xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

เวทีนโยบาย:‘บำนาญแห่งชาติ’ นวัตกรรมที่เข้าถึงใจประชาชน

เผยแพร่:   โดย: ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

ระบบบำนาญแห่งชาติ (กบช.) นับว่าครบถ้วนองค์ประกอบของกระบวนการนวัตกรรม ด้วยเกิดจากความคิดสร้างสรรค์สร้างหลักประกันด้านรายได้สำหรับผู้สูงอายุไทยถ้วนหน้าที่ผสมผสานอย่างลงตัวกับโอกาสที่เปิดกว้างของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 84 (4) ที่กำหนดให้รัฐต้องดำเนินแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจด้วยการจัดให้มีการออมเพื่อการดำรงชีพยามชราแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างทั่วถึงเพื่อรองรับโครงสร้างประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและอายุขัย

ในห้วงขณะคนไทยส่วนใหญ่ไร้หลักประกันยามชราภาพ โอกาสสานฝันประชาชนคนปลายอ้อปลายแขมได้มีช่วงชีวิตไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพราะมีหลักประกันรายได้ในยามร่วงโรยโดยอาศัยเจตนารมณ์กฎหมายสูงสุดที่กำหนดให้รัฐบาลต้องส่งเสริมให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการออมรูปแบบต่างๆ เพื่อการดำรงชีพยามชราภาพเป็นใบเบิกทางสำคัญเช่นนี้ย่อมแผ้วถางหนทางการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนบนความสมัครใจมากกว่าถูกบีบบังคับได้

ถึงแม้นว่าอนาคตสาธารณชนวงกว้างจะขานรับนวัตกรรมนี้ด้วยความยินดียิ่ง ทว่าทางปฏิบัติก็ต้องรอการตัดสินใจจากผู้กุมอำนาจที่มักมองนโยบายผ่านแว่นคะแนนนิยมทางการเมืองเหนืออื่นใด

ดังนั้นต่อให้คำตอบของคำถามว่าความคิดนี้มีคุณค่าต่อประชาชนหรือไม่ เข้ากันได้กับยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของมนุษย์หรือไม่ หรือสมเหตุสมผลในแง่ต้นทุนหรือไม่ จะเป็นไปในทาง ‘บวก’ ทั้งสิ้น ทว่าท้ายสุดประชาชนก็คงต้องร้องเพลงรอต่อไป เนื่องด้วยนักการเมืองมักจะกังวลว่าระบบบำนาญแห่งชาติจักทอนพลังนโยบายประชานิยมแจกฟรีที่ครองใจผู้คนไปในที่สุด

อย่างไรก็ดี ภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนระบบบำนาญแห่งชาติจนสามารถตอบโจทย์สังคมสูงอายุและฐานะการเงินการคลังได้มากกว่ารัฐบาลที่ยังคงหลงเดินหน้าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อไปด้วยไม่เคยเรียนรู้อดีตและปัจจุบันที่ท่วมท้นปัญหานานัปการนับแต่หลักเกณฑ์คัดเลือกผู้สูงวัยจนถึงวิธีจ่ายรายเดือน ก็ต้องหนักแน่นอดทนบ่มเพาะความคิดว่าด้วย ‘นวัตกรรมบำนาญแห่งชาติ’ ต่อไปให้ถึงจุดที่ผู้มีอำนาจจะประเมินนวัตกรรมนั้นด้วยเหตุผลมากกว่าคะแนนนิยมทางการเมือง

แม้ว่าระบบบำนาญแห่งชาติจากการระดมความคิดสร้างสรรค์ของภาคประชาสังคมจะไม่ใช่นวัตกรรมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงจากเดิมโดยสิ้นเชิง (Radical innovation) ไม่เคยเกิดขึ้นที่ใดในโลก หากแต่ก็เป็นนวัตกรรมส่วนเพิ่ม (Incremental innovation) ที่ปรับปรุงจากระบบบำนาญเดิมที่มีอยู่แล้วในไทยทั้งในส่วนของภาครัฐและชุมชนต่างๆ โดยขยายจุดมุ่งหมายให้ครอบคลุมผู้สูงวัยไทยทุกคน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบบบำนาญแห่งชาติจะเสริมสร้างศักยภาพกองทุนชุมชนทั่วไทยที่ลงมือทำบำนาญชราภาพไปแล้ว กำลังจะลงมือทำ หรือไม่เคยมีความคิดจะทำเลยเพราะมุ่งเฉพาะสวัสดิการชุมชน เช่น เงินฌาปณกิจสงเคราะห์ และเงินทุพพลภาพ ให้มีความเข้มแข็งขึ้นมากจากการมีหลักเกณฑ์กติกาการจ่ายเบี้ยบำนาญรอบคอบสอดรับกับพลวัตสังคมสูงอายุไทย

เพราะถ้าไร้หลักเกณฑ์รัดกุม กองทุนชุมชนก็จะล้มละลายตามการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์เมื่อถึงช่วงเวลาจ่ายบำนาญชราภาพงวดละมหาศาลในอนาคต อันเนื่องมาจากโครงสร้างประชากรในชุมชนมีสัดส่วนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น ขณะหนุ่มสาววัยแรงงานลดลง และที่สำคัญคำสัญญาว่าจะจ่ายเงินบำนาญจำนวนแน่นอนตามสูตรที่กำหนด (Defined benefit) แทนการจ่ายบำนาญตามจำนวนเงินที่จ่ายเข้ากองทุนรวมกับผลประโยชน์ที่ได้จากการลงทุน (Defined contribution) อันเป็นบัญชีรายบุคคล

การปรับรูปแบบบำนาญจาก Defined benefit เป็น Defined contribution จะสามารถรักษาสถานภาพมีชีวิตของกองทุนชุมชนได้ด้วยเข้าไปเสริมสร้างความมั่นคงยั่งยืนภายใน

ในห้วงขณะนี้ ระบบบำนาญแห่งชาติไม่น่าติดขัดเรื่องเทคนิคการบริหารจัดการเท่ากับเจตจำนงทางการเมือง (Political will) ของกลุ่มกุมอำนาจ และกระบวนการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจสู่สาธารณชนว่าจะสามารถแปลงตัวเลขสลับซับซ้อนเกี่ยวกับจุดดีของนวัตกรรมนี้ให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญว่าทำไมถึงสร้างความมั่นคงหลังอายุ 60 ปีให้พวกเขาได้

ในหลายทางออกนั้น หนึ่งวิธีคือต้องสร้างนวัตกรรมส่วนเพิ่มอย่างยาวนานต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพการดำเนินงาน ขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนการบริหารจัดการลง จนกระทั่งสามารถนำพาบำนาญแห่งชาติเข้าครองหัวใจประชาชน ตลอดจนสังคมและรัฐบาลยอมรับกว่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

โดยห้วงยามเปลี่ยนผ่านจากเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่รัฐบาลแจกฟรีมาเป็นระบบบำนาญแห่งชาติที่ประชาชนเก็บหอมรอมริบเงินทองของตนเองโดยรัฐบาลร่วมสมทบในวงเงินเท่าๆ กับที่เคยใช้จ่ายเบี้ยยังชีพ นอกจากจะทลายความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลที่เปลี่ยนไปในแต่ละชุดได้แล้ว ยังฟื้นคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้สูงอายุไทยที่เคยถูกสังคมและครอบครัวติดฉลากว่าเป็นภาระหนักอึ้งได้ด้วยจากการมีเงินทองส่วนตัวไว้ใช้ในปริมาณมากกว่าครึ่งพันที่เบี้ยยังชีพให้

ทั้งนี้ การสร้างสรรค์นวัตกรรมส่วนเพิ่มอย่างเป็นระบบจะขับเคลื่อนระบบบำนาญแห่งชาติก้าวไปในทิศทางถูกต้องบนถนนสายนวัตกรรมที่เน้นหนักหลัก ‘Simple is the best’ เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ตัดทอนการเพิ่มเติมสิ่งที่ไม่จำเป็น กระทั่งผลิผลผลิตเป็นระบบบำนาญแห่งชาติที่เปิดกว้างทั้งด้านช่องทางเข้าถึง (Access) และทางเลือก (Choice) แก่ประชาชนให้สามารถเลือกลงทุนตามศักยภาพได้

กระนั้นการเคลื่อนขับระบบบำนาญแห่งชาติก็จำเป็นต้องรอรัฐบาลให้สร้างกระบวนการที่เป็นนวัตกรรมเข้ามารองรับก่อน โดยต้องกระทำมากกว่าพันธสัญญาทางการเมืองเหมือนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ด้วยการกำหนดเป็นนโยบายรัฐบาลด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของมนุษย์ว่าด้วยการออมเพื่อสร้างหลักประกันรายได้ในยามชราภาพตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ

ไม่เช่นนั้นนอกจากจะดึงดูดผู้คนให้หันมาสร้างวัฒนธรรมการออมไม่ได้แล้ว ต้นทุนการบริหารจัดการยังเสี่ยงสูงเกินกว่าประชาชนจักยอมรับด้วย เนื่องจากเกรงจะประสบชะตากรรมเหมือนดังหลายกองทุนของรัฐที่ขาดธรรมาภิบาลด้านการบริหารจัดการ นำเงินสมาชิกไปลงทุนจนขาดทุนย่อยยับ

การสร้างนวัตกรรมในกระบวนการและการบริการที่รวดเร็วกว่าทว่าต้นทุนต่ำกว่าจะทำให้ระบบบำนาญแห่งชาตินี้ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนผู้ประเมินด่านสุดท้ายว่าดีกว่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เนื่องด้วยนวัตกรรมใหม่นี้มีโอกาสมากมายในการปรับปรุงให้ดีขึ้นจนถึงจุดที่สามารถเข้ามาแทนที่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ครองตลาดวัยชราได้ ไม่เหมือนกับเบี้ยยังชีพที่ถึงจุดอิ่มตัว พัฒนาการไม่มี อย่างดีที่สุดก็แค่การหาเสียงว่าจะให้ถ้วนหน้าและสัญญาว่าจะจ่ายมากกว่า 500 บาท/คน/เดือน

เมื่อนวัตกรรมบำนาญแห่งชาติครองตลาด อนาคตเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุก็คงจะจำกัดอยู่ในกลุ่มคนเฒ่าคนแก่คับแค้นขัดสนที่ต้องการจริงๆ เท่านั้น หาใช่ให้ถ้วนหน้าแบบไม่เลือกคนรวยล้นฟ้ากับจนติดดินดั่งปัจจุบันนี้ อีกทั้งต่อให้เพิ่มเม็ดเงินก็ไม่มีทางข้ามพ้นเส้นความยากจนของประเทศไทยไปได้

ในมุมรัฐที่เป็นผู้บริหารจัดการระบบบำนาญแห่งชาติ การปรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมาสมทบออมร่วมกับประชาชนบนสายพานนวัตกรรมนี้น่าจะเสริมสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้นานที่สุดของผู้สูงอายุ (Active and Productive Ageing) รวมถึงลดทอนความเสี่ยงที่รัฐบาลจะถังแตกเสียเองจากการจ่ายเบี้ยยังชีพถ้วนหน้านับหมื่นแสนล้านบาท/ปีในอนาคต

แต่การไม่เลิกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทันที ทว่าลงทุนในระบบบำนาญแห่งชาติควบคู่กันไปด้วยก็จะตอบสนองความต้องการมีหลักประกันรายได้ในยามชราของประชาชนและเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ปรารถนาสร้างวัฒนธรรมการออมได้ ด้วยระหว่างพัฒนานวัตกรรมนี้ได้ใช้การออกแบบที่เข้าถึงใจคน (Empathetic design) โดยการสังเกต เก็บข้อมูล ทบทวนวิเคราะห์ ระดมความคิดเห็น และพัฒนาระบบต้นแบบ จากประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะคนปลายอ้อปลายแขมเป็นสำคัญ

ด้วยเหตุนี้รัฐบาลควรเร่งรีบ ‘ซื้อไอเดีย’ นวัตกรรมบำนาญแห่งชาติที่ออกแบบได้ถึงใจประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะวัยรุ่นปัจจุบันที่จะได้หลอมรวมตัวเป็นฟันเฟืองพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และประชาธิปไตยได้โดยไม่ต้องพะวักพะวงวันข้างหน้าว่าแก่เฒ่าแล้วจะพอมีกินหรือไม่ ด้วยมีหลักประกันรายได้ในยามชรารองรับแล้ว

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
กำลังโหลดความคิดเห็น