และแล้วนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้รับการแจ้งข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าต้องหาในความผิดทางอาญาฐานก่อการร้ายสากล ซึ่งสร้างความตะลึงงันให้แก่ประชาชนและบรรดาผู้รักความเป็นธรรมทั้งปวง
พลันที่มีการตั้งข้อหา ก็เกิดการขับเคลื่อนเป็นขบวนใหญ่จากผู้คนในระบอบทักษิณ กดดันเรียกร้องในทุกวิถีทางให้นายกษิต ภิรมย์ ลาออกจากตำแหน่ง
ขณะเดียวกันก็มีเรื่องทะแม่งๆ เกิดขึ้นในวงรัฐบาล โดยรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงควงแขนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกไปเจรจาความเมืองกับนายฮุนเซนถึงแดนกัมพูชาถึง 2 ครั้ง ในเวลาห่างกันเพียงแค่สัปดาห์เดียว โดยไม่มีนายกษิต ภิรมย์ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในกิจการด้านต่างประเทศร่วมคณะเดินทางไปด้วย
เป็นการเดินทางไปเจรจาความเมืองโดยที่ประชาชนเจ้าของประเทศไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าไปเจรจากันเรื่องอะไร ตกลงอะไรกันบ้าง คงได้ยินแต่ข่าวอันสับสนว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาลในอ่าวไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของราชอาณาจักรไทยในพื้นที่อ่าวไทย ยึดโยงขึ้นไปตลอดแนวชายแดนภาคตะวันออก อีสานใต้และอีสานเหนือ
จึงเกิดความกังขาในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางว่าเป็นเรื่องอันใดกันแน่ และเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงว่าไม่มีการตกลงเรื่องใดๆ กัน ไทยยังคงรักษาจุดยืนดังเดิมถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในเวลาแค่ 2 วันติดต่อกัน
เกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองของเรา? เกิดอะไรขึ้นในวงรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ? และเกิดอะไรขึ้นต่อภาคประชาชน โดยเฉพาะประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ทั่วประเทศ?
มันเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่งที่เหตุการณ์และปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ประหนึ่งสอดรับประสานงานกัน และเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการจัดขบวนไล่ล่าตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในต่างประเทศเพื่อนำตัวกลับมารับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
อันข้อหาการก่อการร้ายสากลนั้น เป็นกฎหมายใหม่ที่ยังไม่เคยมีการบังคับใช้กับคนไทยคนใดมาก่อนเลย แต่เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญาที่รุนแรงหนักหนาสาหัส พอๆ กันกับการก่อการกบฏในราชอาณาจักร
องค์ประกอบสำคัญของการทำความผิดฐานก่อการร้ายสากลคือการใช้กำลังประทุษร้ายต่อระบบขนส่งสาธารณะของประเทศ และในเรื่องอื่นๆ
อะไรคือการใช้กำลังประทุษร้าย? ไม่มีระบุไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ดังนั้นจึงต้องใช้ข้อบัญญัติของสหประชาชาติซึ่งเป็นแม่บทของการก่อการร้ายสากล นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการประทุษร้ายนั้นจะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่มีการวางเพลิงเผา ฆ่าประชาชน วางระเบิด หรือจับตัวประกัน เพื่อบังคับรัฐให้ยอมกระทำการตามที่ขบวนการก่อการร้ายสากลต้องการ
แล้วมาดูกันว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ว่าที่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินดอนเมืองก็ดี เขาทำอะไรกันบ้าง? เพื่อพิจารณาว่าจะเข้าลักษณะตามข้อบัญญัติของสหประชาชาติ และเข้าองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานก่อการร้ายสากลหรือไม่
ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการชุมนุมดังกล่าวนั้นมีกิจกรรมที่กระทำเพียง 3 อย่างเท่านั้น คือการนั่งหรือยืนอย่างหนึ่ง การร้องรำทำเพลงอย่างหนึ่ง และการกล่าวปราศรัยอีกอย่างหนึ่ง
ไม่มีการกระทำใดที่มีลักษณะวางเพลิง หรือฆ่า หรือระเบิด หรือจับตัวประกัน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียหายจากการชุมนุมดังกล่าวนั้นเลย จะมีก็แต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกมือมืดใช้อาวุธสงครามถล่มจนบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน และถึงวันนี้ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้
ดังนั้นโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การชุมนุมนั้นจึงไม่ใช่เป็นการก่อการร้ายสากล และไม่เป็นความผิดใดๆ ตามกฎหมายฐานก่อการร้ายสากลเลย
นอกจากนั้น สำหรับตัวนายกษิต ภิรมย์ ก็เป็นที่รู้กันทั่วประเทศว่าไม่ได้เป็นแกนนำหรือไม่ได้ร่วมนำขบวนไปจัดการชุมนุมที่บริเวณสนามบินทั้งสองแห่ง จึงไม่ใช่ผู้ใช้ ผู้วาน หรือผู้สั่ง หรือผู้จัดการชุมนุม
นายกษิต ภิรมย์ เข้าเกี่ยวข้องก็เฉพาะการไปปราศรัยหลังจากมีการชุมนุมเกิดขึ้นแล้ว และไปปราศรัยเป็นบางครั้งเป็นบางวันเท่านั้น ในการปราศรัยก็ไม่เคยชักชวนหรือยุยงหรือชี้นำให้มีการเผา ให้มีการวางระเบิด ให้มีการฆ่า หรือให้มีการจับตัวประกันใดๆ
ดังนั้นนายกษิต ภิรมย์ จึงไม่สมควรและไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำหรือเป็นผู้ใช้ ผู้จ้าง ผู้วาน ให้มีการหรือผู้ก่อการร้ายสากล
เหตุนี้คนจำนวนมากจึงรู้สึกไม่สบายใจและมีความเคลือบแคลงสงสัยในใจในกระบวนการยุติธรรม บุคคลสำคัญในรัฐบาล ในวุฒิสภา ในสภาผู้แทนราษฎร ในสถาบันการศึกษา และผู้นำภาคประชาสังคมต่างๆ พากันออกความเห็นตำหนิติเตียนว่ากรณีเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งยัดเยียดข้อหาที่เกินจริง
เพื่อหวังกำจัดนายกษิต ภิรมย์ ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และแน่นอนว่าย่อมเชื่อมโยงหรือกระทบกับการจัดขบวนไล่ล่าตามหานักโทษที่หลบหนีหมายจับของศาลด้วย
เรื่องเพียงแค่นี้มีหรือที่คนไทยจะไม่รู้เท่าทัน ดังนั้นผู้คนจึงตั้งข้อเพ่งเล็งว่ามีมือที่มองไม่เห็นที่เป็นอธรรมขยายกรงเล็บปีศาจเข้ามายุ่มย่ามในกระบวนการยุติธรรมเพื่อหวังกำจัดนายกษิต ภิรมย์ ให้พ้นไปจากครรลองแห่งอำนาจ เพื่อส่งผลให้กระบวนการตามล่าหานักโทษต้องหยุดลงไปด้วยนั่นเอง
กรณีที่เกิดขึ้นนั้นได้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยว่าเงื้อมมือแห่งอธรรมที่ยุ่มย่ามเข้ามาถึงกระบวนการยุติธรรมนั้นมีพลัง และมีขุมข่ายที่ซับซ้อนซ่อนมีดอย่างน่าจับตายิ่ง เพราะหาไม่แล้วไหนเลยการใหญ่ถึงปานนี้จะเกิดขึ้นได้
ถ้าจะกล่าวให้ถึงที่สุด ก็อาจกล่าวได้ว่าจุดนี้คือจุดพลาดของมือที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นอธรรมนั้น เพราะแม้คนไทยจะมองไม่เห็นมือแห่งอธรรมที่เข้ามายุ่มย่ามก็ตาม แต่ร่องรอยและหลักฐานตลอดจนความจริงที่ประจักษ์ขึ้นต่อสายตาประชาชนนั้น ก็ทำให้คนไทยสามารถมองเห็นได้ว่าเงื้อมมือแห่งอธรรมขยุ้มขย้ำที่ตรงไหน โยงใยไปถึงไหน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ถูกปรามาสว่าเป็นเด็กน้อย มิได้หลงกลของขบวนการดังกล่าว ดังนั้นในทันทีที่ปรากฏข่าวนี้ นายกรัฐมนตรีจึงได้แถลงข่าวแสดงท่าทีที่ให้นายกษิต ภิรมย์ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต่อไป
เห็นหรือยังว่านายกรัฐมนตรีหนุ่มที่เคยถูกปรามาสนั้น นอกจากไม่ไร้เดียงสาแล้ว ยังคมกล้าขนาดไหน เพราะนั่นคือการรู้การเห็นการเข้าใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
เพราะทันทีที่นายกษิต ภิรมย์ หากยื่นใบลาออกแล้ว เป้าหมายย่อมไม่จบอยู่แค่นายกษิต ภิรมย์ เท่านั้น แต่เงื้อมมืออธรรมนั้นจะพุ่งตรงไปที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อไปในทันที
แหล่งข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคงเผยความนัยให้ได้รู้ว่า ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวกดดันเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ ลาออกจากตำแหน่งนั้น ได้มีการประชุมเตรียมการอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยคาดหวังว่านายกษิต ภิรมย์ จะทนแรงกดดันไม่ได้ แล้วลาออก ก็จะเกิดขบวนขับเคลื่อนต่อไปในทางเรียกร้องกดดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามไปด้วย
ด้วยข้อหาว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีทำความผิดพลาดแต่งตั้งผู้ก่อการร้ายให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
มีหรือคนที่ถูกลอบสังหารอย่างน้อย 3 ครั้ง จะไม่รู้ทันเล่ห์ร้ายที่ตื้นกว่าแบบนี้ ดังนั้นในเวลาไล่เลี่ยกันจึงมีสัญญาณไปถึงนายกษิต ภิรมย์ ซึ่งอยู่ในต่างประเทศ และเกิดผลต่อมาคือการแถลงยืนยันของนายกษิต ภิรมย์ ว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง
เพราะยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายทั้งปวง ทั้งยังเป็นฝ่ายธรรมะที่กำลังถูกอธรรมย่ำยีบดขยี้ ณ ด่านหน้าของสมรภูมิ โดยมีเป้าหมายใหญ่ทางยุทธศาสตร์คือตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างหาก
ความพ่ายแพ้ของนายกษิต ภิรมย์ หากเกิดขึ้นก็จะเชื่อมโยงและแยกไม่ออกกับสถานะและความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วย
เพราะเหตุนี้บรรดาผู้รักความเป็นธรรมทั้งปวงและมิได้หลงกลอุบายอันร้ายกาจนี้จึงได้พร้อมเพรียงกัน “ประณามพาล พิทักษ์ธรรม” อย่างกึกก้องทั้งแผ่นดิน.
พลันที่มีการตั้งข้อหา ก็เกิดการขับเคลื่อนเป็นขบวนใหญ่จากผู้คนในระบอบทักษิณ กดดันเรียกร้องในทุกวิถีทางให้นายกษิต ภิรมย์ ลาออกจากตำแหน่ง
ขณะเดียวกันก็มีเรื่องทะแม่งๆ เกิดขึ้นในวงรัฐบาล โดยรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงควงแขนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกไปเจรจาความเมืองกับนายฮุนเซนถึงแดนกัมพูชาถึง 2 ครั้ง ในเวลาห่างกันเพียงแค่สัปดาห์เดียว โดยไม่มีนายกษิต ภิรมย์ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในกิจการด้านต่างประเทศร่วมคณะเดินทางไปด้วย
เป็นการเดินทางไปเจรจาความเมืองโดยที่ประชาชนเจ้าของประเทศไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าไปเจรจากันเรื่องอะไร ตกลงอะไรกันบ้าง คงได้ยินแต่ข่าวอันสับสนว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาลในอ่าวไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของราชอาณาจักรไทยในพื้นที่อ่าวไทย ยึดโยงขึ้นไปตลอดแนวชายแดนภาคตะวันออก อีสานใต้และอีสานเหนือ
จึงเกิดความกังขาในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางว่าเป็นเรื่องอันใดกันแน่ และเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงว่าไม่มีการตกลงเรื่องใดๆ กัน ไทยยังคงรักษาจุดยืนดังเดิมถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในเวลาแค่ 2 วันติดต่อกัน
เกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองของเรา? เกิดอะไรขึ้นในวงรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ? และเกิดอะไรขึ้นต่อภาคประชาชน โดยเฉพาะประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ทั่วประเทศ?
มันเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่งที่เหตุการณ์และปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ประหนึ่งสอดรับประสานงานกัน และเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการจัดขบวนไล่ล่าตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในต่างประเทศเพื่อนำตัวกลับมารับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
อันข้อหาการก่อการร้ายสากลนั้น เป็นกฎหมายใหม่ที่ยังไม่เคยมีการบังคับใช้กับคนไทยคนใดมาก่อนเลย แต่เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญาที่รุนแรงหนักหนาสาหัส พอๆ กันกับการก่อการกบฏในราชอาณาจักร
องค์ประกอบสำคัญของการทำความผิดฐานก่อการร้ายสากลคือการใช้กำลังประทุษร้ายต่อระบบขนส่งสาธารณะของประเทศ และในเรื่องอื่นๆ
อะไรคือการใช้กำลังประทุษร้าย? ไม่มีระบุไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ดังนั้นจึงต้องใช้ข้อบัญญัติของสหประชาชาติซึ่งเป็นแม่บทของการก่อการร้ายสากล นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการประทุษร้ายนั้นจะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่มีการวางเพลิงเผา ฆ่าประชาชน วางระเบิด หรือจับตัวประกัน เพื่อบังคับรัฐให้ยอมกระทำการตามที่ขบวนการก่อการร้ายสากลต้องการ
แล้วมาดูกันว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ว่าที่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินดอนเมืองก็ดี เขาทำอะไรกันบ้าง? เพื่อพิจารณาว่าจะเข้าลักษณะตามข้อบัญญัติของสหประชาชาติ และเข้าองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานก่อการร้ายสากลหรือไม่
ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการชุมนุมดังกล่าวนั้นมีกิจกรรมที่กระทำเพียง 3 อย่างเท่านั้น คือการนั่งหรือยืนอย่างหนึ่ง การร้องรำทำเพลงอย่างหนึ่ง และการกล่าวปราศรัยอีกอย่างหนึ่ง
ไม่มีการกระทำใดที่มีลักษณะวางเพลิง หรือฆ่า หรือระเบิด หรือจับตัวประกัน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียหายจากการชุมนุมดังกล่าวนั้นเลย จะมีก็แต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกมือมืดใช้อาวุธสงครามถล่มจนบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน และถึงวันนี้ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้
ดังนั้นโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การชุมนุมนั้นจึงไม่ใช่เป็นการก่อการร้ายสากล และไม่เป็นความผิดใดๆ ตามกฎหมายฐานก่อการร้ายสากลเลย
นอกจากนั้น สำหรับตัวนายกษิต ภิรมย์ ก็เป็นที่รู้กันทั่วประเทศว่าไม่ได้เป็นแกนนำหรือไม่ได้ร่วมนำขบวนไปจัดการชุมนุมที่บริเวณสนามบินทั้งสองแห่ง จึงไม่ใช่ผู้ใช้ ผู้วาน หรือผู้สั่ง หรือผู้จัดการชุมนุม
นายกษิต ภิรมย์ เข้าเกี่ยวข้องก็เฉพาะการไปปราศรัยหลังจากมีการชุมนุมเกิดขึ้นแล้ว และไปปราศรัยเป็นบางครั้งเป็นบางวันเท่านั้น ในการปราศรัยก็ไม่เคยชักชวนหรือยุยงหรือชี้นำให้มีการเผา ให้มีการวางระเบิด ให้มีการฆ่า หรือให้มีการจับตัวประกันใดๆ
ดังนั้นนายกษิต ภิรมย์ จึงไม่สมควรและไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำหรือเป็นผู้ใช้ ผู้จ้าง ผู้วาน ให้มีการหรือผู้ก่อการร้ายสากล
เหตุนี้คนจำนวนมากจึงรู้สึกไม่สบายใจและมีความเคลือบแคลงสงสัยในใจในกระบวนการยุติธรรม บุคคลสำคัญในรัฐบาล ในวุฒิสภา ในสภาผู้แทนราษฎร ในสถาบันการศึกษา และผู้นำภาคประชาสังคมต่างๆ พากันออกความเห็นตำหนิติเตียนว่ากรณีเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งยัดเยียดข้อหาที่เกินจริง
เพื่อหวังกำจัดนายกษิต ภิรมย์ ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และแน่นอนว่าย่อมเชื่อมโยงหรือกระทบกับการจัดขบวนไล่ล่าตามหานักโทษที่หลบหนีหมายจับของศาลด้วย
เรื่องเพียงแค่นี้มีหรือที่คนไทยจะไม่รู้เท่าทัน ดังนั้นผู้คนจึงตั้งข้อเพ่งเล็งว่ามีมือที่มองไม่เห็นที่เป็นอธรรมขยายกรงเล็บปีศาจเข้ามายุ่มย่ามในกระบวนการยุติธรรมเพื่อหวังกำจัดนายกษิต ภิรมย์ ให้พ้นไปจากครรลองแห่งอำนาจ เพื่อส่งผลให้กระบวนการตามล่าหานักโทษต้องหยุดลงไปด้วยนั่นเอง
กรณีที่เกิดขึ้นนั้นได้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยว่าเงื้อมมือแห่งอธรรมที่ยุ่มย่ามเข้ามาถึงกระบวนการยุติธรรมนั้นมีพลัง และมีขุมข่ายที่ซับซ้อนซ่อนมีดอย่างน่าจับตายิ่ง เพราะหาไม่แล้วไหนเลยการใหญ่ถึงปานนี้จะเกิดขึ้นได้
ถ้าจะกล่าวให้ถึงที่สุด ก็อาจกล่าวได้ว่าจุดนี้คือจุดพลาดของมือที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นอธรรมนั้น เพราะแม้คนไทยจะมองไม่เห็นมือแห่งอธรรมที่เข้ามายุ่มย่ามก็ตาม แต่ร่องรอยและหลักฐานตลอดจนความจริงที่ประจักษ์ขึ้นต่อสายตาประชาชนนั้น ก็ทำให้คนไทยสามารถมองเห็นได้ว่าเงื้อมมือแห่งอธรรมขยุ้มขย้ำที่ตรงไหน โยงใยไปถึงไหน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้ที่ถูกปรามาสว่าเป็นเด็กน้อย มิได้หลงกลของขบวนการดังกล่าว ดังนั้นในทันทีที่ปรากฏข่าวนี้ นายกรัฐมนตรีจึงได้แถลงข่าวแสดงท่าทีที่ให้นายกษิต ภิรมย์ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต่อไป
เห็นหรือยังว่านายกรัฐมนตรีหนุ่มที่เคยถูกปรามาสนั้น นอกจากไม่ไร้เดียงสาแล้ว ยังคมกล้าขนาดไหน เพราะนั่นคือการรู้การเห็นการเข้าใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
เพราะทันทีที่นายกษิต ภิรมย์ หากยื่นใบลาออกแล้ว เป้าหมายย่อมไม่จบอยู่แค่นายกษิต ภิรมย์ เท่านั้น แต่เงื้อมมืออธรรมนั้นจะพุ่งตรงไปที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อไปในทันที
แหล่งข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคงเผยความนัยให้ได้รู้ว่า ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวกดดันเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ ลาออกจากตำแหน่งนั้น ได้มีการประชุมเตรียมการอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยคาดหวังว่านายกษิต ภิรมย์ จะทนแรงกดดันไม่ได้ แล้วลาออก ก็จะเกิดขบวนขับเคลื่อนต่อไปในทางเรียกร้องกดดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามไปด้วย
ด้วยข้อหาว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีทำความผิดพลาดแต่งตั้งผู้ก่อการร้ายให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
มีหรือคนที่ถูกลอบสังหารอย่างน้อย 3 ครั้ง จะไม่รู้ทันเล่ห์ร้ายที่ตื้นกว่าแบบนี้ ดังนั้นในเวลาไล่เลี่ยกันจึงมีสัญญาณไปถึงนายกษิต ภิรมย์ ซึ่งอยู่ในต่างประเทศ และเกิดผลต่อมาคือการแถลงยืนยันของนายกษิต ภิรมย์ ว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง
เพราะยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายทั้งปวง ทั้งยังเป็นฝ่ายธรรมะที่กำลังถูกอธรรมย่ำยีบดขยี้ ณ ด่านหน้าของสมรภูมิ โดยมีเป้าหมายใหญ่ทางยุทธศาสตร์คือตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างหาก
ความพ่ายแพ้ของนายกษิต ภิรมย์ หากเกิดขึ้นก็จะเชื่อมโยงและแยกไม่ออกกับสถานะและความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วย
เพราะเหตุนี้บรรดาผู้รักความเป็นธรรมทั้งปวงและมิได้หลงกลอุบายอันร้ายกาจนี้จึงได้พร้อมเพรียงกัน “ประณามพาล พิทักษ์ธรรม” อย่างกึกก้องทั้งแผ่นดิน.