xs
xsm
sm
md
lg

มุมอับของนายกฯ อภิสิทธิ์ กับข้อหาก่อการร้ายอันเป็นเท็จของแกนนำพันธมิตรฯ (บทความจากกัลยาณมิตรของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ )

เผยแพร่:   โดย: รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง /รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย

นายกฯอภิสิทธิ์โปรดฟัง!!

การตั้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายอันเป็นเท็จต่อแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยกลไกของรัฐไทยที่ท่านดูแลอยู่ มิใช่เรื่องเล็กน้อยที่นายกฯอภิสิทธิ์จะ “ลอยตัว” เหมือนอย่างที่กำลังทำอยู่ได้ ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านกำลังทำสิ่งที่พลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตและอาจเป็นตราบาปของท่านไปจนวันตาย

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนจำเป็นต้องวิพากษ์นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในฐานะกัลยาณมิตรหลังจากที่พยายามทำใจในหลายเรื่องที่รัฐบาลปัจจุบันได้ดำเนินการมาตลอดกว่า 6 เดือนที่ผ่านมาเพราะยังคิดว่ารัฐบาลนี้ยังคงเป็นคำตอบให้กับสังคมได้ไม่มากก็น้อย

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับพวกรวมถึง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ให้ไปรับทราบข้อหาก่อการร้ายโดยใช้การไปชุมนุมอยู่หน้าสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองของพันธมิตรฯเป็นพฤติกรรมประกอบในการกล่าวโทษ ผู้เขียนคิดว่าคงต้องยอมทำบาปตามที่สุเทพ เทือกสุบรรณกล่าวให้สัมภาษณ์เมื่อเร็วๆนี้เสียแล้ว

มีหลายบทความที่ให้ความเห็นในเชิงนิติศาสตร์เกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายต่อแกนนำพันธมิตรฯกับพวกในกรณีนี้ไว้มากซึ่งทั้งหมดอาจประมวลโดยสรุปได้ว่า “เป็นเท็จ” มากกว่า “เป็นจริง” และน่าจะเป็นประเด็นการเมืองมากกว่าประเด็นด้านกฎหมาย เพราะการก่อการร้ายในสามัญสำนึกของคนทั่วไปย่อมจะหมายถึงการใช้กำลังขู่เข็ญที่จะประทุษร้ายหรือทำลายคนหรือสิ่งของที่เอามาเป็นประกัน เพื่อให้รัฐหรือองค์กรใดๆยอมทำตามข้อเรียกร้องของผู้ก่อการร้าย และโดยข้อกฎหมายที่บัญญัติไว้ก็ไม่แตกต่างไปจากความเข้าใจของคนธรรมดาทั่วไปแต่ประการใด

แล้วเหตุไฉนการชุมนุมเรียกร้องหน้าสนามบินทั้ง 2 แห่งโดยปราศจากการใช้ความรุนแรงหรืออาวุธจึงกลายเป็นความผิดในเรื่องการก่อการร้ายไปได้หากไม่ใช่เอาการเมืองเป็นที่ตั้ง

ประเด็นที่อยากจะกล่าวในที่นี้จึงอยู่ที่รัฐบาลในฐานะผู้ดูแลรัฐซึ่งรวมถึงประชาชนทุกๆคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทำไมจึงไม่กำกับดูแลปล่อยให้กลไกของรัฐกล่าวหาประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยด้วยข้อหาอันเลื่อนลอยเป็นเท็จดุจดังเช่นสมัยรัฐบาลสมัครหรือสมชายที่ผ่านมาได้กระทำลงไป

ประชาชนจะขาดซึ่งความมั่นใจในความปลอดภัยที่รัฐไทยจะสามารถให้ได้ไปในบัดดล หากการชุมนุมเรียกร้องโดยสงบปราศจากอาวุธและความรุนแรง ตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิไว้ ดังเช่นที่พันธมิตรฯได้กระทำกลายเป็นการก่อการร้าย เพราะการกระทำของรัฐบาลที่ไม่เอาใจใส่ในการกำกับดูแลกลไกยุติธรรมตามหน้าที่ที่ตนเองมีอยู่

อย่าลืมอีกเช่นกันว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ออกเสียงลงมติรับรองกติกาสูงสุดนั่นคือรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ.2550 ที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการชุมนุมนี้ไว้โดยชัดแจ้ง และประชาชนก็หวังจะให้นายกฯอภิสิทธิ์หรือรัฐบาลใดก็ตามได้ปฏิบัติตามซึ่งหากไม่ทำตาม ประชาชนก็จะไม่ให้โอกาสท่านทำงาน

นายกฯอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเร็วนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศจะฟ้องนายกฯ ในฐานะประธาน ก.ตร. อันเนื่องมาจากพนักงานสอบสวนตั้งข้อหา "ก่อการร้าย" ต่อแกนนำพันธมิตรฯ 36 คนที่บุกยึดสนามบินไว้ว่า (ไทยโพสต์ 11 ก.ค.52)

"ผมไม่ได้แทรกแซง เพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ ถ้าเราเริ่มค่านิยมที่ว่าเป็นเรื่องของการเมืองที่จะชี้ นี่อันตรายมาก เพราะว่าคนดีอาจจะชี้ดี คนชั่วก็ชี้ชั่ว ที่สำคัญสุดท้ายคนที่มาอยู่ในอำนาจอาจจะไม่แยกว่าอะไรดีอะไรชั่ว ที่สุดต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ถ้าหากว่ากลุ่มพันธมิตรฯ คิดอยากจะสร้างการเมืองที่ดีกว่าปัจจุบัน ก็ไม่ควรสนับสนุนและมองว่าคนที่เป็นนักการเมืองจะต้องไปเกี่ยวข้องกับคดีความ"

นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวย้ำว่า ทั้งตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ไม่มีสิทธิ์ไปชี้คดี จะมีหน้าที่ก็เพียงเร่งรัดเวลาที่เห็นว่ามีความล่าช้าหรือคิดว่าไม่มีความเป็นธรรมจากกระบวนการใด แต่ในแง่การใช้ดุลพินิจต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการเมืองไม่ควรไปยุ่ง นายสุเทพก็ไม่เกี่ยว ตนก็ไม่เกี่ยว ไม่มีการกลั่นแกล้งใคร ไม่ว่าจะเป็นคดีของพันธมิตรฯ หรือว่าเสื้อแดง จะไม่ไปชี้ว่าอันนี้ต้องผิด อันนี้ต้องถูก เพราะสิ่งหนึ่งที่ต้องการสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองคือคนที่มีอำนาจทางการเมืองจะต้องไม่ไปยุ่งเรื่องพวกนี้ ถ้าตนมีความโน้มเอียงไปในทางหนึ่งทางใด ก็คงไม่ถูกตำหนิจากทั้งสองฝ่ายอย่างที่เป็นอยู่โดยกล่าวอีกว่า

"ผมไม่ได้ลอยตัว ดำรงความเป็นกลางอย่างที่ควรจะเป็น การลอยตัวคือการหนีความรับผิดชอบ แต่นี่ผมรับผิดชอบ จะสร้างบรรทัดฐานว่าคนเป็นผู้นำทางการเมืองจะไม่แทรกแซงหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีความ นอกจากเร่งรัดหรือมีการร้องเรียน อย่างเช่นการร้องเรียนขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวนเราก็ดูให้ แต่ถ้าต้องสั่งคดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ ผมทำถูกต้อง ไม่ใช่ลอยตัว"

ผู้เขียนอยากจะกล่าวเตือนสติท่านนายกฯอภิสิทธิ์ในฐานะกัลยาณมิตรอีกครั้งว่า ท่านกำลังทำผิดครั้งสำคัญอีกครั้งแล้ว!!

หากคนที่อาสาเข้ามาทำงานให้กับบ้านเมืองโดยเป็นผู้นำประเทศแล้วยังไม่รู้ว่าอะไรคือ “ความดี” แตกต่างไปจาก “ความชั่ว” อย่างไรและไม่มีมาตรฐานของ “ความดี” อยู่ในใจตนเอง ก็เปรียบเสมือนพ่อครัวหรือ “เถ้าชิ่ว” ที่แยกไม่ออกว่าอะไรหอมอะไรเหม็น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในวิชาชีพที่ตนเองต้องมี

อาหารจะอร่อย การปกครองจะดีไปได้อย่างไร

ผู้เขียนไม่ได้ถูกกล่าวหาไปด้วย แต่ก็ขอบอกความในใจว่าจะเป็นการดีหากจะมีการดำเนินคดีอื่นๆที่มิใช่ข้อหาก่อการร้ายหากมีพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ เพราะว่าอยากจะให้พันธมิตรฯได้ไปพิสูจน์ผ่านกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาล เพื่อที่จะอาศัยคำตัดสินของศาลสร้างบรรทัดฐานในเรื่องการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญปัจจุบันและแก้ข้อครหาต่างๆที่มีอยู่อย่างสะอาดหมดจด แต่ผู้เขียนคิดว่าไม่มีใครอยากถูกกล่าวหาในข้อหาที่มีโทษถึงประหารชีวิตโดยปราศจากพื้นฐานของข้อเท็จจริง เพราะนี่เป็นการกระทำของกลไกรัฐที่ชั่วร้ายมากและสมควรถูกประณามอย่างที่สุดจากทุกๆฝ่ายในสังคม

การที่นายกฯอภิสิทธิ์ปล่อยให้มีการกล่าวหาด้วยข้อหาที่รุนแรงโดยที่ท่านมิได้เข้ามากำกับดูแลว่าการกล่าวหาตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงหรือไม่ โดยอ้างแต่เพียงว่า เมื่ออยู่ในอำนาจ(ท่าน)อาจจะไม่(สามารถ)แยกว่าอะไรดีอะไรชั่ว ที่สุดต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ก็เปรียบเสมือนการยอมรับแล้วว่าท่านไม่มี “มาตรฐานของความดี” หรือหากมี ท่านก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกว่าท่านมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านคิด

โอ! นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนเริ่มรู้สึกผิดหวังในตัวท่านจริงๆ


ท่านจึงไม่มีความเป็นผู้นำที่จะสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองอย่างที่ท่านได้กล่าวอ้างไว้เพื่อให้ตัวเองหรือผู้อื่นในสังคมได้พึงยึดถือปฏิบัติเลย เพราะนายกฯอภิสิทธิ์ออกตัวแต่เพียงว่า “ดำรงความเป็นกลางอย่างที่ควรจะเป็น” ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร รู้เพียงแต่ว่าหากความดีคือ “ข้าว” และความเลวคือ “ขี้” ก็จะไม่เป็นกลางโดยกินข้าวผสมขี้อย่างแน่นอน

ความเป็นผู้นำที่มีมาตรฐานของความดีเป็นเรื่องสำคัญกับชาติ สงครามชิงหมู่เกาะฟอล์คแลนด์คืนจากอาร์เจนตินาในสมัยนายกรัฐมนตรีนางมากาเรต แธตเชอร์เป็นตัวอย่างที่ดี ทำใมเธอจึงสามารถชักจูงใจทำให้ประชาชนชาวอังกฤษเห็นดีเห็นชอบยอมส่งลูกหลานชาวอังกฤษไปตายในการรบเพื่อดินแดนที่อยู่ห่างไกลอังกฤษเป็นหมื่นไมล์จากเกาะอังกฤษที่มีจำนวนแกะมากกว่าคนและไม่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะคุ้มค่าอันใด มิใช่เพื่อหลักการของความเป็นชาติที่ไม่ยอมแพ้ต่อความไม่ถูกต้องดอกหรือ

แล้วนายกฯอภิสิทธิ์จะกล่าวอ้างว่าท่านแตกต่างไปจากทักษิณ ชินวัตร ที่มีจริยธรรมบกพร่องอย่างร้ายแรงได้อย่างไรลองนึกตรองดูหากเป็นมาตรฐานทักษิณจะยอมทำสิ่งที่ยากเช่นที่นายกฯแธตเชอร์ทำหรือไม่

ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังจะกลายพันธุ์เป็นคนเจ้าเล่ห์เหมือนทักษิณมากขึ้นทุกที เพียงแต่หล่อกว่าเท่านั้น หากท่านยังไม่สามารถแยกแยะ “ผิด- ถูก” และ “ชั่ว - ดี” ในเรื่องการตั้งข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จของแกนนำพันธมิตรฯได้

เพราะอย่างน้อยทักษิณ ชินวัตรก็เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาทีละน้อย ไม่ว่าจะเป็น การใช้เสียงข้างมากเป็นความถูกต้อง การที่คิดว่าสามารถเอาความดีมากลบความชั่วได้ ซึ่งเป็น “มาตรฐานความดี” ของทักษิณ ชินวัตรที่นายกฯอภิสิทธิ์น่าจะรู้ซึ้งเป็นอย่างดีมิใช่หรือในสมัยที่เป็นฝ่ายค้าน

การปกครองบ้านเมืองหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีคุณธรรมควบคู่กันไปไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด แม้กระทั่งในระบอบกษัตริย์ก็ยังต้องมีทศพิศราชธรรมเป็นมาตรฐานของผู้ปกครองที่พึงยึดถือ

ดังนั้น “ท่านจึงเกี่ยวข้องกับคดีความนี้ และสมควรอย่างยิ่งที่จะเกี่ยวข้อง” เพื่อสร้างบรรทัดฐานของความดีให้พึงมีในสังคม หากนายกฯอภิสิทธิ์ได้ตรวจสอบดูแล้วว่าข้อกล่าวหาที่มีต่อรัฐมนตรีกษิตมีมูลตามพื้นฐานของข้อเท็จจริง ท่านก็ควรปลดและออกหมายจับโดยทันทีไม่ควรให้ตำรวจออกหมายเรียกเพราะจะให้ผู้ก่อการร้ายลอยหน้าลอยตามาเป็นเจ้าภาพจัดประชุมหรือทำงานในนามประเทศไทยได้อย่างไร

แต่ในทางตรงกันข้าม ท่านกลับอยู่นิ่งเฉยมิได้อำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะหากเอาแต่กล่าวอ้างว่าท่านเกี่ยวข้องไม่ได้จะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ท่านกำลังเข้าใจผิดอย่างมหันต์ระหว่าง การแทรกแซง กับ อำนวย ความยุติธรรม หากท่านละเลยมิได้กำกับดูแลตามหน้าที่ที่ท่านมีอยู่แต่กลับปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น ตำรวจ ไปทำอะไรก็ได้ แล้วพร่ำบอกแต่เพียงว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชา ท่านกำลังละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพราะไม่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชานั้นจะตัดสินใจอย่างไร นอกจากความรับผิดชอบที่เขาเหล่านั้นจะต้องมีแล้ว อย่าได้ลืมว่าท่านในฐานะผู้กำกับดูแลที่เป็นผู้บังคับบัญชาก็หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบจากการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาไปไม่พ้นเพราะท่านมีหน้าที่กำกับดูแลแต่ละเว้นไม่ทำ

ไม่น่าเชื่อเลยสำหรับนิติศาสตร์บัณฑิตที่เรียนรู้กฎหมายมาแล้วเป็นอย่างดี แต่กลับเข้าใจผิดอย่างมหันต์เช่นนี้ได้

ความผิดประการที่สองและเป็นความผิดซ้ำซากของท่านก็คือการให้สุเทพ เทือกสุบรรณทำงานด้านความมั่นคงต่อไป

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะไปฟ้องนายกฯคงไม่ถูกต้อง ต้องฟ้องตนเพราะนายกฯ มอบหมายให้เป็นคนดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ท้าทาย ได้พูดไปแล้วว่าตนทำหน้าที่ไม่เข้าใครออกใคร ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ตามกฎหมาย ถ้าทำอะไรถูกใจเขาก็ชอบ ทำอะไรไม่ถูกใจเขาก็ชังเป็นธรรมดา

"ผมไม่ทราบว่ากลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนไหวเพราะเหตุใด แต่ถ้ามีใครกล่าวว่าร้ายคนในรัฐบาลซึ่งน่าจะหมายถึงผม ที่มุ่งร้ายจะเอาคุณกษิตออกเพราะต้องการตัดกำลังพรรคการเมืองใหม่ ใครที่คิดอย่างนั้นก็เป็นบาปต่อตัวเอง เพราะผมไม่ได้คิดอย่างนั้น"

เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องของสุเทพ เทือกสุบรรณที่จะต้องออกมารับผิดชอบตามแบบของนักเลงบ้านนอกแต่อย่างใด เพราะท่านเป็นเพียง “ตัวแทน” เท่านั้น มิใช่ “ตัวการ” หรือสุเทพอาจหลงคิดผิดไปว่าท่านนี้แหละเป็น “ตัวการ” เป็น prime minister maker เหมือนดังเช่น ป๋าเหนาะอวดอ้างเป็นประจำว่าตนเองเป็นผู้สร้างนายกฯมาแล้วหลายคนในขณะที่อภิสิทธิ์ผู้ที่เป็นนายกฯและมอบหมายให้ท่านไปทำงานแทนเป็นเพียง “ตัวแทน” หรือ “เด็กสร้าง” เท่านั้น เพราะทุกอย่างท่านจัดการเองได้ทั้งหมดตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลมาแล้ว

การที่มีชื่อรัฐมนตรีต่างประเทศกษิต เข้าไปในรายชื่อผู้ต้องหาก่อการร้ายเป็นตัวต่อสำคัญและเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่าประเด็นด้านกฏหมายที่ชี้ให้เห็นว่า ขณะนี้การเมืองไทยกำลังอยู่ในรอบรองชนะเลิศที่จะต้องแข่งขันตัดเชือกระหว่างคู่แข่งขันเพื่อที่จะหาคู่ชิงในรอบชิงชนะเลิศที่กำลังจะมีขึ้นในการเลือกตั้งที่กำลังใกล้เข้ามา

สีฟ้ากำลังจะเตะตัดขาสีเหลือง ในขณะที่สีน้ำเงินกำลังหาทางพิชิตสีแดง และทั้งสีฟ้าและสีน้ำเงินก็อาจกำลังใช้บริการของสีกากีและสีเขียวอยู่ก็เป็นได้ เป็นการแยกกันเดินและรวมกันตีเพื่อหวังผลเป็นผู้กุมชัยชนะร่วมกัน เพราะหากสีฟ้าเอาชนะสีเหลือง และสีน้ำเงินข่มสีแดงได้ สีฟ้ากับสีน้ำเงินก็สามารถร่วมมือกันเอาชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าและร่วมกันเป็นผู้ปกครองต่อไปได้โดยไม่ยาก

เหตุที่คิดบาปเช่นนั้นก็เพราะพฤติกรรมของพวกท่านที่ปรากฏต่อสาธารณชนทำให้เข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็น

การยินยอมและยินดีใช้ผบ.ตร.ที่เป็นน้องชายรัฐมนตรีฯกลาโหมที่ท่านไปเชิญมาทั้งๆที่ถูกย้ายไปประจำสำนักนายกฯตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วด้วยข้อกล่าวหาประพฤติมิชอบ การโยกย้ายกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมโดยไม่มีการสะสางข้อกล่าวหาที่มีก่อนหน้าที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะเข้ารับตำแหน่งเพียง 1 วันโดยฝ่ายสีน้ำเงินก็ดี และการที่ ผบ.ตร.ท่านนี้ก็ไม่ทำให้ปรากฏซึ่งความรู้ความสามารถหรือความรับผิดชอบใดๆเลยตั้งแต่กลับมาดำรงตำแหน่งเดิม แม้กระทั่งต่อการห้ามปรามการสังหารประชาชนผุ้บริสุทธิ์เมื่อ 7 ต.ค.51หรือกรณีจลาจลเผาบ้านเผาเมืองเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ท่านรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงท่านเกรงใจใครอยู่หรือ แต่ที่แน่ๆก็คือท่านไม่เกรงใจประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่ท่านใช้อยู่

การอาศัยบริการสีน้ำเงินที่พัทยาจนทำให้การประชุมระดับโลกที่ไทยเป็นจ้าภาพล้มไม่เป็นท่า จนบัดนี้ยังไม่สามารถเยียวยาให้เกิดการประชุมครั้งใหม่ได้ สร้างความเสื่อมเสียกับชื่อเสียงเกียรติคุณของประเทศไทยไปทั่วโลก มิหนำซ้ำยังมิได้กำกับดูแลเร่งรัดให้มีการฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุดังกล่าวที่ก่อการจลาจลเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาจนกระทั่งต้องมีการปล่อยตัวไปเพราะหมดอำนาจฝากขัง ท่านไม่แทรกแซงหรือไม่อำนวยความยุติธรรมกันแน่

การไม่มีความคืบหน้าในคดีลอบสังหารคุณสนธิ ลิ้มทองกุลอย่างอุกอาจกลางกรุงระหว่างการประกาศกฏหมายความมั่นคง แม้กระทั่งมีข่าวว่าคณะผู้สอบสวนเจอ “ตอ” ท่านก็มิได้มีความกระตือลือล้นที่จะจัดการอะไรทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงและเวลาผ่านไปกว่า 3 เดือนเศษแล้ว ท่านอำนวยความยุติธรรมแบบไหนกันแน่

การถูกฝ่ายกัมพูชาใช้การยั่วยุดูถูกฝ่ายไทยผ่านสื่อสารมวลชนกรณีเขาพระวิหาร

การไปเจรจากับกัมพูชาถึง 2 ครั้งติดๆกันโดยไม่ได้มีการแถลงว่าไปเจรจาเรื่องอะไรกันแน่ และที่สำคัญก็คือ ทำไมไปแย่งงานต่างประเทศของคุณกษิตทำ เป็นการสุ่มเสี่ยงเกินไปหรือไม่จากการกระทำของสุเทพที่ไม่มีประสบการณ์ความรู้ความชำนาญด้านการต่างประเทศเลยที่อาจจะทำให้มีการเสียดินแดนไทยอีกครั้งหลังยุคล่าอาณานิคม

ถ้าหากว่าจะเป็นบาปก็ขอยอมลงนรกแทนสุเทพก็แล้วกันเพราะการกระทำของท่านหากไม่ผิดพลาดก็ไร้ซึ่งประสิทธิภาพ และนำมาซึ่งความเคลือบแคลงน่าสงสัยในพฤติกรรม

ในฐานะของผู้บริหารประเทศที่เจ้าของประเทศมีเหตุอันควรหรือไม่ที่จะสงสัยในพฤติกรรม ความรู้ความสามารถ และความซื่อสัตย์ต่อผลประโยชน์ของประชาชนของสุเทพ เทือกสุบรรณ

หมดสมัยแล้วที่นายกฯอภิสิทธิ์จะเล่นบทมือสะอาดเป็นเทพขณะที่เลขาฯพรรคเล่นบทมือสกปรกเป็นมาร เพราะไม่ว่าอย่างไรนายกฯอภิสิทธิ์ก็หนีความรับผิดชอบไปไม่พ้นไม่ว่าสุเทพจะทำหรือไม่ก็ตาม

หากมาตรฐานหรือกฎเหล็กที่นายกฯอภิสิทธิ์ได้เคยประกาศไว้ว่านักการเมืองที่ท่านกำกับดูแลอยู่ต้องมีสูงมากกว่ามาตรฐานตามกฎหมาย สุเทพ เทือกสุบรรณ น่าจะได้รับเกียรติเป็นไก่ตัวแรกมากกว่ากษิตที่ท่านควรจะเชือดให้ลิงดูเพื่อให้เห็นว่าท่านเอาจริงในสิ่งที่ท่านได้ให้สัญญาต่อประชาชนเอาไว้

เพราะการเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงแต่ขาดซึ่งความรู้ความสามารถจนเป็นที่ประจักษ์ว่าได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการอย่างร้ายแรงหลายๆครั้งที่ผ่านมาในขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่
ดังจะเห็นได้จากการออกมายอมรับว่าถูกหลอกให้ตายกลางอากาศในการดูแลความมั่นคงในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ในขณะที่พฤติกรรมที่มีในปัจจุบันก็ส่อไปในทางที่น่าสงสัยเคลือบแคลง และอาจนำมาซึ่งความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตก็เป็นเหตุผลที่สมควรและพอเพียงแล้วมิใช่หรือกับ “มาตรฐาน”ทางการเมืองของนายกฯอภิสิทธิ์

เมื่อเทียบกับพฤติกรรมของกษิตที่มีเพียงปากและสมองเป็นอาวุธกับข้อหาก่อการร้ายยึดสนามบินที่เกิดขึ้นก่อนเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่ในขณะที่ดำรงตำแหน่งกลับปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่าทักษิณให้กลับเข้ามารับโทษโดยการยกเลิกหนังสือเดินทางและการดำเนินการทางการทูตในลักษณะอื่นๆที่ไม่เห็นรัฐมนตรีต่างประเทศหน้าไหนก่อหน้านี้สามารถทำได้

ขณะที่สุเทพที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความมั่นคงทั้งฝ่ายทหารและตำรวจที่ผ่านมาที่ถูกหลอกหรือเต็มใจให้หลอกก็มิอาจรู้ได้ในช่วงสงกรานต์จลาจล ซึ่งไม่รู้ว่าครั้งหน้าหากผิดพลาดจะหาเหตุแก้ตัวอะไรอีก แต่จนถึงปัจจุบันแม้กระทั่งการถอดยศผู้ถูกคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างเช่น ทักษิณ ก็ยังดำเนินการให้สำเร็จไปไม่ได้ ท่านคิดว่าใครที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศไทยที่ท่านกำกับดูแลอยู่มากกว่ากันแน่

หรือว่าท่านมี 2 มาตรฐานเหมือนดังเช่นทักษิณ เพราะท่านใช้กษิตมาทำในสิ่งที่ท่านไม่อยากหรือไม่กล้าทำอย่างคุ้มค่าแล้ว ท่านอาจไม่อยากจะเปลืองตัวออกรับหน้ากับฝ่ายค้านหรือสื่อมวลชนให้กับกษิตอีกต่อไป การกระทำของนายกฯอภิสิทธิ์ที่จะปรากฏต่อไปนับจากนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีเพราะประวัติศาสตร์ไม่เคยโกหกเหมือนเช่นนักการเมือง

ผู้เขียนใคร่อยากจะเตือนในฐานะกัลยานมิตรว่า การบีบให้รัฐมนตรีกษิตลาออกโดยข้อกล่าวหาก่อการร้ายไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม โดยที่ท่านไม่ใส่ใจอำนวยความยุติธรรมให้ จะไม่เป็นผลดีและจะเป็นบุมเมอแรงกลับมาหาท่านในที่สุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่กษิตต้องลาออกเพราะข้อกล่าวหานี้ จะมีบรูตุสถามขึ้นมาทันทีว่าใครละเป็นคนแต่งตั้งผู้ก่อการร้ายเป็นรัฐมนตรี และเมื่อผู้ก่อการร้ายผู้นั้นต้องออกจากตำแหน่งไปแล้วผู้แต่งตั้งก็ต้องออกไปเช่นกันใช่หรือไม่

ข้อย้ำอีกครั้งจากที่เคยกล่าวมาแล้วว่า นายกฯอภิสิทธิ์ มิใช่แมวที่มีเก้าชีวิต แต่หากนำชีวิตตัวเองเข้ามุมอับเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ ต่อให้มีเก้าชีวิตก็คิดว่าไม่เพียงพออย่างแน่นอน
 
 
 


*เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด
กำลังโหลดความคิดเห็น