xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ฮึ่ม ก.ต.ช.แค่ตรายาง ยันตั้ง "ปทีป" ผบ.ตร.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ASTVผู้จัดการรายวัน---“มาร์ค”แจงสี่เบี้ยเดินหน้ากระบวนการเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ ยกกฎหมายฉบับปัจจุบันให้เสนอชื่อเดียวได้ ส่วนก.ต.ช.ทำหน้าที่เพียงแค่ให้ความเห็นชอบ ยืนยันหนักแน่นสเปก 3 ประการ “พล.ต.อ.ปทีป” ตรงเป๊ะ ทั้ง“ลดขัดแย้ง-เป็นกลางทางการเมือง-ตรงไปตรงมา” อ้างในอดีตเสนอถึง 3 ครั้ง มั่นใจรอบใหม่กล่อม ก.ต.ช.ตรายางสำเร็จ

วานนี้ (23 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ“เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ถึงปัญหาในเรื่องของการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ว่า การแต่งตั้งผบ.ตร. ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องของการบริหารงานตำรวจ ซึ่งในกฎหมายกำหนดเอาไว้ว่า นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้คัดเลือกรายชื่อผบ.ตร. เสนอต่อคณะกรรมการที่เรียกสั้นๆว่า ก.ต.ช. เพื่อให้ความเห็นชอบ เพราะฉะนั้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ก็เริ่มต้นกระบวนการที่กำหนดไว้ในกฎหมาย นั่นก็หมายความว่า ตนในฐานะนายกรัฐมนตรีและทำหน้าที่เป็นประธาน ก.ต.ช. ก็เสนอชื่อที่ตนเห็นว่ามีความเหมาะสมให้ทางก.ต.ช.ได้ให้ความเห็นชอบ แต่ปรากฏว่าในการลงมติในวันนั้นยังไม่ได้ให้ความเห็นชอบ เพราะฉะนั้นกระบวนการนี้ก็ถือว่ายังไม่ยุติ มีการวิพากษ์วิจารณ์ มีการสอบถามว่า เป็นอย่างไร ทำไมการเสนอชื่อ เสนอชื่อได้กี่ชื่อ

“ผมก็อยากจะย้ำอย่างนี้ครับว่า ที่จริงในการดำเนินการในเรื่องนี้ ตั้งแต่ก่อนที่จะมีกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็จะมีคณะกรรมการเช่นเดียวกันเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ ผู้มีอำนาจเสนอชื่อเข้าไป จะเสนอชื่อเดียวครับ ทั้งเป็นประเพณีปฏิบัติและที่สำคัญคือถ้าตามกฎหมายปัจจุบัน การที่กฎหมายใช้ถ้อยคำว่า เป็นเรื่องที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ในขณะที่นายกฯ เป็นผู้ที่จะเป็นคนคัดเลือกชื่อ หมายความว่าเสนอไปเพื่อขอความเห็นชอบ ถ้าเสนอหลายชื่อเขาจะไม่เรียกเห็นชอบครับ เขาจะเรียกว่าเป็นการคัดเลือก เป็นการเลือกตั้ง”นายกฯกล่าว

**แจงเสนอชื่อ “ปทีป” ไม่ได้คิดเอง เออเอง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระบวนการคัดเลือกเป็นหน้าที่ของตนในฐานะนายกรัฐมนตรี สำหรับการคัดเลือกและการที่จะขอความเห็นชอบในครั้งนี้ ขอเรียนสั้น ๆ ว่า ไม่ได้หมายความว่า ตนก็ได้คิดอะไรเอง แต่ได้มีการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านตำรวจ ก็ทราบว่า มีบุคคลหลายคนที่คิดว่ามีความสามารถที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้ได้ และมีการเชิญบุคคลหลายท่านมาพูดคุยสอบถามความคิด ความอ่านต่าง ๆ
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ตนต้องการจะเห็นเกิดขึ้นคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญที่จะต้องรักษากฎหมาย ดูแลบ้านเมืองให้เกิดความสงบเรียบร้อยเป็นที่วางใจ มั่นใจและศรัทธาของประชาชน โดยเฉพาะในยามที่ปัญหาของการเมือง ปัญหาความขัดแย้งมีมาก และปัญหาอาชญากรรมอื่น ๆ ที่พี่น้องบ่นมา จะเป็นเรื่องยาเสพติด จะเป็นเรื่องอะไรก็ตามมีมาก ตนต้องการให้เห็น ประสิทธิภาพสูงสุด

**แย้มคุณสมบัติ "ปทีป" ครบ3ประการ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ ที่ต้องการก็คือทำอย่างไรให้สตช. ก้าวเข้าสู่ความเป็นตำรวจอาชีพ ต้องยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมา มีเรื่องของการเมืองเข้าไปแทรกแซงและระบบคุณธรรมในตำรวจได้รับผลกระทบอย่างค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นบุคคลที่ตนเสนอชื่อ มองว่าจะต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่าง คือ ประการแรก สามารถที่จะทำให้ความขัดแย้งภายในลดลงได้ เป็นบุคคลซึ่งได้รับการยอมรับนับถือและมีบุคลิกในลักษณะที่จะสามารถประสานความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้การทำงานของทางตำรวจมีประสิทธิภาพ ประการที่สอง ในภายนอกต้องมีความยอมรับนับถือในลักษณะของความเป็นกลางทางการเมือง และ ประการที่สาม สามารถที่จะเดินหน้าคดีต่าง ๆ ได้อย่างตรงไป ตรงมา

**อ้างในอดีต เคยมีปัญหาเสนอถึง 3 ครั้ง
อย่างไรก็ตามในการประชุม ก.ต.ช. อาจจะมีข้อมูลและความเห็นที่ยังไม่ตรงกัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะในอดีตกระบวนการที่จะได้ผู้บัญชาการตำรวจหรืออธิบดีกรมตำรวจ ในอดีตก็มีอย่างนี้ที่เคยเกิดขึ้นเหมือนกันว่า เสนอไปครั้งแรกก็ยังไม่เรียบร้อย ก็มีการเสนอครั้งที่สอง แม้กระทั่งครั้งที่สามเข้าใจว่าก็ยังเคยมีเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ ตนก็ทำงานต่อไป เพื่อที่จะได้เฟ้นตัวผบ.ตร. ที่ตนคิดว่าจะมีคุณสมบัติในลักษณะที่ได้กล่าวมาแล้ว เพื่อที่จะให้สตช.สามารถที่จะเป็นที่พึ่ง ที่หวังของพี่น้องประชาชน และที่สำคัญคือสนองนโยบายของรัฐบาลในการที่จะให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง และการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไป ตรงมา และมีประสิทธิภาพ

**ตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ อยากเสร็จก่อน ส.ค.
นายอภิสิทธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ถามว่าจะดำเนินการได้เสร็จเมื่อไร ที่จริงก็เป็นความตั้งใจดีของตน ว่าอยากจะเสร็จก่อนเดือนสิงหาคม เพราะว่ากฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ ของตำรวจคือว่า ในส่วนของรอง ตำแหน่งรองลงไปจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ((ก.ตร.) ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นประธาน ซึ่งตนก็พยายามที่จะผลักดันว่า จะเสร็จก่อนเดือนสิงหาคม เพื่อที่จะให้ทาง ก.ตร. ได้ทราบว่าใครเป็นผู้บัญชาการคนใหม่ น่าจะดีกว่า ซึ่ง ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ได้บอกกับตนว่า ที่จริงแล้ว ก็ไม่จำเป็นแม้ว่ากระบวนการของ ก.ต.ช. เรื่องผบ.ตร.คนใหม่ยังไม่เรียบร้อย ก.ตร.ก็สามารถที่จะพิจารณาในส่วนของ ก.ตร.ก่อนหรือทำต่อก็ได้ เรื่องนี้พี่น้องประชาชนไม่ต้องวิตกกังวล อาจจะต้องใช้เวลายาวกว่าที่คิดนิดหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ว่าสิ่งที่ตนต้องการให้เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ของตัวองค์กรตำรวจเอง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนนั้น ตนมุ่งมั่นเดินหน้าอย่างเต็มที่ และเชื่อว่าจะก้าวพ้นปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ได้

** ยกเลิกงานเช้า แวะกินข้าวครอบครัว
ขณะที่ภารกิจของนายกรัฐมนตรี หลังประกาศเดินหน้าตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน "โอทอปช็อปช่วยชาติ” ที่เมืองทองธานี แต่ได้ยกเลิกการเยี่ยมชมงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน แต่กลับไปยังร้านอาหารญี่ปุ่น “NIPPON-TEI” อาคารเพรสซิเด้นทาวร์เวอร์ เพื่อรับประทานอาหารกลางวันกับครอบครัว ประกอบด้วยนางพิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยา น.ส.ปราง เวชชาชีวะ ลูกสาวและมารดาของนางพิมพ์เพ็ญ

**ปัดเคลียร์ “ปู่จิ้น” แทงข้างหลัง
ช่วงบ่าย นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือกับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทยระหว่างการอเปิดงานโอทอป ว่า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทักทายกันตามปกติก่อนเข้างาน เมื่อถามว่ามีการหารือถึงการประชุม ก.ต.ช.นัดใหม่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวปฏิเสธว่า ยังไม่ได้หารือ เพราะบอกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อน เมื่อถามว่าท่าทีของนายชวรัตน์เป็นอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ปกติดี

เมื่อถามว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งรองผบ.ตร.หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มี ทางก.ตร.สามารถเดินหน้าไปได้ ถ้าเขาต้องการจะทำ เมื่อถามว่าโดยปกติจะต้องมีเวลาเพื่อให้ผบ.ตร.คนเก่ามอบงานให้กับผบ.ตร.คนใหม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ได้สอบถามไปก็มีการชี้แจงว่าทำได้ทั้ง 2 แบบ ซึ่งทาง ผบ.ตร.ก็บอกกับตนว่า ทางก.ตร.จะทำในระดับรองก่อนก็ได้

**แย้มมีชื่อ “ปทีป” อยู่ในใจ ตรงสเปก 3 ข้อ
ผู้สื่อข่าวถามว่ายังคิดว่าจะสามารถประสานความเห็นที่ต่างใน ก.ต.ช.ให้กลับมามีเอกภาพได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าควรจะทำอย่างนั้น เมื่อถามว่าคิดว่าในการประชุม ก.ต.ช.นัดต่อไปจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันและได้ตัวผบ.ตร.คนใหม่เลยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องทำให้ได้ เมื่อถามว่ายังยืนยันที่จะเสนอชื่อคนเดิมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ผมยืนยันว่าจะต้องตัดสินใจในสิ่งที่ผมคิดว่ามีความเหมาะสมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และต้องการที่จะให้กลไกต่างๆเดินไปอย่างมีเอกภาพได้”

เมื่อถามถึงการตัดสินใจเลือกพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รองผบ.ตร. เป็นผบ.ตร.คนใหม่นั้นพิจารณาจากอะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้อธิบายไปในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ แล้ว ว่ามีพล.ต.อ.ปทีปมีคุณสมบัติครบ 3 ข้อ เมื่อถามว่าโพลล่าสุดระบุว่าอำนาจการต่อรองและการเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีลดลงจากกรณีการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวยอมรับว่า ก็เป็นธรรมดา เวลาที่ไปทำโพลก็จะเอาเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาไปถามด้วยตัวเลขก็จะออกมาอย่างนี้ ครั้งแล้วก็ไปถามว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจปีนี้เทียบกับปีที่แล้วเป็นอย่างไร จาก นั้นก็ถามความเห็นต่อก็เป็นธรรมดา ตนเองก็เรียนสติมาเช่นกัน

**โพลหนุน “ปทีป” ไม่กดดัน
เมื่อถามว่าแต่ในขณะเดียวกันผลโพลก็สนับสนุนพล.ต.อ.ปทีปมากกว่า พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร.อีกคน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใช่ ซึ่งตนคิดว่าเป็นเสียงสะท้อนแต่ก็ไม่เป็นปัญหาตนก็ทราบว่าเวลาเกิดเหตุอย่างนี้ประชาชนก็รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานภาพของรัฐบาล และเรื่องอื่นๆ แต่ก็เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องแก้ไข ต่อข้อถามว่าผลโพลที่ออกมาเช่นนี้จะช่วยทำให้เสียงใน ก.ต.ช.มีเอกภาพมากขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ต้องไปถาม ก.ต.ช.ว่า ก.ต.ช.ฟังเสียงสะท้อนเหล่านี้หรือไม่”

ต่อข้อถามว่ามีความมั่นใจแค่ไหนที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนต้องแก้ให้ได้ เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องแก้ไขให้ได้ เมื่อถามว่าจะต้องทำความเข้าใจกับกรรมการ ก.ต.ช.ที่เห็นไม่ตรงกับนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงค่อยๆคุยและสอบถามเหตุผลกัน เพราะบางคนก็ไม่ได้อภิปราย

**“ปู่จิ้น” อ้างไม่ได้กระซิบ เคลียร์ตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ไม่ได้หารือเรื่องการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ กับนายกรัฐมนตรี แต่เป็นเพียงการพูดคุยเรื่องทั่วไปเท่านั้น เพราะขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งแม้ว่าจะได้ล่าช้าออกไปก็ไม่กระทบต่อการทำงานของ สตช. เนื่องจากยังมีรักษาการทำงานอยู่ ดังนั้น จึงยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องของความเห็นต่างเท่านั้น คงไม่มีผลกระทบต่อการทำงานร่วมของพรรคร่วมรัฐบาล และขณะนี้งานของรัฐบาลมีอยู่มาก เรื่องตำแหน่ง ผบ.ตร.เป็นเพียงเรื่องหนึ่งเท่านั้น ส่วนการลงมติในการประชุม ก.ต.ช. ในวาระการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คราวหน้า จะต้องคุยนโยบายกับนายกฯก่อนว่าเป็นอย่างไรและจะมีการเสนอใครอีกหรือ

**“โฆษกมาร์ค”แจง นายกฯ-เทพเทือก”จูบปากแล้ว
วันเดียวกันที่โรงแรมวังใต้ จ.สุราษฎร์ธานี นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภาพการหาเสียงที่จ.สุราษฏร์ฯ ที่ปรากฏออกมาเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค นายกฯยังมีความสบายใจ ไม่มีแรงกดดันใดๆที่จะทำให้นายกฯต้องพะว้าพะวงหรือกังวลเรื่องอื่น โดยในระหว่างที่ลงพื้นที่บุคคลทั้งสองได้ร่วมหารือเรื่องการแต่งตั้งว่าที่ ผบ.ตร. อย่างใกล้ชิดและเชื่อว่าปัญหาทั้งหมดจะยุติในเร็ววันนี้

** ตอก “ทะแนะแม้ว” มาร์ค ไม่ใช่ซีอีโอ วันแมนโชว์
นายเทพไท ชี้แจง ข้อกล่าวหาของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวอดีตนายกฯ ที่ระบุ ว่า สาเหตุที่นายกฯยังตั้งผบ.ตร.ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของการทวงบุญคุณและแสดงถึงการไร้ภาวะผู้นำ ว่าเรื่องการทดแทนบุณคุณจะไม่มีในรัฐบาลชุดนี้เพราะรัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร นอกจากเป็นหนี้บุญคุณประชาชน

สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคร่วมต่างๆก็เป็นการสมัครใจที่จะเข้ามาร่วมแก้ไขวิกฤตของชาติ จึงไม่จำเป็นต้องมีการทดแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน ส่วนเรื่องภาวะผู้นำนั้น นายกฯเองก็ไม่ต้องการใช้รูปแบบการบริหารงานในลักษณะเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ทำตัวเป็น ซีอีโอวันแมนโชว์ ที่ต้องการจะได้สิ่งใดก็ทุบโต๊ะ ให้ได้ดั่งใจทุกอย่าง

แต่นายอภิสิทธิ์ เป็นนักประชาธิปไตยที่ต้องฟังความเห็นของทุกฝ่าย ถ้าจะบริหารงานแบบพ.ต.ท.ทักษิณ การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ก็คงยุติไปแล้ว เพราะคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 นายกฯต้องการลงคะแนนด้วยก็จะทำให้คะแนนออกมาเป็น 5 ต่อ 5 เท่ากันและสามารถใช้สิทธิของประธานในที่ประชุมชี้ขาด ก็จะทำให้ได้ตัว ผบ.ตร.ตามที่ต้องการ และปัญหานี้ก็คงยุติไปแล้ว

นายกฯ เห็นว่าการทำเช่นนั้น ไม่สง่างามจึงเลื่อนการประชุมคัดเลือกออกไปเพื่อให้ ก.ตช.กลับไปพิจารณาหาเหตุผลให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่ง และในนาทีนี้ยังไม่มีเหตุผลใดที่จะมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของนายกฯที่ยืนยันจะเสนอบุคคลเดิมที่ได้เสนอไปแล้วอีกครั้ง จนกว่าจะมีเหตุผลอื่นหรือข้อมูลใหม่มาเปลี่ยนแปลงเหตุผลเดิมของนายกฯ

**วอร์รูม ปชป. ดักคอ ก.ต.ช.มีหน้าที่แค่ตรายาง
ที่พรรคประชาธิปัตย์ มีการประชุมคณะกรรมการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง มีนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วน ประธานวอร์รูม เป็นประธานการประชุม โดยนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคฯ กล่าวภายหลังว่า ได้มีการพูดถึงการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ซึ่งพรรคขอสนับสนุนการดำเนินการของนายกฯ เพื่อสรรหาบุคคลที่เหมาะสมในตำแหน่งผบ.ตร. คนใหม่ ตาม 3 แนวทางหลักคือ 1. ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง 2. ยึดมั่นในระบบความยุติธรรม 3. ต้องสนองต่อปัญหาประชาชน และเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้

นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า นายกฯได้เปิดรับฟังทุกความเห็น ร่วมทั้งหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกฝ่าย ด้วยความอดทนอดกลั้น ไม่เคยมีพฤติกรรมที่เผด็จการ แต่ทางพรรคไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเข้าใจผิดว่า แนวทางความเป็นผู้นำ และอำนาจของนายกฯมีความอ่อนแอ จึงอยากให้ทุกฝ่ายยุติการปล่อยข่าวเพื่อยุยงให้เกิดความแตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคฝ่ายค้านในขณะนี้มีความพยายามกล่าวอ้างประเด็นการแทรกแซงของรัฐบาลต่อการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณคนหนึ่งคนใด

เมื่อถามว่า หากยังไม่สามารถสรรหาได้จะส่งผลกระทบกับภาวะผู้นำของนายกฯหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ก.ต.ช.เป็นระบบที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2547 ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วก็เป็นระบบที่ทางฝ่ายบริหารเสนอบุคคล และคณะกรรมการก็มีหน้าที่ช่วยในการคัดกรองตรวจสอบความถูกต้อง รองรับการตัดสินใจและการใช้ดุลพินิจของผู้นำฝ่ายบริหาร

กรณีนี้ไม่ใช่ว่าเสนอแล้วจะได้รับความเห็นชอบทันทีในครั้งเดียว ถือว่ากระบวนการยังดำเนินต่อไปนายกฯ ก็ใช้ดุลพินิจตัดสินใจเสนอชื่อบุคคลที่สามารถแก้ไขปัญหาขององค์กรในภาวะการณ์ปัจจุบันได้ดีที่สุด ส่วนการรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนายกฯ ก็จะเดินหน้าต่อไป ถือว่าเป็นความมุ่งมั่นของนายกฯ อยู่แล้วที่จะเป็นผู้นำที่เป็นประชาธิปไตยไม่จำกัดสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นของผู้หนึ่งผู้ใด

“ยืนยันว่าการพิจารณาคัดเลือกผู้ที่มาดำรงตำแหน่งผบ.ตร.นั้น ยังอยู่ในกระบวนการที่ดำเนินต่อไปและนายกฯ ก็รับฟังความคิดเห็นและเคารพของก.ต.ช.ทุกท่านเพียงแต่มีความห่วงใยรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่ว่า มีแหล่งข่าวจากก.ต.ช.ว่าเสนอชื่อครั้งแรกไม่ผ่านแล้วก็จะขาดคุณสมบัติทางกฎหมาย ผมยืนยันว่าจากการตรวจสอบจากฝ่ายกฎหมายไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ” นพ.บุรณัชย์กล่าว

ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าในระดับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะการแก้ไขปัญหาของประเทศยังคงมีอีกมาก คงไม่สะดุดเพราะปัญหานี้เพียงปัญหาเดียว ทางพรรคเองไม่ได้มีการหารือในประเด็นดังกล่าวเพราะเชื่อว่าเป็นการปล่อยข่าวเท่านั้น แม้จะมีกระแสข่าวพรรคภูมิใจไทยขู่ถอนตัว

**เด็ก ปชป.รับลูก เสนอมากกว่า 1 ชื่อผิดกฎหมาย
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเสนอบุคคลที่ เหมาะสมจะมาดำรงแหน่งผบ.ตร.ในชั้นยศ พล.ต.อ.ขึ้นไปนั้น เป็นตามกฎหมายและอำนาจโดยตรงของนายกฯ ส่วนอำนาจหน้าที่ของสำนักงานก.ต.ช. มีหน้าที่เพียงพิจารณาความถูกต้องรายชื่อที่นายกฯทำการเสนอมาเท่านั้น ซึ่งคณะกรรมการกตช.ไม่มีอำนาจที่จะขอให้นายกฯทำการเสนอบุคคลที่มีจะแต่งตั้งในตำแหน่งผบ.ตร.จำนวนมากกว่า 1 รายชื่อ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และประเพณีที่ปฏิบัติมาเนื่องจากในสมัยของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ก็มีการเสนอชื่อผบ.ตร.เพียงรายชื่อเดียว

เมื่อถามว่าหากก.ต.ช.ทำเกินอำนาจหน้าที่ของตนเองแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการอย่างไร นายสาธิต กล่าวว่า ต้องดูข้อกฎหมายอีกครั้ง ว่าสามารถทำอย่างไรได้บ้าง เช่นมติที่ให้เสนอชื่อเกิน 2 คนก็ต้องดูว่าสอดคล้องกลับกฎหมายที่เขียนไว้หรือไม่อย่างไร

** “ปฐมพงษ์” ย้ำ “สุเทพ-นิพนธ์” สองตัวยุ่ง สมควรถูกปลด
พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการ ข่าว “ยามเช้า ริมเจ้าพระยา” ทางเอเอสทีวี นิวส์ 1 ว่าใครก็แล้วแต่ที่อ้างสวนกุหลาบคอนเน็กชั่น โดยไปเชื่อมโยงให้คนอื่นเข้าใจผิดว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มีอะไรแอบแฝง ถือว่าไม่ให้เกียรติ ส่อแสดงให้เห็นว่าคนที่อ้างเป็นคนขี้ขลาด เพราะองคมนตรีเป็นศิษย์เก่าสวนกุหลาบ ตนทำงานกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มานาน ท่านให้เกียรติเสมอ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่ให้ความเป็นธรรม ยิ่งไปกว่านั้นหากอ้างสูงยิ่งแล้วเลย เพราะตนถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมานาน แต่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ท่านให้พระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรของพระองค์ท่านเสมอ ดังนั้น ใครก็แล้วแต่ที่อ้างเบื้องสูง ถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป็นพวกทำลายชาติ ทำลายกษัตริย์

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิงโดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัววุ่นที่สุดคือ สุเทพ ฉะนั้นต้องปลดไปเสีย คนที่สองคือ นิพนธ์ เลขาธิการนายกฯ เป็นพี่ภรรยาของนายสุเทพ ก็ต้องปลดไปด้วย เพราะทำให้เกิดความมัวหมองต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ต่อการแอบอ้างทั้งหลาย ดังนั้นทั้งสองคนนี้หากไม่อยากให้เสื่อมเสียเกียรติของตนเอง ให้ลาออก กับทาง นายกฯ เสีย เพื่อให้บ้านเมือง เป็นไปตามทำเนียมว่าใครคือคน ที่ควรจะเป็นผู้บริหารประเทศ และนายกฯ ต้องจำพระบรมราโชวาทวาท ของสมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีฯ)

“การรู้จักแยกแยะความดี ความเลว ความถูกต้องเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญมาก” “ในครอบครัวเรา ความรับผิดชอบเป็นของไม่ต้องคิด เป็นธรรมชาติ เราจะทำอะไรให้เมืองไทย ถ้าไม่มีความรับผิดชอบจะไปช่วยเมืองไทยได้อย่างไร” “ความพยายาม ความกล้าที่จะทำด้วยความเด็ดขาด ความอยากทำด้วยความเต็มใจ สามสิ่งนี้ควรให้มีติดตัวอยู่เสมอ นั่นแหละจะทำอะไรได้อย่างสำเร็จทุกอย่าง” และของในหลวงรัชการที่ 9 ที่บอกว่า “อย่าให้คนไม่ดีมีอำนาจ”

**เป็นทหารอย่าริเบ่ง กรรมจะตามสนอง
อย่างไรก็ตาม ผ่านมานายกฯ หลายๆ คนตัดสินใจไม่เด็ดขาด ก็เพราะว่าติดตรงเงินของพี่น้อง ของพรรค หรือของคนที่อุปถัมภ์ ตรงนี้เป็นสาเหตุให้การเมืองที่เป็นความหวังของคนที่ดีๆ ในระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้น ไม่ได้

“ผมอยากบอกไปถึงรุ่นพี่รุ่นน้องที่จบจากโรงเรียนนายร้อยด้วยกันว่า ผมรักรุ่นพี่รุ่นน้องทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่มีความรักชาติ สถาบัน นึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง อย่างนี้อย่าสัก แต่ว่าเรียนจบจากโรงเรียนเดียวกันตน แต่อย่างมาถือว่าเมื่อจบจากโรงเรียนเดียวกันจะเอายศมาเบ่งกัน ตนไม่เคย ใส่ใจ เพราะตนเกิดมาเพื่อชาติ ราชบัลลังก์ เกิดมาเพื่อแผ่นดินไทย ไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ใครเบ่งว่าเป็นรุ่นพี่” พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าว

**ย้ำนายกฯ ต้องสนองบรมราโชวาท อย่าให้คนชั่วมีอำนาจ
นอกจากจากภาพที่ออกมาระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ ระหว่างลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีด้วยกัน หากเป็นการเล่นละครนับว่าเป็นการกระทำที่ทุเรศมาก ไม่สมควรจะบริหารชาติบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่านายกฯ เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ และมีมารยาททางการเมือง ด้วยเหตุนี้ตนเชื่อว่านายกฯ คงไม่ได้ เล่นละคร

“บ้านเมืองนี้ท่านนายกฯ มีโอกาสบริหารแล้วอย่าให้คนชั่วมาแอบแฝงหรือให้คนชั่วมามีอำนาจ จำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้” ฉะนั้น อย่าได้คิดจะทำอะไรนอกลู่นอกทาง แม้กระทั่งไปสุราษฎร์ฯ เมื่อวานนี้ จะต้องแยกแยะให้ออกว่าการไปในช่วงภาวะวิกฤติอย่างนี้ ใครจะเอาเหตุการณ์นี้ไปแสวงหาประโยชน์บ้าง อะไรเป็นประโยชน์ต่อสวนรวม อะไรเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมือง เพราะฉะนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์ยังมีท่าทีอย่างนี้อยู่ ตนคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์แก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองไม่ได้ และเป็นเพียงพรรคการเมืองแต่ในนาม ที่จะให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น