์ รับตัวนายกรัฐมนตรีออกไปได้ ส่วนสมาชิกรัฐสภาจำนวนมากยังคงติดอยู่ในรัฐสภา จนถึงเวลา 14.00 น. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ได้เรียกประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล และได้มอบหมายให้ พลตำรวจตรี เอกรัตน์ มีปรีชา
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 และ 4 ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และกองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ เข้าผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแต่แยกการเรือน เพื่อเปิดประตูปราสาทเทวริทธิ์ เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาออกจากรัฐสภาได้ เมื่อ พลตำรวจตรี เอกรัตน์ มีปรีชา ได้นำกำลังไปประจำบริเวณแยกซังฮี้ และนำกำลังเคลื่อนมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ก็พบกับกลุ่มพันธมิตร โดยมีนายวีระ สมความคิด เป็นแกนนำได้มีการเจรจาต่อรองให้กลุ่มพันธมิตร เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปรับสมาชิกรัฐสภาออกมา แต่กลุ่มพันธมิตร ไม่ยอมเปิดทางให้ พลตำรวจตรี เอกรัตน์ มีปรีชา จึงได้ใช้กำลังเข้าผลักดัน โดยยิงแก๊สน้ำตา เข้ากลุ่มประชาชน ตั้งแต่เวลา 16.04 น จนถึงเวลา 17.00 น. จึงสามารถผลักดันกลุ่มพันธมิตร ถอยร่นพ้นประตูปราสาทเทวริทธิ์ และนำสมาชิกรัฐสภาออกมาจากรัฐสภาได้ ซึ่งจากการผลักดันประชาชนกลุ่มพันมิตร โดยใช้แก๊สน้ำตาดังกล่าวปรากฏว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาจำนวนหนึ่ง ขณะที่มีการยิงแก๊สน้ำตาเข้าประชาชนกลุ่มพันธมิตรที่แยกการเรือน ทำให้ประชาชนกลุ่มพันธมิตรจำนวนหนึ่งหนีมาทาง มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ด้านถนนราชสีมา และจะเดินทางผ่านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลด้านถนนศรีอยุธยา เพื่อกลับไปยังทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่สามารถเดินทางได้เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดและยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนกลุ่มพันธมิตร เมื่อกลุ่มพันธมิตรที่ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลทราบเรื่องจึงได้ประกาศให้ผู้ร่วมชุมนุมเดินทางไปที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อไปผลักดันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เปิดเส้นทางถนนศรีอยุธยา และเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลและภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มพันธมิตร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และมีผู้บาดเจ็บสาหัส ขาขาด มือขาด นิ้วเท้าขาด และบาดเจ็บที่ต่างๆ จำนวนมาก จากรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้รายงานผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จำนวน 471 ราย รักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 86 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 14 ราย ประชาชน 72 ราย มีผู้เสียชีวิต 2 ราย
อนึ่ง ในการมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบปรากฏตามเอกสารวิทยุในราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล จาก ศปก.น. ที่ 0016.(ศปก.น.)/ 13879 ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2551 ลงนามโดย พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว จัดตารางการประกอบกำลังปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีการชุมนุมเรียกร้อง ระบุไว้ดังนี้
ลำดับ 1 วันที่ 6 ตุลาคม 2551 เวลา 08.01 – 20.00 น. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยมี พลตำรวจตรีวิบูลย์ บางท่าไม้ รองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองผู้บัญชาการเหตุการณ์
ลำดับ 2 วันที่ 6 ตุลาคม 2551 เวลา 20.01 – 08.00 น.ของวันที่ 7 ตุลาคม 2551
พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยมี พลตำรวจตรีลิขิต กลิ่นอวล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองผู้บัญชาการเหตุการณ์
ลำดับ 3 วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เวลา 08.01 – 20.00 น.พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยมี พลตำรวจตรี อำนวย นิ่มมะโน
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองผู้บัญชาการเหตุการณ์
ลำดับ 4 วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เวลา 20.01 – 08.00 น.ของวันที่ 8 ตุลาคม 2551
พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยมี พลตำรวจตรี จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองผู้บัญชาการเหตุการณ์
ลำดับ 5 วันที่ 8 ตุลาคม 2551 เวลา 08.01 – 20.00 น.พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยมี พลตำรวจตรี เอกรัตน์ มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองผู้บัญชาการเหตุการณ์
ต่อมาปรากฏหลักฐานตามวิทยุในราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ 0016.
(ศปก.น.)/13955 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ให้ พลตำรวจตรี อำนวย นิ่มมะโน เปลี่ยนวันเวลาปฏิบัติภารกิจกับพลตำรวจตรี เอกรัตน์ มีปรีชา และมีคำสั่งวิทยุในราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ 0016.(ศปก.น.)/13927 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2551 มอบหมายให้ พลตำรวจตรี ลิขิต กลิ่นอวล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติตามภารกิจนำกำลังกองร้อยปราบจลาจลเข้าไปเปิดเส้นทางเข้าออกรัฐสภาในวันที่ 7 ตุลาคม.2551 เวลา 06.10 น.และคำสั่งวิทยุในราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ 0016.(ศปก.น.)/13940 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2551 มอบหมายให้ พลตำรวจตรี เอกรัตน์ มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล /รองผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติตามภารกิจ นำกำลัง กองร้อยปราบจลาจลจำนวน 6 กองร้อย เข้าไปปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยสมาชิกรัฐสภา ข้าราชการรวมตลอดบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งติดอยู่ภายในรัฐสภา โดยให้ปฏิบัติหน้าที่วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นไป โดยมี พลตำรวจตรี จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้ช่วยปฏิบัติ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาข้อเท็จจริง ตลอดจนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบ และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาแต่ละราย ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว เห็นว่า
1. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องบริหารบ้านเมืองให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและเคารพสิทธิการแสดงออกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ติดต่อให้นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เปลี่ยนสถานที่การประชุมหรือเลื่อนการประชุมออกไป แต่นายชัย ชิดชอบ ยังคงยืนยันให้มีการประชุมรัฐสภาตามวันและเวลาเดิมก็ตาม แต่กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีการที่รุนแรงต่อประชาชนจนประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และเมื่อปรากฏว่ามีผู้บาดเจ็บสาหัสในการเข้าดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเปิดทางเข้ารัฐสภาในตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนกระทั่งพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการประกาศลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไม่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชายุติการกระทำ กลับปล่อยให้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้นตามลำดับตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต การกระทำหรือละเว้นการกระทำของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
2. พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี เข้าประชุมเพื่อรับฟังนโยบายของรัฐบาลด้วยการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุโดยมุ่งหวังเพื่อเปิดทางให้ได้โดยมิได้คำนึงถึงชีวิต ร่างกายของผู้ร่วมชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะสำคัญ ก็เนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งการกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นั้น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
ได้มอบหมายให้พลตำรวจเอก บุญฤทธิ์ รัตนพร และพลตำรวจตรี สุรพงษ์ ศิริภักดี ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด ดังนั้น การตัดสินใจประกาศลาออกอันเป็นการหลีกหนีความรับผิดชอบหลังเกิดความเสียหายแล้วย่อมไม่อาจพ้นความรับผิดได้ การกระทำหรือละเว้นการกระทำดังกล่าวของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินลำดับถัดมาจากนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ให้เป็นผู้มีอำนาจสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติในภารกิจดำเนินการเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุม จึงมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
3. พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมในช่วงเช้ามีผู้บาดเจ็บถึงขั้นขาขาด และมีบาดแผลในร่างกายหลายราย สื่อมวลชนได้เสนอข่าวอยู่ตลอดเวลา พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงที่ได้รับนโยบายจากฝ่ายการเมือง ให้ไปดำเนินการเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุม กลับเพิกเฉยไม่สั่งการให้หยุดยั้งการกระทำ หรือยอมกระทำการอันเป็นการเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อประชาชน เพื่อสนองนโยบายของฝ่ายการเมืองที่พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อ้างว่าไม่สามารถขัดขืนได้ นั้น เป็นการไม่รับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ของตนเองที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนเป็นหลัก ถึงแม้พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จะพยายามที่จะให้มีการเปลี่ยนสถานที่ประชุมหรือเลื่อนวันประชุม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะไม่มีเหตุการณ์เผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ไม่สามารถหักล้างผลของการกระทำที่เจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของพลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้กระทำไป และการที่พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้ทำตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้กระทำ โดยมิได้ยับยั้งการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามวิสัยของข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ จนเกิดความเสียหายดังกล่าว การกระทำหรือละเว้นการกระทำของพลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79(5) (6) และมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
4. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของ พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ตามแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) ได้ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์การเข้าดำเนินการผลักดันผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดทุกสถานการณ์ เมื่อทราบเหตุการณ์ในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ได้มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่นั้น ได้ใช้แก๊สน้ำตายิงและขว้างใส่กลุ่มประชาชนที่ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมากแล้ว ในเวลาประมาณ 16.00 น. พลตำรวจโทสุชาติ เหมือนแก้ว ยังคงสั่งให้มีการใช้กำลังเข้าผลักดันกลุ่มประชาชน โดยใช้แก๊สน้ำตาดังกล่าวอีก จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลและภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ยังคงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มประชาชนที่ร่วมชุมนุมกับพันธมิตร ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส ขาขาด มือขาด และบาดเจ็บที่ต่างๆ จำนวนมากอีก พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ ทราบว่าการใช้แก๊สน้ำตาเข้าผลักดันประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน กลับไม่ดำเนินการทบทวนวิธีการหรือหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว กลับสั่งให้ดำเนินการเช่นเดิมอีกในตอนบ่ายและกระทำซ้ำอีกในตอนค่ำ การกระทำของพลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทำร้ายประชาชนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (3) (5) (6) และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
สำหรับ พลตำรวจตรี ลิขิต กลิ่นอวล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรี เอกรัตน์ มีปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรี วิบูลย์ บางท่าไม้ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรี จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกปฏิบัติหน้าที่ในการสลายการชุมนุมครั้งนี้ทั้งหมด เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในความควบคุมรับผิดชอบและสั่งการของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พฤติการณ์และพยานหลักฐานยังไม่พอฟังว่ามีมูลเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป
ส่วน พลตำรวจเอก วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่ามีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหาตกไป ให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยพลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และพลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว และไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และพลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 และมาตรา 70 ต่อไป
นอกจากนี้ กรณีที่ประธานวุฒิสภา ได้ส่งคำร้องขอให้ถอดถอนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ในกรณีดังกล่าวมาให้ดำเนินการไต่สวนถอดถอนด้วย นั้น คณะกรรมการป.ป.ช. ก็ได้มีมติให้ส่งรายงานไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป”
ประมวลเหตุการณ์ “ตำรวจฆ่าประชาชน” 7 ต.ค.51
**รวมวิดีโอคลิป “ตำรวจฆ่าประชาชน" 7 ตุลาคม 2551**
-ผลสอบ 7 ตุลาเลือดถึงมือ “ป.ป.ช.” ฟัน “ชาย-ตร.ชั่ว” ฆ่า-พยายามฆ่า
-กก.สิทธิฯ สรุปชัด 7 ตุลา ตร.ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน