ASTVผู้จัดการรายวัน - ยูนิค ไมนิ่ง งดปันผลกลางปีหลังครึ่งแรกกำไรลด 20% เตรียมงบลงทุน 1 พันล้านบาทซื้อเหมืองที่อินโดฯ เร่งเจราจาคาดเสร็จสิ้นปีนี้ พับแผนแปรรูปขยะเป็นพลังงานทดแทนเหตุน้ำมันดิบในตลาดโลกลดเชื่อไม่คุ้มทุน
นายปิยะ ตันธนพิพัฒน์ รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการลงทุน บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี52 หลังจากกำไรครึ่งปีแรกลดลง 20% กอปรกับบริษัทต้องเตรียมเงินไว้เพื่อลงทุน อีกทั้งเตรียมพร้อมเพื่อกู้เงินจากสถาบันการเงิน แต่ทั้งปียังเชื่อว่าจะจ่ายปันผลได้ตามนโยบายที่ 40% ของกำไรสุทธิ ขณะปี 51 บริษัทปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1 บาทและงวดสิ้นปีอีก25 สตางค์
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้ลดลง 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 3,400 ล้านบาท เหลือ 3,100 ล้านบาท ขณะที่กำไรคาดว่าจะปรับตัวลดลงตามรายได้ แม้ว่าช่วงครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะปรับเพิ่ม 20% จากครึ่งปีแรกที่ทำไว้ 1,400 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin)จะปรับตัวดีขึ้น 20% จากครึ่งปีแรกที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16-17% ซึ่งทั้งปีบริษัทฯ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 20-21%
สำหรับกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่มีการเติบโต ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย ที่มีการเติบโตขึ้น 5% ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ที่มีอยู่ 5-6 ราย ได้หายไป 50% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าว คือ กลุ่มกระดาษ และปิโตรเคมี ได้สต๊อกถ่านหินไว้จำนวนมาก แต่ไม่ได้ใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ยังคงเหลือวัตถุดิบที่เพียงพอต่อการใช้อยู่
นอกจากนี้บริษัทเตรียมเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อเหมืองที่อินโดนีเซียในรูปแบบการร่วมทุน ซึ่งปัจจุบันเจรจากับผู้ประกอบการ 3 ราย คาดได้ข้อสรุปในไตรมาส 4/52 ส่วนเงินทุนมาจากเพื่อการกระแสเงินสดการดำเนินงานและกู้สถาบันการเงิน ซึ่งต้องการผลเจรจาสำเร็จให้เร็วที่สุดเพื่อรับเศรษฐกิจฟื้นตัว อันจะส่งผลให้ราคาถ่านหินปรับเพิ่มส่งผลกระทบต่อราคาเหมืองที่จะซื้อสูงขึ้นตามกลไกตลาด พร้อมยกเลิกโครงการแปรรูปขยะเป็นพลังงานทดแทน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงส่งผลให้การลงทุนในโครงการดังกล่าวไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
อย่างไรก็ตามประเมินแนวโน้มราคาขายถ่านหินในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายถ่านหินของบริษัทช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับตัวลดลงจากครึ่งปีแรกประมาณ 200-300 บาทต่อตัน มาอยู่ที่ 2,300-2,800 บาทต่อตัน เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีสต๊อกถ่านหินเก่าที่มีต้นทุนขายในราคาสูง และจากการที่สต๊อกดังกล่าวเริ่มหมดส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนขายเฉลี่ยในครึ่งปีหลังลดลง
นายปิยะ ตันธนพิพัฒน์ รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการลงทุน บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี52 หลังจากกำไรครึ่งปีแรกลดลง 20% กอปรกับบริษัทต้องเตรียมเงินไว้เพื่อลงทุน อีกทั้งเตรียมพร้อมเพื่อกู้เงินจากสถาบันการเงิน แต่ทั้งปียังเชื่อว่าจะจ่ายปันผลได้ตามนโยบายที่ 40% ของกำไรสุทธิ ขณะปี 51 บริษัทปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1 บาทและงวดสิ้นปีอีก25 สตางค์
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้ลดลง 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 3,400 ล้านบาท เหลือ 3,100 ล้านบาท ขณะที่กำไรคาดว่าจะปรับตัวลดลงตามรายได้ แม้ว่าช่วงครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะปรับเพิ่ม 20% จากครึ่งปีแรกที่ทำไว้ 1,400 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin)จะปรับตัวดีขึ้น 20% จากครึ่งปีแรกที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16-17% ซึ่งทั้งปีบริษัทฯ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 20-21%
สำหรับกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่มีการเติบโต ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย ที่มีการเติบโตขึ้น 5% ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ที่มีอยู่ 5-6 ราย ได้หายไป 50% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าว คือ กลุ่มกระดาษ และปิโตรเคมี ได้สต๊อกถ่านหินไว้จำนวนมาก แต่ไม่ได้ใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ยังคงเหลือวัตถุดิบที่เพียงพอต่อการใช้อยู่
นอกจากนี้บริษัทเตรียมเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อเหมืองที่อินโดนีเซียในรูปแบบการร่วมทุน ซึ่งปัจจุบันเจรจากับผู้ประกอบการ 3 ราย คาดได้ข้อสรุปในไตรมาส 4/52 ส่วนเงินทุนมาจากเพื่อการกระแสเงินสดการดำเนินงานและกู้สถาบันการเงิน ซึ่งต้องการผลเจรจาสำเร็จให้เร็วที่สุดเพื่อรับเศรษฐกิจฟื้นตัว อันจะส่งผลให้ราคาถ่านหินปรับเพิ่มส่งผลกระทบต่อราคาเหมืองที่จะซื้อสูงขึ้นตามกลไกตลาด พร้อมยกเลิกโครงการแปรรูปขยะเป็นพลังงานทดแทน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงส่งผลให้การลงทุนในโครงการดังกล่าวไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
อย่างไรก็ตามประเมินแนวโน้มราคาขายถ่านหินในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายถ่านหินของบริษัทช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับตัวลดลงจากครึ่งปีแรกประมาณ 200-300 บาทต่อตัน มาอยู่ที่ 2,300-2,800 บาทต่อตัน เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีสต๊อกถ่านหินเก่าที่มีต้นทุนขายในราคาสูง และจากการที่สต๊อกดังกล่าวเริ่มหมดส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนขายเฉลี่ยในครึ่งปีหลังลดลง