xs
xsm
sm
md
lg

ศาลปค.ไม่รับอุทธรณ์โอ๊ค-เอม หมดสิทธิล้วงเงินแบงก์SCB

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) ศาลปกครองสูงสุดโดยนายจรัญ หัตกรรม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครอง

สูงสุด เจ้าของสำนวน มีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ให้ยกคำอุทธรณ์ที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทอง

ทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งรับทั้งสองคนเป็นผู้ร้องสอด เพื่อ

เป็นคู่กรณี โต้แย้งสิทธิว่าธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด( มหาชน )ไม่มีสิทธิยื่นฟ้องคดีหมายเลขดำ 1328/2551

ต่อศาลปกครองกลาง ที่ขอให้ศาลสั่งธนาคารระงับการส่งเงินบัญชีของทั้งสองคน เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้าง

เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่คำนวณจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.50 ของนายพานทองแท้ จำนวน 6,075,498,993.21 บาท

และน.ส.พินทองทา จำนวน 6,075,236,235.38 บาท ตามคำสั่งอายัดของกรมสรรพากร ที่ซ้ำซ้อนคำสั่งอายัด

ทรัพย์สินคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ( คตส.)
โดยนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ยื่นคำอุทธรณ์ อ้างว่าเนื่องจากทั้งสองเป็นเจ้าของทรัพย์

การที่ศาลปกครองกลางไม่รับคำร้องสอดให้ทั้งสองเป็นคู่กรณี เพราะเห็นว่าคดีที่ ธ.ไทยพาณิชย์ ฟ้องกรม

สรรพากร คดีหมายเลขดำ 1328/2551 นั้นมีประเด็นพิพาทที่ศาลต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งอายัดกรมสรรพากร

ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากศาลพิพากษาเป็นอย่างไรก็ตาม ผลคำพิพากษาก็ไม่มีผลกระทบที่จะเปลี่ยน

แปลงสิทธิในบัญชีเงินฝากของทั้งสองแต่อย่างใด นั้นไม่เห็นด้วย เพราะทั้งสองเห็นว่า การวินิจฉัยเนื้อหาของ

คดีนั้นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสียก่อน ว่าคำสั่งอายัดของคตส. ชอบด้วยกฎหมาย และยังมี

ผลให้ใช้บังคับอยู่หรือไม่ ซึ่งทั้งสองเห็นว่าคำสั่งอายัดของคตส. ไม่มีผลแล้ว ทำให้คำสั่งอายัดของกรม

สรรพากรมีผลเหนือกว่า ดังนั้นคำสั่งอายัดของคตส. จึงมีผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิในทรัพย์สินของทั้งสอง

เพราะหากศาลมีคำพิพากษาว่า คำสั่งอายัด คตส. ชอบหรือไม่ชอบ แต่สิ้นผลไปแล้ว ก็จะทำให้ทั้งสองคน

สามารถนำเงินในบัญชีไปชำระหนี้ภาษีอากรค้างตามที่กรมสรรพากรมีคำสั่งอายัดได้ และทั้งสองไม่ต้องรับ

ผิดในเงินเพิ่มภาษีอีกต่อไป กรณีจึงถือได้ว่าทั้งสองคน เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อน
ขณะที่ศาลปกครองสูงสุด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีข้อพิพาทเกี่ยวกับคำสั่งอายัดทรัพย์นั้น แม้

ว่าศาลจะมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอายัดของกรมสรรพากร ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อสิทธิของ

นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ในเงินฝากตามบัญชีที่คตส. มีคำสั่งอายัดไว้ ตามที่ทั้งสองกล่าวอ้างว่า

ทั้งสองเป็นเจ้าของทรัพย์ การที่ คตส. มีคำสั่งอายัด ย่อมถือได้ว่าทั้งสองได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงไม่จำ

เป็นที่ทั้งสองคนต้องเข้ามาร้องสอดเป็นคู่กรณี เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับ รับรองตามสิทธิของตน

ที่มีต่อเงินฝาก อีกทั้งนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตามกฎหมายของผลคดี

ดังกล่าว ศาลจึงไม่อาจรับคำร้องสอดของทั้งสองคนไว้พิจารณาได้ คำอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลปกครองชั้น

ต้น มีคำสั่งไม่รับคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่กรณีนั้นชอบแล้ว ศาลปกครองสูงสุด จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาล

ปกครองชั้นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีเรื่องอายัดทรัพย์นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ที่ ธ.ไทย

พาณิชย์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากรนั้น ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 ม.ค.52 ยืนตามศาลปกครองกลาง

ให้คุ้มครองชั่วคราว สั่งธนาคารระงับการส่งเงินในบัญชีของนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา มูลค่ากว่า

12,000 ล้านบาท ที่ คตส.มีคำสั่งวันที่ 11 มิ.ย.50 อายัดเงินในบัญชีฝากธนาคารของครอบครัว บุตร บริวาร

ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด( มหาชน) ให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์

เพื่อชำระภาษีกับกรมสรรพากร ผู้ถูกฟ้อง จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา หรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ขณะที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาวันที่ 2 เม.ย.52 ยืนตามศาลปกครองกลาง ไม่รับฟ้องคดีที่

นายพานทองแท้ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร , นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร และ เจ้าพนักงานสรรพากร

รวม 7 คน เรื่องออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีร่วมกันออกคำสั่งแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมินและ

เรียกเก็บภาษีเงินได้ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา จากการซื้อหุ้น บมจ. ชินคอร์ปฯ มาจากบริษัท แอ

มเพิลริช อินเวสท์เม้น จำกัด เมื่อวันที่ 20 ม.ค.49 คนละ 164 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาทด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น