ASTVผู้จัดการรายวัน – ยูเนี่ยนปิโตรฯ ปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มเป็น 2.2 พันล้านบาท สูงจากเดิมตั้งเป้าที่ 1.8 พันล้านบาท เหตุสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มดี ลูกค้าต้องการสินค้ามากขึ้น เบนเข็มรุกตลาดไซด์เล็กลดความเสี่ยง คาดกำไรขั้นต้นขยับเกินระดับ 13% สูงกว่าปีก่อน หลังต้นทุนวัตถุดิบถูกลง เผยอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ
นายพีรเจต สุวรรณนภาศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยนปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน)หรือ UKEM เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเป้ารายได้ในปีนี้เพิ่มเป็น 2.0 - 2.2 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.5-1.8 พันล้านบาท หลังพบสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังดีขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อของลูกค้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งการรุกตลาดลูกค้าที่มีขนาดเล็กลงเพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ขณะเดียวกันราคาผลิตภัณฑ์ก็เริ่มมีการทรงตัวตามราคาน้ำมันที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตของสินค้าเคมีภัณฑ์
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ในปีนี้อยู่ที่ระดับ 13.10% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 9.51% เนื่องจากต้นทุนของวัตถุดิบถูกลง ซึ่งเป็นในส่วนของราคาน้ำมันดิบและน้ำมันใสที่ค่อนข้างนิ่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับสัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น โดยมองว่าช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 52 อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าช่วงไตรมาส 4 ราคาผลิตภัณฑ์อาจจะอ่อนตัวลงบ้างตามฤดูกาล นอกจากนี้คงต้องจับตาดูการเก็งกำไรของราคาวัตถุดิบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตประกอบไปด้วย เพราะอาจมีผลต่ออัตราการทำกำไร แต่ก็เชื่อว่าจะทำให้อัตราการทำกำไรปรับลดลงเล็กน้อยหรืออยู่ที่ระดับทรงตัว
สำหรับกำไรสุทธิ ( Net profit ) ในปีนี้บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับที่มากกว่าปี 51 ที่ทำได้ 47.33 ล้านบาท หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรกทำกำไรไปแล้ว 31.25 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราการทำกำไรสุทธิที่ 3.28% สาเหตุที่กำไรปรับเพิ่มป็นผลมาจากดอกเบี้ยที่ปรับลดลง รวมถึงราคาต้นทุนสินค้าปรับลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 70 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนที่ราคาน้ำมันแตะระดับ 100 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล
" เชื่อว่าผลประกอบการโดยรวมในปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ราคาน้ำมันที่เริ่มทรงตัวไม่ผันผวนมากเหมือนที่ผ่านมา เพราะจริงๆ การปรับตัวของราคาเราก็รับได้แต่อยากให้เป็นแบบปรับขึ้นแล้วนิ่งซักพัก แต่ไม่ใช่ขึ้นลงแบบไม่มีทิศทาง มันก็ทำให้เราตั้งตัวยากเหมือนกัน เราก็พยายามที่จะพัฒนาในส่วนของธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง " นายพีรเจต กล่าว
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการเสนอโปรเจ็กไป 2 โปรเจ็กต์ ซึ่ง 1 โปรเจ็กเเกี่ยวกับการสร้างแท๊งค์ และทางคณะกรรมการเห็นว่าไม่มีความจำเป็นจึงยุติไป ส่วนโปรเจ็กที่ 2 นั้นก็อยู่ในระหว่างการศึกษา โดยเกี่ยวกับการสร้างโรงงานเพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ เพราะยังไม่มีความจัดเจน แต่บริษัทก็พยายามทำให้ผลงานดีขึ้นทุกปี อีกทั้งจะมีการออกสินค้าใหม่เข้ามาเพิ่มอย่างน้อย 2-3 ตัว ในระยะเวลาอีก1-2 ปี
นายพีรเจต สุวรรณนภาศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยนปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน)หรือ UKEM เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเป้ารายได้ในปีนี้เพิ่มเป็น 2.0 - 2.2 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.5-1.8 พันล้านบาท หลังพบสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังดีขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อของลูกค้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งการรุกตลาดลูกค้าที่มีขนาดเล็กลงเพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ขณะเดียวกันราคาผลิตภัณฑ์ก็เริ่มมีการทรงตัวตามราคาน้ำมันที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตของสินค้าเคมีภัณฑ์
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ในปีนี้อยู่ที่ระดับ 13.10% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 9.51% เนื่องจากต้นทุนของวัตถุดิบถูกลง ซึ่งเป็นในส่วนของราคาน้ำมันดิบและน้ำมันใสที่ค่อนข้างนิ่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับสัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น โดยมองว่าช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 52 อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าช่วงไตรมาส 4 ราคาผลิตภัณฑ์อาจจะอ่อนตัวลงบ้างตามฤดูกาล นอกจากนี้คงต้องจับตาดูการเก็งกำไรของราคาวัตถุดิบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตประกอบไปด้วย เพราะอาจมีผลต่ออัตราการทำกำไร แต่ก็เชื่อว่าจะทำให้อัตราการทำกำไรปรับลดลงเล็กน้อยหรืออยู่ที่ระดับทรงตัว
สำหรับกำไรสุทธิ ( Net profit ) ในปีนี้บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับที่มากกว่าปี 51 ที่ทำได้ 47.33 ล้านบาท หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรกทำกำไรไปแล้ว 31.25 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราการทำกำไรสุทธิที่ 3.28% สาเหตุที่กำไรปรับเพิ่มป็นผลมาจากดอกเบี้ยที่ปรับลดลง รวมถึงราคาต้นทุนสินค้าปรับลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 70 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนที่ราคาน้ำมันแตะระดับ 100 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล
" เชื่อว่าผลประกอบการโดยรวมในปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ราคาน้ำมันที่เริ่มทรงตัวไม่ผันผวนมากเหมือนที่ผ่านมา เพราะจริงๆ การปรับตัวของราคาเราก็รับได้แต่อยากให้เป็นแบบปรับขึ้นแล้วนิ่งซักพัก แต่ไม่ใช่ขึ้นลงแบบไม่มีทิศทาง มันก็ทำให้เราตั้งตัวยากเหมือนกัน เราก็พยายามที่จะพัฒนาในส่วนของธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง " นายพีรเจต กล่าว
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการเสนอโปรเจ็กไป 2 โปรเจ็กต์ ซึ่ง 1 โปรเจ็กเเกี่ยวกับการสร้างแท๊งค์ และทางคณะกรรมการเห็นว่าไม่มีความจำเป็นจึงยุติไป ส่วนโปรเจ็กที่ 2 นั้นก็อยู่ในระหว่างการศึกษา โดยเกี่ยวกับการสร้างโรงงานเพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ เพราะยังไม่มีความจัดเจน แต่บริษัทก็พยายามทำให้ผลงานดีขึ้นทุกปี อีกทั้งจะมีการออกสินค้าใหม่เข้ามาเพิ่มอย่างน้อย 2-3 ตัว ในระยะเวลาอีก1-2 ปี
