“คำนูณ” ชี้ทางออกประเทศไทย คณะกรรมการสมานฉันท์ เร่งสร้างสมานฉันท์-ปฎิรูปการเมือง จนให้ได้ฉันทามติก่อนค่อยแก้รธน. และหากแก้ควรแก้ มาตรา 291 เพื่อเปิดทางให้มี ส.ส.ร.3 พร้อมปิดทางนักการเมืองร่วมยกร่าง "จาตุรนต์" เห็นต่าง บอกนิรโทษก็ไม่จบ เพราะจะมีคนไม่ยอมรับ และอาจเป็นเงื่อนไขรัฐประหารได้ ทางออกต้องเดินหน้าแก้รธน. เลือกตั้งใหม่
วานนี้ (21 ส.ค.) นักศึกษาสถาบันพัฒนาพรรคการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูงของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดสัมมนาเรื่อง “ทางออกประเทศไทยกับข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์” นายดิเรก ถึงฝั่ง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯชุดนี้ไม่ใช่การซื้อเวลา แต่ข้อเสนอว่า จะต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับสมานฉันท์ ที่อาศัยหลักนิติธรรม นิติรัฐ มีกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพราะไม่เป็นธรรม คนไม่ได้ทำความผิดกลับถูกลงโทษไปด้วย การยุบพรรคก็ไม่ถูกต้อง พรรคการเมืองมีความสำคัญ ต้องส่งเสริมให้เข้มแข็ง แต่กลับถูกยุบแล้วยุบอีก ถือว่าไม่สร้างความเข้มแข็งให้ประชาธิปไตย โดยสรุปให้ตั้ง ส.ส.ร. 3 ขึ้นมาด้วย
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เห็นด้วยกับที่คณะกรรมการฯเรื่องความเป็นธรรม ความสามัคคี เพื่อชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ไม่เห็นด้วยที่ กก.สมานฉันท์ บอกให้ถอยคนละก้าว เพราะถ้าจะถอย ต้องถอยอย่างเป็นธรรม ในบทนำรายงานของคณะกรรมการฯ มีการบอกว่า รธน.40 เป็นประชาธิปไตยที่สุด และรัฐบาลที่มาจากนั้น เป็นรัฐบาลที่มั่นคง ก้าวหน้า การรัฐประหารเป็นการหยุดชะงักพัฒนาการ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ต้องพูดทั้ง 2 ด้าน การรัฐประหารตนไม่เห็นด้วย คนทำก็ไม่อยากทำ แต่มันต้องมีเหตุก่อนจึงรัฐประหาร แถลงการณ์ของคปค. ฉบับหนึ่ง ระบุถึงเหตุของการรัฐประหารไว้ 4 ข้อ
ซึ่งเวลานั้นใคร ๆ ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงในระดับหนึ่ง ขนาดนาย เสน่ห์ จามริก อดีตประธาน กก. สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยังบอกว่า รัฐประหารไม่ใช่ถอยหลัง เพราะบ้านเมืองก่อนหน้านั้นถอยหลังมามากแล้ว มีการครอบงำองค์กรอิสระ วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ ชัยชนะการเลือกตั้งก็มีคำถามถึงการใช้เงิน การทุจริตเชิงนโยบาย การได้พรรคเสียงข้างมากชนิดเปิดอภิปรายนายกฯไม่ได้ ก็เกิดจากการควบรวมพรรค เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ผู้เลือกตั้ง แต่วันนี้กลับไม่มีใครพูดถึง
"จริงอยู่ เราไม่ชอบการรัฐประหาร แต่ก็ไม่เคยมีใครไปเรียกร้องให้ลบการรัฐประหารนั้น แม้แต่อดีตนายกฯ คนหนึ่ง นอกจากไม่คัดค้านการรัฐประหารปี 34 แล้ว ยังไปคบค้ากับนักการเมืองจนได้สัมปทานร่ำรวย แต่มาตอนหลังกลายเป็นรัฐประหาร 19 ก.ย. มันเลวร้ายไปหมด หาดีไม่ได้"
นายคำนูณ ยังกล่าวว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมการฯ แต่คิดว่าถ้าไล่เรียงใหม่ โดยนำเรื่องการสร้างความสมานฉันท์ และข้อเสนอในการปฏิรูปการเมือง มาหาฉันทามติให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูดถึงเรื่องการแก้ไขรธน. น่าจะดีกว่า แต่คณะกรรมการฯ กลับเอาประเด็นแก้รธน. มานำ ทำให้เรื่องการสร้างสมานฉันท์ และปฏิรูปการเมืองถูกบดบัง และกลายเป็นปัญหาพอสมควร
ซึ่งในส่วนของการแก้รธน.นั้นมองว่า ถ้าจะแก้ ควรแก้มาตรา 291 มาตราเดียว เพื่อทำให้เกิดองค์กร หรือคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อยกร่างรธน. แล้วใช้กระบวนการภาคประชาชนของรธน. 40 มาดำเนินการ เพราะไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่จะให้นักการเมืองที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียมากเป็นผู้ยกร่าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อกก.สมานฉันท์ ได้นำเสนอรายงานไปยังรัฐบาลแล้ว อยากเรียกร้องนายกฯ ว่าต้องใช้ความเป็นผู้นำในการตัดสินใจว่า มีนโยบายอย่างไรในเรื่องนี้ และจะขับเคลื่อนอย่างไร เพราะเป็นผู้ตั้งคณะกรรมการฯ ชุดนี้ขึ้นมา ไม่ใช่คณะกรรมการเสนอไปแล้วก็ยังเสนอกลับมาให้สภามาหารือกันอีก
สมาชิกบ้าน 111 ชี้ นิรโทษอย่างเดียวเรื่องไม่จบ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวว่า กลับไปเริ่มต้นกันใหม่นั้นน่าสนใจ แต่ปัญหาคือจะไปเริ่มตรงไหน หรือขั้นตอนไหนดี เพราะวันนี้อีนุงตุงนังไปหมด จะย้อนเลยทีเดียวไม่ได้ หากย้อนได้ต้องย้อนไปก่อน 19 ก.ย. แบบนี้เอาไหม กลับไปอยู่จุดนั้น แล้วให้มีเลือกตั้ง การรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ แต่ในความจริงคงเป็นไปไม่ได้
ทั้งนี้ถ้าบอกว่าเริ่มใหม่ ล้างเรื่องเก่าก็ต้องมาดูว่าล้างได้จริงหรือ เริ่มต้นสมานฉันท์ได้จริงไหม หากบอกนิรโทษคนชุมนุมทางการเมือง แล้วจะเกิดอะไร แล้วหากวันรุ่งขึ้นจะแก้รธน. ก็จะมีคนส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย และออกมาชุมนุม ยึดทำเนียบฯได้ไหม เมื่อยึดได้อีก ก็นิรโทษกรรมได้อีก ก็จะชุมนุมแบบนั้นทำผิดกฎหมายแบบนั้นไม่เลิก จะทำอย่างไร ปัญหาคือ มีคนมีความคิดต่างกัน แต่ไม่มีวิธีที่ทำให้อยู่ร่วมกันโดยไม่แตกแยก หรือใช้อำนาจนอกเหนือมาแก้อย่างการรัฐประหาร
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่จากการรัฐประหาร ไม่ใช่ถอยก้าวเดียวแล้วเดินหน้าประชาธิปไตยไปมากๆ เหมือนที่พูด แต่การรัฐประหารที่ผ่านมา เป็นการดึงประเทศสู่เผด็จการ แล้วแทนที่จะเดินหน้า กลับมีการวางระบบในรธน. ที่ทำให้ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รธน. และอำนาจนอก ร่วมกันทำลายกระบวนการยุติธรรม และความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงที่สุดไม่เคยมีมาก่อน ระบบยุติธรรม พึ่งไม่ได้ และ กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งเบื้องต้น และจะมีไปเรื่อย ๆ
"รัฐธรรมนูญฉบับที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้ ได้ล้มรัฐบาลและนายกฯไป 2 คน โดยไม่มีหลักการของนิติธรรม คนไปทำครัว บอกขัดแย้งผลประโยชน์ คนๆเดียวทำผิด กกต.ให้ใบแดง พรรคถูกยุบโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แบบนี้ทั่วโลกไม่มีใครยอมรับ ทั้งยังตั้งคนเป็นปฏิปักษ์มาดำเนินคดี มีอำนาจเหนืออัยการฟ้องเองได้ อยากสอบใครก็สอบ สุดท้ายก็ไม่เห็นด้วย และแตกแยกกัน"
แผ่นเสียงตกร่อง แก้รธน.-เลือกตั้งใหม่
การที่เสนอแก้รธน. เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ของการเลือกตั้ง ของการบริหาร และจะนำไปสู่การเลือกตั้งที่ผู้คนในสังคมยอมรับกันได้ แต่ต้องแก้กติกาให้การเลือกตั้งน่าเชื่อถือ เลิกการยุบพรรคง่ายๆ ต้องลดอำนาจ กกต. โดยเฉพาะการให้ใบแดง ต้องเลิก ต้องให้สรรหา กกต. ใหม่ตามรธน.ปัจุบัน คนที่เป็นอยู่ต้องออกหมด เพราะมาจากการรัฐประหาร แต่เมื่อยังเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องลดอำนาจ เสร็จแล้วค่อยมาแก้รธน. ทั้งฉบับ
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้มีทั้งคนที่ เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลนี้ปกครองประเทศ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาต้องเลือกตั้ง และแก้รธน. ให้การเลือกตั้งเป็นธรรม ทำ 2 อย่างพร้อมๆกันก็ได้ คือ แก้ในประเด็นที่เร่งมากๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวเลือกตั้ง เพื่อได้รัฐบาลที่ประชาชนยอมรับ และแก้มาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร. ด้วย และให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็เลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และร่างรธน.ใหม่ ให้ประชาชนลงมติอีกครั้ง การทำเช่นนี้จะเป็นการลดปัญหาความเห็นไม่ตรงกัน
"ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรมให้ใครหรือไม่ รวมถึงพวกผมด้วย ไม่ต้องนิรโทษฯวันนี้ พรุ่งนี้ เพื่อเห็นแก่บ้านเมือง อย่าเพิ่งมาแตะต้องประเด็นพวกผม รอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากประชาชนเป็นคนตัดสิน แต่ถ้าเราไม่รีบ จะไม่ได้แก้ ยกตัวอย่างวันจันทร์ที่ผ่านมาที่มีการถวายฎีกา ถ้ารัฐบาลสร้างสถานการณ์ขึ้นอีกหน่อย แล้วทหารก็เข้ามายึดอำนาจ แล้วบอกเพื่อป้องกันความรุนแรง วันนี้เราอยู่แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ไม่รู้จะยึดเมื่อไร รัฐบาลเสียศูนย์ ตั้ง ผบ.ตร.ไม่ได้ ตอนนี้เสียสภาพการนำ จะอยู่ได้กี่วันก็ไม่รู้ นายกฯ ต้องกล้า ประกาศแก้รธน. จึงจะได้รับเสียงสนับสนุน คนที่ค้ำๆ อยู่เขาก็จะจำเป็นต้องหนุน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้ และ ถ้าไม่แก้รธน. คนไทยจะฆ่ากันเอง เมื่อรุนแรงแล้วอาจจะรัฐประหารอีก อย่าไปรอถึงตอนนั้น แต่ถ้ายังดื้อ ชิงไหวชิงพริบ สังคมไทยจะก้าวไปสู่ความรุนแรง และเสียหายยับเยิน" นายจาตุรนต์ กล่าว
สมาชิกบ้าน 109 ย้ำรธน.เหมื่อนลิ่ม ทำให้แตกแยก
นายนิกร จำนง สมาชิกบ้านเลขที่ 109 กล่าวว่า ความขัดแย้งใน สังคมไทย ไม่เคยเกิดจากข้างล่าง แต่เกิดจากชนชั้นนำเสมอ เกิดจากฝ่ายการเมือง ความขัดแย้งเริ่มลุกลามสู่สถาบันที่เราเคารพและจบลงที่การยึดอำนาจ ความขัดแย้งตอนนี้ใช้ประชาชนเป็นกำลังในการต่อสู้ เป็นกองกำลังไม่ติดอาวุธ ที่ใช้ในการปะทะ และยังดำเนินอยู่ มีความเสียหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การสร้างความสมานฉันท์ เป็นนามธรรมใช้เวลานาน เช่นเดียวกับการปฏิรูปการเมือง แต่รูปธรรมคือ การแก้รธน. วันนี้รธน. เหมือนลิ่ม ตอกลงในความขัดแย้ง สังคมกำลังแยกออก รธน.กำลังเป็น สมรภูมิการเมือง
ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รองประธาน อนุกรรมการฯ กล่าวว่า ปัญหาขณะนี้คือรัฐธรรมนูญ และตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งไม่เคยเห็นรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่สร้างความขัดแย้งให้คนในชาติมากเท่าฉบับนี้ เพราะฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด โดยเขียนไว้ใน มาตรา 309 แต่อีกฝ่าย แม้ไม่ได้ทำผิด ก็อาจจะผิด มันจะไม่แตกแยกได้อย่างไร ขนาดมีเจตนาว่า จะไม่ทำผิดยังเอาตัวแทบไม่รอด ยิ่งปล่อยไว้นานก็เกิดความขัดแย้งมากขึ้น จุดจบอยู่ตรงไหนจะรอให้สิ้นชาติหรือไง นักการมืองบางคนก็ผสมโรง ระวังจะไม่มีเวทีให้ยืน
ดังนั้น ปัญหาคือความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ ทางออกก็ต้องแก้ที่รัฐธรรมนูญ ตนในฐานะกก.สมานฉันท์ แก้ไปก็ไม่สมานฉันท์ แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในนั้น ก็เห็นด้วย เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ ถ้าจะให้ดีก็ แก้ม. 291 ตั้ง ส.ส.ร. 3 ให้เวลาทำงาน 2 ปี ก็จะเป็นรธน. ที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นของประชาชน แล้วมานับหนึ่งกันใหม่ก่อนสิ้นชาติ ประเด็นคือ จะยอมกันหรือเปล่า ทางออกมีทางเดียวคือ แก้รธน.ให้เป็นประชาธิปไตย อย่ามาเล่นแง่กันเลย และต้องแก้บนพื้นฐานเงื่อนไขเจรจา ถึงเวลาที่เราต้องลดละเลิกทิษฐิ แล้วหันหน้ากัน ปัญหาที่เกิดขึ้นสุดท้ายบทจบ ไม่มีใครชนะ แพ้แน่นอน
สำหรับ การสัมมนาดังกล่าว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ซึ่งเป็นประธานนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาพรรคการเมือง และการเลือกตั้งระดับสูง รุ่น 1 ได้อยู่ร่วมรับฟังโดยตลอด
วานนี้ (21 ส.ค.) นักศึกษาสถาบันพัฒนาพรรคการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูงของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดสัมมนาเรื่อง “ทางออกประเทศไทยกับข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์” นายดิเรก ถึงฝั่ง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯชุดนี้ไม่ใช่การซื้อเวลา แต่ข้อเสนอว่า จะต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับสมานฉันท์ ที่อาศัยหลักนิติธรรม นิติรัฐ มีกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพราะไม่เป็นธรรม คนไม่ได้ทำความผิดกลับถูกลงโทษไปด้วย การยุบพรรคก็ไม่ถูกต้อง พรรคการเมืองมีความสำคัญ ต้องส่งเสริมให้เข้มแข็ง แต่กลับถูกยุบแล้วยุบอีก ถือว่าไม่สร้างความเข้มแข็งให้ประชาธิปไตย โดยสรุปให้ตั้ง ส.ส.ร. 3 ขึ้นมาด้วย
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เห็นด้วยกับที่คณะกรรมการฯเรื่องความเป็นธรรม ความสามัคคี เพื่อชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ไม่เห็นด้วยที่ กก.สมานฉันท์ บอกให้ถอยคนละก้าว เพราะถ้าจะถอย ต้องถอยอย่างเป็นธรรม ในบทนำรายงานของคณะกรรมการฯ มีการบอกว่า รธน.40 เป็นประชาธิปไตยที่สุด และรัฐบาลที่มาจากนั้น เป็นรัฐบาลที่มั่นคง ก้าวหน้า การรัฐประหารเป็นการหยุดชะงักพัฒนาการ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ต้องพูดทั้ง 2 ด้าน การรัฐประหารตนไม่เห็นด้วย คนทำก็ไม่อยากทำ แต่มันต้องมีเหตุก่อนจึงรัฐประหาร แถลงการณ์ของคปค. ฉบับหนึ่ง ระบุถึงเหตุของการรัฐประหารไว้ 4 ข้อ
ซึ่งเวลานั้นใคร ๆ ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงในระดับหนึ่ง ขนาดนาย เสน่ห์ จามริก อดีตประธาน กก. สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยังบอกว่า รัฐประหารไม่ใช่ถอยหลัง เพราะบ้านเมืองก่อนหน้านั้นถอยหลังมามากแล้ว มีการครอบงำองค์กรอิสระ วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ ชัยชนะการเลือกตั้งก็มีคำถามถึงการใช้เงิน การทุจริตเชิงนโยบาย การได้พรรคเสียงข้างมากชนิดเปิดอภิปรายนายกฯไม่ได้ ก็เกิดจากการควบรวมพรรค เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ผู้เลือกตั้ง แต่วันนี้กลับไม่มีใครพูดถึง
"จริงอยู่ เราไม่ชอบการรัฐประหาร แต่ก็ไม่เคยมีใครไปเรียกร้องให้ลบการรัฐประหารนั้น แม้แต่อดีตนายกฯ คนหนึ่ง นอกจากไม่คัดค้านการรัฐประหารปี 34 แล้ว ยังไปคบค้ากับนักการเมืองจนได้สัมปทานร่ำรวย แต่มาตอนหลังกลายเป็นรัฐประหาร 19 ก.ย. มันเลวร้ายไปหมด หาดีไม่ได้"
นายคำนูณ ยังกล่าวว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมการฯ แต่คิดว่าถ้าไล่เรียงใหม่ โดยนำเรื่องการสร้างความสมานฉันท์ และข้อเสนอในการปฏิรูปการเมือง มาหาฉันทามติให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูดถึงเรื่องการแก้ไขรธน. น่าจะดีกว่า แต่คณะกรรมการฯ กลับเอาประเด็นแก้รธน. มานำ ทำให้เรื่องการสร้างสมานฉันท์ และปฏิรูปการเมืองถูกบดบัง และกลายเป็นปัญหาพอสมควร
ซึ่งในส่วนของการแก้รธน.นั้นมองว่า ถ้าจะแก้ ควรแก้มาตรา 291 มาตราเดียว เพื่อทำให้เกิดองค์กร หรือคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อยกร่างรธน. แล้วใช้กระบวนการภาคประชาชนของรธน. 40 มาดำเนินการ เพราะไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่จะให้นักการเมืองที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียมากเป็นผู้ยกร่าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อกก.สมานฉันท์ ได้นำเสนอรายงานไปยังรัฐบาลแล้ว อยากเรียกร้องนายกฯ ว่าต้องใช้ความเป็นผู้นำในการตัดสินใจว่า มีนโยบายอย่างไรในเรื่องนี้ และจะขับเคลื่อนอย่างไร เพราะเป็นผู้ตั้งคณะกรรมการฯ ชุดนี้ขึ้นมา ไม่ใช่คณะกรรมการเสนอไปแล้วก็ยังเสนอกลับมาให้สภามาหารือกันอีก
สมาชิกบ้าน 111 ชี้ นิรโทษอย่างเดียวเรื่องไม่จบ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวว่า กลับไปเริ่มต้นกันใหม่นั้นน่าสนใจ แต่ปัญหาคือจะไปเริ่มตรงไหน หรือขั้นตอนไหนดี เพราะวันนี้อีนุงตุงนังไปหมด จะย้อนเลยทีเดียวไม่ได้ หากย้อนได้ต้องย้อนไปก่อน 19 ก.ย. แบบนี้เอาไหม กลับไปอยู่จุดนั้น แล้วให้มีเลือกตั้ง การรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ แต่ในความจริงคงเป็นไปไม่ได้
ทั้งนี้ถ้าบอกว่าเริ่มใหม่ ล้างเรื่องเก่าก็ต้องมาดูว่าล้างได้จริงหรือ เริ่มต้นสมานฉันท์ได้จริงไหม หากบอกนิรโทษคนชุมนุมทางการเมือง แล้วจะเกิดอะไร แล้วหากวันรุ่งขึ้นจะแก้รธน. ก็จะมีคนส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย และออกมาชุมนุม ยึดทำเนียบฯได้ไหม เมื่อยึดได้อีก ก็นิรโทษกรรมได้อีก ก็จะชุมนุมแบบนั้นทำผิดกฎหมายแบบนั้นไม่เลิก จะทำอย่างไร ปัญหาคือ มีคนมีความคิดต่างกัน แต่ไม่มีวิธีที่ทำให้อยู่ร่วมกันโดยไม่แตกแยก หรือใช้อำนาจนอกเหนือมาแก้อย่างการรัฐประหาร
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่จากการรัฐประหาร ไม่ใช่ถอยก้าวเดียวแล้วเดินหน้าประชาธิปไตยไปมากๆ เหมือนที่พูด แต่การรัฐประหารที่ผ่านมา เป็นการดึงประเทศสู่เผด็จการ แล้วแทนที่จะเดินหน้า กลับมีการวางระบบในรธน. ที่ทำให้ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รธน. และอำนาจนอก ร่วมกันทำลายกระบวนการยุติธรรม และความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงที่สุดไม่เคยมีมาก่อน ระบบยุติธรรม พึ่งไม่ได้ และ กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งเบื้องต้น และจะมีไปเรื่อย ๆ
"รัฐธรรมนูญฉบับที่ไม่เป็นประชาธิปไตยนี้ ได้ล้มรัฐบาลและนายกฯไป 2 คน โดยไม่มีหลักการของนิติธรรม คนไปทำครัว บอกขัดแย้งผลประโยชน์ คนๆเดียวทำผิด กกต.ให้ใบแดง พรรคถูกยุบโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แบบนี้ทั่วโลกไม่มีใครยอมรับ ทั้งยังตั้งคนเป็นปฏิปักษ์มาดำเนินคดี มีอำนาจเหนืออัยการฟ้องเองได้ อยากสอบใครก็สอบ สุดท้ายก็ไม่เห็นด้วย และแตกแยกกัน"
แผ่นเสียงตกร่อง แก้รธน.-เลือกตั้งใหม่
การที่เสนอแก้รธน. เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ของการเลือกตั้ง ของการบริหาร และจะนำไปสู่การเลือกตั้งที่ผู้คนในสังคมยอมรับกันได้ แต่ต้องแก้กติกาให้การเลือกตั้งน่าเชื่อถือ เลิกการยุบพรรคง่ายๆ ต้องลดอำนาจ กกต. โดยเฉพาะการให้ใบแดง ต้องเลิก ต้องให้สรรหา กกต. ใหม่ตามรธน.ปัจุบัน คนที่เป็นอยู่ต้องออกหมด เพราะมาจากการรัฐประหาร แต่เมื่อยังเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องลดอำนาจ เสร็จแล้วค่อยมาแก้รธน. ทั้งฉบับ
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้มีทั้งคนที่ เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลนี้ปกครองประเทศ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาต้องเลือกตั้ง และแก้รธน. ให้การเลือกตั้งเป็นธรรม ทำ 2 อย่างพร้อมๆกันก็ได้ คือ แก้ในประเด็นที่เร่งมากๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวเลือกตั้ง เพื่อได้รัฐบาลที่ประชาชนยอมรับ และแก้มาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร. ด้วย และให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็เลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และร่างรธน.ใหม่ ให้ประชาชนลงมติอีกครั้ง การทำเช่นนี้จะเป็นการลดปัญหาความเห็นไม่ตรงกัน
"ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรมให้ใครหรือไม่ รวมถึงพวกผมด้วย ไม่ต้องนิรโทษฯวันนี้ พรุ่งนี้ เพื่อเห็นแก่บ้านเมือง อย่าเพิ่งมาแตะต้องประเด็นพวกผม รอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากประชาชนเป็นคนตัดสิน แต่ถ้าเราไม่รีบ จะไม่ได้แก้ ยกตัวอย่างวันจันทร์ที่ผ่านมาที่มีการถวายฎีกา ถ้ารัฐบาลสร้างสถานการณ์ขึ้นอีกหน่อย แล้วทหารก็เข้ามายึดอำนาจ แล้วบอกเพื่อป้องกันความรุนแรง วันนี้เราอยู่แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ไม่รู้จะยึดเมื่อไร รัฐบาลเสียศูนย์ ตั้ง ผบ.ตร.ไม่ได้ ตอนนี้เสียสภาพการนำ จะอยู่ได้กี่วันก็ไม่รู้ นายกฯ ต้องกล้า ประกาศแก้รธน. จึงจะได้รับเสียงสนับสนุน คนที่ค้ำๆ อยู่เขาก็จะจำเป็นต้องหนุน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้ และ ถ้าไม่แก้รธน. คนไทยจะฆ่ากันเอง เมื่อรุนแรงแล้วอาจจะรัฐประหารอีก อย่าไปรอถึงตอนนั้น แต่ถ้ายังดื้อ ชิงไหวชิงพริบ สังคมไทยจะก้าวไปสู่ความรุนแรง และเสียหายยับเยิน" นายจาตุรนต์ กล่าว
สมาชิกบ้าน 109 ย้ำรธน.เหมื่อนลิ่ม ทำให้แตกแยก
นายนิกร จำนง สมาชิกบ้านเลขที่ 109 กล่าวว่า ความขัดแย้งใน สังคมไทย ไม่เคยเกิดจากข้างล่าง แต่เกิดจากชนชั้นนำเสมอ เกิดจากฝ่ายการเมือง ความขัดแย้งเริ่มลุกลามสู่สถาบันที่เราเคารพและจบลงที่การยึดอำนาจ ความขัดแย้งตอนนี้ใช้ประชาชนเป็นกำลังในการต่อสู้ เป็นกองกำลังไม่ติดอาวุธ ที่ใช้ในการปะทะ และยังดำเนินอยู่ มีความเสียหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การสร้างความสมานฉันท์ เป็นนามธรรมใช้เวลานาน เช่นเดียวกับการปฏิรูปการเมือง แต่รูปธรรมคือ การแก้รธน. วันนี้รธน. เหมือนลิ่ม ตอกลงในความขัดแย้ง สังคมกำลังแยกออก รธน.กำลังเป็น สมรภูมิการเมือง
ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รองประธาน อนุกรรมการฯ กล่าวว่า ปัญหาขณะนี้คือรัฐธรรมนูญ และตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งไม่เคยเห็นรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่สร้างความขัดแย้งให้คนในชาติมากเท่าฉบับนี้ เพราะฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด โดยเขียนไว้ใน มาตรา 309 แต่อีกฝ่าย แม้ไม่ได้ทำผิด ก็อาจจะผิด มันจะไม่แตกแยกได้อย่างไร ขนาดมีเจตนาว่า จะไม่ทำผิดยังเอาตัวแทบไม่รอด ยิ่งปล่อยไว้นานก็เกิดความขัดแย้งมากขึ้น จุดจบอยู่ตรงไหนจะรอให้สิ้นชาติหรือไง นักการมืองบางคนก็ผสมโรง ระวังจะไม่มีเวทีให้ยืน
ดังนั้น ปัญหาคือความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ ทางออกก็ต้องแก้ที่รัฐธรรมนูญ ตนในฐานะกก.สมานฉันท์ แก้ไปก็ไม่สมานฉันท์ แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในนั้น ก็เห็นด้วย เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ ถ้าจะให้ดีก็ แก้ม. 291 ตั้ง ส.ส.ร. 3 ให้เวลาทำงาน 2 ปี ก็จะเป็นรธน. ที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นของประชาชน แล้วมานับหนึ่งกันใหม่ก่อนสิ้นชาติ ประเด็นคือ จะยอมกันหรือเปล่า ทางออกมีทางเดียวคือ แก้รธน.ให้เป็นประชาธิปไตย อย่ามาเล่นแง่กันเลย และต้องแก้บนพื้นฐานเงื่อนไขเจรจา ถึงเวลาที่เราต้องลดละเลิกทิษฐิ แล้วหันหน้ากัน ปัญหาที่เกิดขึ้นสุดท้ายบทจบ ไม่มีใครชนะ แพ้แน่นอน
สำหรับ การสัมมนาดังกล่าว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ซึ่งเป็นประธานนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาพรรคการเมือง และการเลือกตั้งระดับสูง รุ่น 1 ได้อยู่ร่วมรับฟังโดยตลอด