สิทธิพึงได้รับอาหาร (Right to food) อันเป็นสิทธิของมนุษย์ที่จะได้รับอาหารปลอดภัยและเพียงพอ โดยที่ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ มีโภชนาการ มีความหลากหลาย และมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการบริโภคเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีที่มีฐานรากจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ข้อ 11 นั้นนับวันจะถูกท้าทายหนักหน่วง
เนื่องด้วยประชากรโลก 1.02 พันล้านคน หรือราว 1 ใน 6 กำลังทุกข์ทรมานหิวโหย โดยในปี 2009 จำนวนคนอดอยากที่เพิ่มขึ้น 105 ล้านคนนั้นไม่ได้มาจากเหตุเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตรระดับโลกตกต่ำลง แต่เป็นผลพวงวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้รายได้ลดลงและคนตกงานมากขึ้นต่างหาก
วันอาหารโลก (World Food Day) ที่ FAO จัดขึ้นทุกวันที่ 16 ตุลาคมของทุกปี ที่ใช้ธีมสิทธิพึงได้รับอาหารในปี 2007 ธีมความมั่นคงอาหารโลก: ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและพลังงานชีวภาพ ในปี 2008 และต่อยอดด้วยธีม ‘การบรรลุความมั่นคงทางอาหารในห้วงวิกฤต’ ในปี 2009 น่าจะทอนสถานการณ์หิวโหยของประชากรโลกอันเนื่องมาจากความเปราะบางด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food security) และอธิปไตยทางอาหาร (Food sovereignty) ตามพิษเศรษฐกิจบวกแรงละโมบของบรรษัทเกษตรกรรมได้ แม้แต่ไทยที่อยู่ใต้อาณัติบรรษัทเกษตรกรรมมาช้านาน
แม้นประเทศไทยไม่ได้เผชิญวิกฤตจลาจลความมั่นคงทางอาหารระดับมหภาคเหมือนเปรูหรือบราซิล ทว่าระดับจุลภาคภาวะข้าวยากหมากแพงกลับกลุ้มรุมทำร้ายหลายครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่ครัวเรือนเกษตรกรที่ควรอุดมสมบูรณ์พูนสุขสำรับกับข้าวเพียบพร้อมโภชนาการ กลับบ่อยคราวที่ไร้ข้าวสารกรอกหม้อ ทั้งๆ เป็นผู้ผลิตอาหารเลี้ยงโลก (Feed the world) มาแต่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
ละม้ายกันกับสิทธิเกษตรกร (Farmers’ rights) ในการเข้าถึงปัจจัยผลิตหลักทั้งเมล็ดพันธุ์ ที่ดิน แหล่งน้ำ ที่เป็นฐานทรัพยากรธรรมชาติ ก็กำลังสั่นคลอนจากการรุกรานของบรรษัทเกษตรกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้อำนาจเงินตราและการล็อบบี้มีอิทธิพลเหนืออธิปไตยทางอาหารของชาติ ชุมชนท้องถิ่น และเกษตรกรรายย่อย โดยการเข้าไปมีส่วนกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อเอื้อผลประโยชน์ตนเอง
อนึ่ง นัยสำคัญของวิกฤตดังกล่าวก่อเกิดจากเกษตรกรไทยเข้าไม่ถึงฐานทรัพยากรธรรมชาติทั้งผืนดิน แหล่งน้ำ ป่าไม้ และความหลากหลายทางชีวภาพ หรือถ้าเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อยอมตกเป็นเบี้ยล่างบรรษัทเกษตรกรรมระดับชาติและข้ามชาติที่แห่แหนกันเข้ามากำหนดกระบวนการผลิตอาหารของประเทศผ่านรูปแบบเกษตรพันธสัญญา (Contact farming) เกษตรเชิงเดี่ยว (Monoculture) ที่เกษตรกรต้องพึ่งพิงเมล็ดพันธุ์และเคมีภัณฑ์ของบรรษัทเหล่านั้นนับแต่เพาะปลูกจนเก็บเกี่ยวผลผลิต
ด้วยเหตุปัจจัยนี้ ความยากจนข้นแค้นที่เป็นพันธนาการล่ามร้อยเกษตรกรไทยทุกยุคทุกสมัยไว้ในความคับแค้นขัดสนหนี้สินล้นพ้นตัวจึงไม่ได้มาจากความแห้งแล้งแห่งผืนแผ่นดินหรือขาดแคลนความหลากหลายทางชีวภาพ หากแต่เป็นนโยบายสาธารณะของรัฐที่ขาดวิสัยทัศน์ ธรรมาภิบาล กีดกันเกษตรกรออกจากฐานทรัพยากรท้องถิ่น รวมถึงเอื้อบรรษัทเกษตรกรรมกว่าเกษตรกร บวกรวมกับการก้าวตามการปฏิวัติเขียว (Green revolution) ของเกษตรกรเองที่ลืมเลือนภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษที่ดำรงตนอยู่ในวิถีเกษตรกรรมแบบเอื้ออาทรระบบนิเวศวิทยา (Ecological agriculture)
ฐานทรัพยากรธรรมชาติอันกอปรด้วยดิน น้ำ ป่า ทะเล และความหลากหลายทางชีวภาพ ฐานวัฒนธรรมทั้งความรู้ ภูมิปัญญา เรื่องเล่า และจิตวิญญาณ และฐานระบบนิเวศน์ ที่เคยอุดมสมบูรณ์แต่ดั้งเดิมจึงเสื่อมสลายลงไปในอัตราเร่งจากการกำหนดนโยบายรัฐที่ไม่สอดคล้องวิถีวัฒนธรรมเกษตรกรรม ดังไร่หมุนเวียนภาคเหนือที่มีข้าว 28 สายพันธุ์ ไร่หมุนเวียนชุมชนจะแก จ.กาญจนบุรี ที่มีข้าวถึง 36 สายพันธุ์ ตามผลการศึกษาโครงการปลูกความหลากหลายให้งอกงามของมูลนิธิชีววิถี
ทั้งนี้ หลังการปฏิวัติเขียว แนวคิดเกษตรกรรมไทยที่ถักถ้อยทุกสิ่งอย่างตั้งแต่ผืนดิน เมล็ดพันธุ์ สรรพสัตว์ จนถึงมนุษย์แบบองค์รวม ร้อยรัดระหว่างกัน (Interconnected) ในเครือข่ายของระบบเกษตรกรรมสลับซับซ้อนไม่มีที่สิ้นสุดก็ถูกแทนที่ด้วยแนวคิดลดทอนแยกส่วน (Reductionism) ของเกษตรกรรมสมัยใหม่ที่ทลายระบบนิเวศน์และวิถีเกษตรพอเพียงเป็นผลิตเพื่อป้อนสายพานอุตสาหกรรม
นับแต่นั้นมา กระบวนการผลิต จัดสรร และกระจายอาหารของประเทศไทยจึงตกใต้อุ้งมือบรรษัทเกษตรกรรมยักษ์ใหญ่ที่ใช้กลไกเศรษฐกิจผูกขาดเข้าครอบงำกำหนดแบบแผนการผลิตตั้งแต่ชนิดพืช เครื่องจักร จนถึงเทคโนโลยี ที่มากครั้งเข้าข่ายใช้เกษตรกรเป็น ‘หนูทดลอง’ เมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่นิ่ง หรือเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม (GM seeds) โดยการโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง ยิ่งกว่านั้นยังแนบเนียนเข้าไปให้ทุนวิจัยกับมหาวิทยาลัย และร่วมพัฒนาวิจัย (R&D) กับหน่วยงานรัฐปรับปรุงพันธุกรรมพืชและสัตว์ โดยส่วนมากสิทธิบัตรมักตกเป็นของบรรษัทนั้นๆ ดังกรณีสมุนไพรไทย
ไม่เท่านั้น สุขภาวะแม่ธรรมชาติยังเสื่อมทรามตามปริมาณการใช้เคมีภัณฑ์ผูกขาดที่ทวีขึ้นทุกวัน พร้อมกันกับสุขภาวะของมนุษย์ทั้งตัวเกษตรกรและผู้บริโภคก็ยังเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ
การสกัดกั้นปรากฏการณ์ข้างต้นไม่ให้ลุกลามทำลายฐานทรัพยากรอาหารของประเทศจนหมดสิ้นจึงต้องมองระบบเกษตรกรรมด้วยมุมมองใหม่แต่เป็นของดีที่ไทยมีอยู่แล้ว คือ เกษตรกรรมเป็นวิถีชีวิตมิใช่สินค้าซื้อหา หากเป็นระบบที่ทุกภาคส่วนทั้งมีชีวิต คน พืช สัตว์ และไม่มีชีวิต ผืนดิน แผ่นน้ำ ลมฟ้าอากาศ มีปฏิสัมพันธ์พึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependent) ฉะนั้นยามผลผลิตตกต่ำ พืชผลไม่งอกงาม จึงแก้ไขด้วยการอัดปุ๋ยเคมีหรือโหมฉีดยาฆ่าแมลงตามแนวคิดเกษตรสมัยใหม่ไม่ได้
ด้วยในข้อเท็จจริง ปัญหาระบบเกษตรกรรมนั้นซับซ้อน ซ่อนส่วนที่จับต้องไม่ได้ (Intangible) ไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการกำหนดนโยบายแบบขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารภาครัฐกับกลุ่มทุนเกษตรกรรม จักรวรรดิทางอาหารกับการปลดแอกอธิปไตย ศรัทธา ค่านิยม จนถึงจิตวิญญาณไทไม่ใช่ทาสอันเป็นปัจจัยภายในของตัวเกษตรกรเองด้วย
ปฏิบัติการแก้วิกฤตจึงต้องมองแบบองค์รวมโดยการผสานกฎกติกาอย่าง พ.ร.บ.สภาเกษตรกรที่สร้างเสริมสิทธิเกษตรกรให้เข้าถึงปัจจัยการผลิตและเสนอนโยบายการเกษตรอย่างเป็นระบบ เข้ากับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่สัญญาว่าจะคุ้มครองฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ที่มีความสำคัญเชิงระบบนิเวศน์เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างความมั่นคงด้านอาหาร และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมถึงแผนงานฐานทรัพยากรอาหารที่มุ่งสร้างสรรค์ระบบบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีศักยภาพรองรับระบบการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนมั่นคง ตลอดจนรู้เท่าทันกระบวนการผลิตอาหารที่สร้างผลกระทบต่อพัฒนาการฐานทรัพยากรอาหาร โดยเฉพาะ GMO, FTA และนอมินีที่ดิน
ดังนั้น ฐานทรัพยากรอาหารจึงนับเป็นนวัตกรรมส่วนเพิ่ม (Incremental innovation) ที่พัฒนาต่อยอดจากรากฐานภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางอาหารที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นต้นแบบปฏิบัติ ดัง FAO ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญ Agricola และ Telefood เหรียญแรกของโลกเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณด้านการเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร
ส่วนอธิปไตยทางอาหารก็ได้ขบวนการเคลื่อนไหวของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและเกษตรอินทรีย์ที่เป็นหัวหอกเกษตรกรรมทางเลือก (Alternative agriculture) ผนึกร้อยประสบการณ์ชาวบ้านปากมูลและชาวปะกาเกอญอที่รักษาระบบการผลิตดั้งเดิมและพันธุกรรมพื้นบ้านบนแนวคิดสิทธิชุมชน เข้าต้านทานบรรษัทเกษตรกรรมข้ามชาติด้วยแนวทางโลกาภิวัตน์จากฐานราก (Globalization from below)
ฐานทรัพยากรอาหารจึงเป็นนวัตกรรมกอบกู้ความมั่นคงและอธิปไตยในห้วงวิกฤตเศรษฐกิจและอาหารโลก ด้วยถักถ้อยร้อยรัดสิทธิพึงได้รับอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร และอธิปไตยทางอาหารเข้าด้วยกันอย่างมีพลัง จนสามารถรังสรรค์ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable agriculture) ที่ควบคู่มากับความเป็นธรรมทางสังคมและเศรษฐกิจ.
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
เนื่องด้วยประชากรโลก 1.02 พันล้านคน หรือราว 1 ใน 6 กำลังทุกข์ทรมานหิวโหย โดยในปี 2009 จำนวนคนอดอยากที่เพิ่มขึ้น 105 ล้านคนนั้นไม่ได้มาจากเหตุเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตรระดับโลกตกต่ำลง แต่เป็นผลพวงวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้รายได้ลดลงและคนตกงานมากขึ้นต่างหาก
วันอาหารโลก (World Food Day) ที่ FAO จัดขึ้นทุกวันที่ 16 ตุลาคมของทุกปี ที่ใช้ธีมสิทธิพึงได้รับอาหารในปี 2007 ธีมความมั่นคงอาหารโลก: ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและพลังงานชีวภาพ ในปี 2008 และต่อยอดด้วยธีม ‘การบรรลุความมั่นคงทางอาหารในห้วงวิกฤต’ ในปี 2009 น่าจะทอนสถานการณ์หิวโหยของประชากรโลกอันเนื่องมาจากความเปราะบางด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food security) และอธิปไตยทางอาหาร (Food sovereignty) ตามพิษเศรษฐกิจบวกแรงละโมบของบรรษัทเกษตรกรรมได้ แม้แต่ไทยที่อยู่ใต้อาณัติบรรษัทเกษตรกรรมมาช้านาน
แม้นประเทศไทยไม่ได้เผชิญวิกฤตจลาจลความมั่นคงทางอาหารระดับมหภาคเหมือนเปรูหรือบราซิล ทว่าระดับจุลภาคภาวะข้าวยากหมากแพงกลับกลุ้มรุมทำร้ายหลายครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่ครัวเรือนเกษตรกรที่ควรอุดมสมบูรณ์พูนสุขสำรับกับข้าวเพียบพร้อมโภชนาการ กลับบ่อยคราวที่ไร้ข้าวสารกรอกหม้อ ทั้งๆ เป็นผู้ผลิตอาหารเลี้ยงโลก (Feed the world) มาแต่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
ละม้ายกันกับสิทธิเกษตรกร (Farmers’ rights) ในการเข้าถึงปัจจัยผลิตหลักทั้งเมล็ดพันธุ์ ที่ดิน แหล่งน้ำ ที่เป็นฐานทรัพยากรธรรมชาติ ก็กำลังสั่นคลอนจากการรุกรานของบรรษัทเกษตรกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้อำนาจเงินตราและการล็อบบี้มีอิทธิพลเหนืออธิปไตยทางอาหารของชาติ ชุมชนท้องถิ่น และเกษตรกรรายย่อย โดยการเข้าไปมีส่วนกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อเอื้อผลประโยชน์ตนเอง
อนึ่ง นัยสำคัญของวิกฤตดังกล่าวก่อเกิดจากเกษตรกรไทยเข้าไม่ถึงฐานทรัพยากรธรรมชาติทั้งผืนดิน แหล่งน้ำ ป่าไม้ และความหลากหลายทางชีวภาพ หรือถ้าเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อยอมตกเป็นเบี้ยล่างบรรษัทเกษตรกรรมระดับชาติและข้ามชาติที่แห่แหนกันเข้ามากำหนดกระบวนการผลิตอาหารของประเทศผ่านรูปแบบเกษตรพันธสัญญา (Contact farming) เกษตรเชิงเดี่ยว (Monoculture) ที่เกษตรกรต้องพึ่งพิงเมล็ดพันธุ์และเคมีภัณฑ์ของบรรษัทเหล่านั้นนับแต่เพาะปลูกจนเก็บเกี่ยวผลผลิต
ด้วยเหตุปัจจัยนี้ ความยากจนข้นแค้นที่เป็นพันธนาการล่ามร้อยเกษตรกรไทยทุกยุคทุกสมัยไว้ในความคับแค้นขัดสนหนี้สินล้นพ้นตัวจึงไม่ได้มาจากความแห้งแล้งแห่งผืนแผ่นดินหรือขาดแคลนความหลากหลายทางชีวภาพ หากแต่เป็นนโยบายสาธารณะของรัฐที่ขาดวิสัยทัศน์ ธรรมาภิบาล กีดกันเกษตรกรออกจากฐานทรัพยากรท้องถิ่น รวมถึงเอื้อบรรษัทเกษตรกรรมกว่าเกษตรกร บวกรวมกับการก้าวตามการปฏิวัติเขียว (Green revolution) ของเกษตรกรเองที่ลืมเลือนภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษที่ดำรงตนอยู่ในวิถีเกษตรกรรมแบบเอื้ออาทรระบบนิเวศวิทยา (Ecological agriculture)
ฐานทรัพยากรธรรมชาติอันกอปรด้วยดิน น้ำ ป่า ทะเล และความหลากหลายทางชีวภาพ ฐานวัฒนธรรมทั้งความรู้ ภูมิปัญญา เรื่องเล่า และจิตวิญญาณ และฐานระบบนิเวศน์ ที่เคยอุดมสมบูรณ์แต่ดั้งเดิมจึงเสื่อมสลายลงไปในอัตราเร่งจากการกำหนดนโยบายรัฐที่ไม่สอดคล้องวิถีวัฒนธรรมเกษตรกรรม ดังไร่หมุนเวียนภาคเหนือที่มีข้าว 28 สายพันธุ์ ไร่หมุนเวียนชุมชนจะแก จ.กาญจนบุรี ที่มีข้าวถึง 36 สายพันธุ์ ตามผลการศึกษาโครงการปลูกความหลากหลายให้งอกงามของมูลนิธิชีววิถี
ทั้งนี้ หลังการปฏิวัติเขียว แนวคิดเกษตรกรรมไทยที่ถักถ้อยทุกสิ่งอย่างตั้งแต่ผืนดิน เมล็ดพันธุ์ สรรพสัตว์ จนถึงมนุษย์แบบองค์รวม ร้อยรัดระหว่างกัน (Interconnected) ในเครือข่ายของระบบเกษตรกรรมสลับซับซ้อนไม่มีที่สิ้นสุดก็ถูกแทนที่ด้วยแนวคิดลดทอนแยกส่วน (Reductionism) ของเกษตรกรรมสมัยใหม่ที่ทลายระบบนิเวศน์และวิถีเกษตรพอเพียงเป็นผลิตเพื่อป้อนสายพานอุตสาหกรรม
นับแต่นั้นมา กระบวนการผลิต จัดสรร และกระจายอาหารของประเทศไทยจึงตกใต้อุ้งมือบรรษัทเกษตรกรรมยักษ์ใหญ่ที่ใช้กลไกเศรษฐกิจผูกขาดเข้าครอบงำกำหนดแบบแผนการผลิตตั้งแต่ชนิดพืช เครื่องจักร จนถึงเทคโนโลยี ที่มากครั้งเข้าข่ายใช้เกษตรกรเป็น ‘หนูทดลอง’ เมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่นิ่ง หรือเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม (GM seeds) โดยการโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง ยิ่งกว่านั้นยังแนบเนียนเข้าไปให้ทุนวิจัยกับมหาวิทยาลัย และร่วมพัฒนาวิจัย (R&D) กับหน่วยงานรัฐปรับปรุงพันธุกรรมพืชและสัตว์ โดยส่วนมากสิทธิบัตรมักตกเป็นของบรรษัทนั้นๆ ดังกรณีสมุนไพรไทย
ไม่เท่านั้น สุขภาวะแม่ธรรมชาติยังเสื่อมทรามตามปริมาณการใช้เคมีภัณฑ์ผูกขาดที่ทวีขึ้นทุกวัน พร้อมกันกับสุขภาวะของมนุษย์ทั้งตัวเกษตรกรและผู้บริโภคก็ยังเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ
การสกัดกั้นปรากฏการณ์ข้างต้นไม่ให้ลุกลามทำลายฐานทรัพยากรอาหารของประเทศจนหมดสิ้นจึงต้องมองระบบเกษตรกรรมด้วยมุมมองใหม่แต่เป็นของดีที่ไทยมีอยู่แล้ว คือ เกษตรกรรมเป็นวิถีชีวิตมิใช่สินค้าซื้อหา หากเป็นระบบที่ทุกภาคส่วนทั้งมีชีวิต คน พืช สัตว์ และไม่มีชีวิต ผืนดิน แผ่นน้ำ ลมฟ้าอากาศ มีปฏิสัมพันธ์พึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependent) ฉะนั้นยามผลผลิตตกต่ำ พืชผลไม่งอกงาม จึงแก้ไขด้วยการอัดปุ๋ยเคมีหรือโหมฉีดยาฆ่าแมลงตามแนวคิดเกษตรสมัยใหม่ไม่ได้
ด้วยในข้อเท็จจริง ปัญหาระบบเกษตรกรรมนั้นซับซ้อน ซ่อนส่วนที่จับต้องไม่ได้ (Intangible) ไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการกำหนดนโยบายแบบขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารภาครัฐกับกลุ่มทุนเกษตรกรรม จักรวรรดิทางอาหารกับการปลดแอกอธิปไตย ศรัทธา ค่านิยม จนถึงจิตวิญญาณไทไม่ใช่ทาสอันเป็นปัจจัยภายในของตัวเกษตรกรเองด้วย
ปฏิบัติการแก้วิกฤตจึงต้องมองแบบองค์รวมโดยการผสานกฎกติกาอย่าง พ.ร.บ.สภาเกษตรกรที่สร้างเสริมสิทธิเกษตรกรให้เข้าถึงปัจจัยการผลิตและเสนอนโยบายการเกษตรอย่างเป็นระบบ เข้ากับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่สัญญาว่าจะคุ้มครองฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ที่มีความสำคัญเชิงระบบนิเวศน์เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างความมั่นคงด้านอาหาร และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมถึงแผนงานฐานทรัพยากรอาหารที่มุ่งสร้างสรรค์ระบบบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีศักยภาพรองรับระบบการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนมั่นคง ตลอดจนรู้เท่าทันกระบวนการผลิตอาหารที่สร้างผลกระทบต่อพัฒนาการฐานทรัพยากรอาหาร โดยเฉพาะ GMO, FTA และนอมินีที่ดิน
ดังนั้น ฐานทรัพยากรอาหารจึงนับเป็นนวัตกรรมส่วนเพิ่ม (Incremental innovation) ที่พัฒนาต่อยอดจากรากฐานภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางอาหารที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นต้นแบบปฏิบัติ ดัง FAO ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญ Agricola และ Telefood เหรียญแรกของโลกเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณด้านการเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร
ส่วนอธิปไตยทางอาหารก็ได้ขบวนการเคลื่อนไหวของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและเกษตรอินทรีย์ที่เป็นหัวหอกเกษตรกรรมทางเลือก (Alternative agriculture) ผนึกร้อยประสบการณ์ชาวบ้านปากมูลและชาวปะกาเกอญอที่รักษาระบบการผลิตดั้งเดิมและพันธุกรรมพื้นบ้านบนแนวคิดสิทธิชุมชน เข้าต้านทานบรรษัทเกษตรกรรมข้ามชาติด้วยแนวทางโลกาภิวัตน์จากฐานราก (Globalization from below)
ฐานทรัพยากรอาหารจึงเป็นนวัตกรรมกอบกู้ความมั่นคงและอธิปไตยในห้วงวิกฤตเศรษฐกิจและอาหารโลก ด้วยถักถ้อยร้อยรัดสิทธิพึงได้รับอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร และอธิปไตยทางอาหารเข้าด้วยกันอย่างมีพลัง จนสามารถรังสรรค์ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable agriculture) ที่ควบคู่มากับความเป็นธรรมทางสังคมและเศรษฐกิจ.
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org