พล.อ.นพดล อินทปัญญา
จะเป็นใคร มาจากไหน หรือมีประวัติเคยรับราชการมาอย่างไรก็ช่างหัวเถอะ
แต่วันนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้ง พล.อ.นพดล ให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
พล.อ.นพดล ออกมาพูดแทนตระกูลวงษ์สุวรรณ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า
“ตอนนี้ไม่ยอมแล้ว จะเอาจริงเอาจังกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะถือว่ายอมมามากแล้ว และเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำฝ่ายเดียว ตอนนี้จะเดินหน้าฟ้องตามกฎหมายทุกอย่างหรือนอกกฎหมายก็จะยอมทำ”
คำพูดนี้ท้าทายอำนาจรัฐ หลักนิติรัฐ และสุจริตชนว่า คนที่มีอำนาจใหญ่โตขนาดนั้น เป็นเลขานุการของรัฐมนตรีที่บังคับบัญชากองทัพ ประกาศว่า จะใช้วิธีการนอกกฎหมายจัดการกับคนที่กล่าวหาตระกูลวงษ์สุวรรณ
ไม่น่าเชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้ยังปล่อยให้คนอย่างนี้ทำงานในรัฐบาลต่อไปได้อย่างไร
เพราะเมื่อผู้สื่อข่าวนำเรื่องนี้ไปถามนายกรัฐมนตรี ก็ตอบเพียงว่า ไม่มีใครมีสิทธิทำอะไรนอกกฎหมายได้ ตัวเขาย้ำอยู่เสมอว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
แต่นายกรัฐมนตรีก็พูดเพียงแค่นั้น ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ เพราะสังคมเขารู้ว่า ขั้วที่ค้ำยันรัฐบาลอยู่นั้น ก็คือ ทหารซึ่งส่ง พล.อ.ประวิตรเข้ามาเป็น รมว.กลาโหม และเป็นกลุ่มที่ดึงนายเนวินออกมาจากพรรคเพื่อไทย ทำให้คุณอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้นทุกอย่างก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้ว พล.อ.นพดล ออกมาแถลงแบ่งรับแบ่งสู้ข้างๆ คูๆ ในสัปดาห์นี้ว่า ไม่รู้ว่าคำพูดนอกกฎหมายหลุดไปตอนไหน จำไม่ได้ แต่ไม่อยากปฏิเสธ เดี๋ยวจะหาว่าเลขาฯปลิ้นปล้อน ตลบตะแลงไม่กล้ารับผิดชอบไม่ใช่ลูกผู้ชาย
“ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นคำพูดของผมไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับ รมว.กลาโหมหรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และการออกมาพูดครั้งนี้ไม่ได้เป็นการตัดตอน หากมีอะไรจะเกิดขอให้เกิดกับผมคนเดียวโดยคำพูดดังกล่าวก็ไม่ได้หมายความว่า จะใช้กำลังทำร้ายใครที่ผิดกฎหมาย อยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงตรงนี้ว่าไม่มีใครบุคคลใดเกี่ยวข้องในเรื่องนี้” พล.อ.นพดล กล่าว
และว่า การให้สัมภาษณ์วันนั้นไม่มีการอัดเทป จะปฏิเสธไปก็ได้ แต่ไม่ปฏิเสธเพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าหลุดคำพูดใดออกไปบ้าง
แม้ว่า พล.อ.นพดล จะอธิบายว่า จะไม่ใช้กำลังทำร้ายใครที่ผิดกฎหมาย แปลเป็นไทย ก็คือ แก้ตัวหลังจากที่พูดให้สังคมตกใจไปแล้ว ผมจึงอยากถามว่า คำพูดนั้นจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อประชาชนได้อย่างไร
กระสุนปืนจากอาวุธสงครามกว่าร้อยนัดที่ยิงถล่มคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถือเป็นวิธีนอกกฎหมายหรือไม่ เบื้องหลังการออกหมายจับของตำรวจที่มีทั้งตำรวจและทหารร่วมมือกันนั้น เป็นการสั่งการนอกกฎหมายของใครบางคนหรือไม่
ตอนที่พันธมิตรฯ ชุมนุมอยู่มีกระสุนปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าใส่ทั้งที่ทำเนียบฯ และสนามบิน มีการปาระเบิด มีการยิงปืนเข้าใส่หลายครั้งนั้นเป็นวิธีการนอกกฎหมายหรือไม่
กระสุนปืนหลายร้อยนัดที่ยิงเข้าใส่สำนักงานเอเอสทีวี เป็นวิธีการนอกกฎหมายหรือไม่
ยิ่งขบวนการค้ำบังลังก์รัฐบาลที่เชื่อมโยงกับนายเนวินแล้วก็ยิ่งเป็นปัญหา เพราะตอนนี้เครือข่ายเสื้อแดง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ออกมาเปิดเผยว่า สมัยที่ออกมาเคลื่อนไหวใต้ดินของกลุ่มเสื้อแดงที่พุ่งเป้าไปที่กองทัพในสมัย คมช. และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์นั้น เกมใต้ดินต่างๆ เป็นฝีมือของนายเนวินทั้งสิ้น
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอกว่า วันนี้นายเนวิน และกลุ่มทหารที่อุ้มพล.อ.ประวิตรให้นั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหมนั้น ทำงานการเมืองหลังม่านอยู่ด้วยกัน
ดังนั้น นอกจากคำพูดว่า ไม่มีใครมีสิทธิทำอะไรนอกกฎหมายได้ ของนายกรัฐมนตรีแล้ว จะมีใครการันตีได้ว่า ประชาชนและพวกเราจะไม่ถูกใช้วิธีนอกกฎหมายในการเล่นงานอีก เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาสะท้อนว่า กฎหมายนั้นไม่สามารถคุ้มครองพวกเราให้พ้นจากวิธีนอกกฎหมายของอำนาจมืดได้
แล้ว พล.อ.นพดล ก็ไม่ได้ธรรมดาที่ไหน
บันทึกการสอบสวนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ของกระทรวงกลาโหม ได้บันทึกว่า การลั่นกระสุนปืนใส่ประชาชน จากปากคำของพ.อ.นพดล อินทปัญญา เสธ.พล. 1 รอ. (ยศในขณะนั้น) รับว่า ในเช้ามืดวันที่ 17 พ.ค. พล.ร.1 รอ.ได้นำหน่วยทหาร เข้าคลี่คลายสถานการณ์ที่ถนนราชดำเนินนอก หลังจากมีการเผา สน.นางเลิ้ง และมีกลุ่มคนโพกผ้าดำ กลุ่มจักรยานยนต์และขี้เมาก่อเหตุชุลมุนราว 200-300 คน ทหารเดินเป็น 2 แถวหน้ากระดาน แถวหน้ายิงๆ ไปก็วิ่งไปที เข้าใจว่า โดนคน เห็นคนเจ็บหรือตายประมาณ 4 คน
รายงานของหนังสือพิมพ์ มติชนสุดสัปดาห์ ในเดือนมิถุนายน 2551 มีการเขียนรายงานเรื่อง “ศึกชิงกองทัพ “หมัก-แม้ว-พันธมิตรฯ” รอวัน “อนุพงษ์” เลือกข้าง เปิดแผน “สายลับหญิง” เจาะ คมช.-สลาย ตท. 6 หยุดปฏิวัติ”
รายงานชิ้นนั้นของผู้ใช้นามปากกา “พฤหัส อัสดง” ว่า
“ไม่แค่นั้น ด้วยฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณและนายสมัครรู้ดีว่า ยังมีอดีตบิ๊ก คมช. ซึ่งก็ล้วนยังเป็น ผบ.เหล่าทัพอยู่ หนุนหลังกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อหวังแก้ตัวแก้มือจากความล้มเหลวครั้งก่อน จึงทำให้เตรียมทหาร 6 รุ่นของบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.รวมทั้ง บิ๊กตุ่น พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกลาโหม บิ๊กต๋อย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. และ บิ๊กอุ๊ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. และพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส.ตกเป็นเป้าในการสลายความเป็นหนึ่ง ความเป็นเอกภาพ”
“โดยใช้ “สายลับหญิง” เจาะเข้ามาอยู่ในรุ่นนี้ แล้วเปิดตัวในงานเลี้ยงรุ่น ตท. 6 ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ร้านอาหารย่านสามเสน ที่สร้างความฮือฮาและเมาธ์แตก เมื่อบิ๊กกี่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา พาเจ๊หน่อย นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคพลังประชาชน และผู้ทรงพลังและใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นแขกเซอร์ไพรส์ จนทำให้ พล.อ.สนธิยกเลิกมาร่วมงาน”
บันทึกในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และรายงานของ “มติชนสุดสัปดาห์” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและตัวตนของพล.อ.นพดล และทำให้เห็นว่า พล.อ.นพดล หรือบิ๊กกี่นั้น มีความใกล้ชิดกับนางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ผมไม่ได้บอกว่าการใกล้ชิดกับนางสุดารัตน์จะมีความผิดนะครับ ตราบใดที่ยังอยู่ในครรลองของศีลธรรม เพียงแต่รายงานของผู้เขียนที่ชื่อ “พฤหัส อัสดง” นั้นทำให้เห็นถึงเส้นสายโยงใยของคนทั้งสองกลุ่มว่า ใครมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับใครระหว่างอำนาจเก่าและอำนาจใหม่
วันนี้คุณอภิสิทธิ์ยังคงปล่อยให้พล.อ.นพดล นั่งเป็นเลขานุการ รมว.กลาโหมต่อไป
คดีคนร้ายยิงคุณสนธิของขบวนการนอกกฎหมายที่คุณอภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า “พอจะทราบแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังแต่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนไม่เหมาะสมเพราะกลายเป็นเครื่องชี้นำ และต้องรอพยานหลักฐาน”
วันนี้พวกนอกกฎหมายเหล่านี้ก็ยังลอยนวลอยู่ ยากเหลือเกินที่จะสาวถึงตัวการใหญ่ได้
หรือว่า การพูดว่า ไม่มีใครมีสิทธิทำอะไรนอกกฎหมายได้ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของคุณอภิสิทธิ์นั้น เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู
แล้วปล่อยให้ขบวนการนอกกฎหมายยังมีอิทธิพลอยู่เหนืออำนาจรัฐ เพราะถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีเรา
จะเป็นใคร มาจากไหน หรือมีประวัติเคยรับราชการมาอย่างไรก็ช่างหัวเถอะ
แต่วันนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้ง พล.อ.นพดล ให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
พล.อ.นพดล ออกมาพูดแทนตระกูลวงษ์สุวรรณ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า
“ตอนนี้ไม่ยอมแล้ว จะเอาจริงเอาจังกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะถือว่ายอมมามากแล้ว และเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำฝ่ายเดียว ตอนนี้จะเดินหน้าฟ้องตามกฎหมายทุกอย่างหรือนอกกฎหมายก็จะยอมทำ”
คำพูดนี้ท้าทายอำนาจรัฐ หลักนิติรัฐ และสุจริตชนว่า คนที่มีอำนาจใหญ่โตขนาดนั้น เป็นเลขานุการของรัฐมนตรีที่บังคับบัญชากองทัพ ประกาศว่า จะใช้วิธีการนอกกฎหมายจัดการกับคนที่กล่าวหาตระกูลวงษ์สุวรรณ
ไม่น่าเชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้ยังปล่อยให้คนอย่างนี้ทำงานในรัฐบาลต่อไปได้อย่างไร
เพราะเมื่อผู้สื่อข่าวนำเรื่องนี้ไปถามนายกรัฐมนตรี ก็ตอบเพียงว่า ไม่มีใครมีสิทธิทำอะไรนอกกฎหมายได้ ตัวเขาย้ำอยู่เสมอว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
แต่นายกรัฐมนตรีก็พูดเพียงแค่นั้น ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ เพราะสังคมเขารู้ว่า ขั้วที่ค้ำยันรัฐบาลอยู่นั้น ก็คือ ทหารซึ่งส่ง พล.อ.ประวิตรเข้ามาเป็น รมว.กลาโหม และเป็นกลุ่มที่ดึงนายเนวินออกมาจากพรรคเพื่อไทย ทำให้คุณอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้นทุกอย่างก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้ว พล.อ.นพดล ออกมาแถลงแบ่งรับแบ่งสู้ข้างๆ คูๆ ในสัปดาห์นี้ว่า ไม่รู้ว่าคำพูดนอกกฎหมายหลุดไปตอนไหน จำไม่ได้ แต่ไม่อยากปฏิเสธ เดี๋ยวจะหาว่าเลขาฯปลิ้นปล้อน ตลบตะแลงไม่กล้ารับผิดชอบไม่ใช่ลูกผู้ชาย
“ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นคำพูดของผมไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับ รมว.กลาโหมหรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และการออกมาพูดครั้งนี้ไม่ได้เป็นการตัดตอน หากมีอะไรจะเกิดขอให้เกิดกับผมคนเดียวโดยคำพูดดังกล่าวก็ไม่ได้หมายความว่า จะใช้กำลังทำร้ายใครที่ผิดกฎหมาย อยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงตรงนี้ว่าไม่มีใครบุคคลใดเกี่ยวข้องในเรื่องนี้” พล.อ.นพดล กล่าว
และว่า การให้สัมภาษณ์วันนั้นไม่มีการอัดเทป จะปฏิเสธไปก็ได้ แต่ไม่ปฏิเสธเพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าหลุดคำพูดใดออกไปบ้าง
แม้ว่า พล.อ.นพดล จะอธิบายว่า จะไม่ใช้กำลังทำร้ายใครที่ผิดกฎหมาย แปลเป็นไทย ก็คือ แก้ตัวหลังจากที่พูดให้สังคมตกใจไปแล้ว ผมจึงอยากถามว่า คำพูดนั้นจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อประชาชนได้อย่างไร
กระสุนปืนจากอาวุธสงครามกว่าร้อยนัดที่ยิงถล่มคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถือเป็นวิธีนอกกฎหมายหรือไม่ เบื้องหลังการออกหมายจับของตำรวจที่มีทั้งตำรวจและทหารร่วมมือกันนั้น เป็นการสั่งการนอกกฎหมายของใครบางคนหรือไม่
ตอนที่พันธมิตรฯ ชุมนุมอยู่มีกระสุนปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าใส่ทั้งที่ทำเนียบฯ และสนามบิน มีการปาระเบิด มีการยิงปืนเข้าใส่หลายครั้งนั้นเป็นวิธีการนอกกฎหมายหรือไม่
กระสุนปืนหลายร้อยนัดที่ยิงเข้าใส่สำนักงานเอเอสทีวี เป็นวิธีการนอกกฎหมายหรือไม่
ยิ่งขบวนการค้ำบังลังก์รัฐบาลที่เชื่อมโยงกับนายเนวินแล้วก็ยิ่งเป็นปัญหา เพราะตอนนี้เครือข่ายเสื้อแดง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ออกมาเปิดเผยว่า สมัยที่ออกมาเคลื่อนไหวใต้ดินของกลุ่มเสื้อแดงที่พุ่งเป้าไปที่กองทัพในสมัย คมช. และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์นั้น เกมใต้ดินต่างๆ เป็นฝีมือของนายเนวินทั้งสิ้น
ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอกว่า วันนี้นายเนวิน และกลุ่มทหารที่อุ้มพล.อ.ประวิตรให้นั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหมนั้น ทำงานการเมืองหลังม่านอยู่ด้วยกัน
ดังนั้น นอกจากคำพูดว่า ไม่มีใครมีสิทธิทำอะไรนอกกฎหมายได้ ของนายกรัฐมนตรีแล้ว จะมีใครการันตีได้ว่า ประชาชนและพวกเราจะไม่ถูกใช้วิธีนอกกฎหมายในการเล่นงานอีก เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาสะท้อนว่า กฎหมายนั้นไม่สามารถคุ้มครองพวกเราให้พ้นจากวิธีนอกกฎหมายของอำนาจมืดได้
แล้ว พล.อ.นพดล ก็ไม่ได้ธรรมดาที่ไหน
บันทึกการสอบสวนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ของกระทรวงกลาโหม ได้บันทึกว่า การลั่นกระสุนปืนใส่ประชาชน จากปากคำของพ.อ.นพดล อินทปัญญา เสธ.พล. 1 รอ. (ยศในขณะนั้น) รับว่า ในเช้ามืดวันที่ 17 พ.ค. พล.ร.1 รอ.ได้นำหน่วยทหาร เข้าคลี่คลายสถานการณ์ที่ถนนราชดำเนินนอก หลังจากมีการเผา สน.นางเลิ้ง และมีกลุ่มคนโพกผ้าดำ กลุ่มจักรยานยนต์และขี้เมาก่อเหตุชุลมุนราว 200-300 คน ทหารเดินเป็น 2 แถวหน้ากระดาน แถวหน้ายิงๆ ไปก็วิ่งไปที เข้าใจว่า โดนคน เห็นคนเจ็บหรือตายประมาณ 4 คน
รายงานของหนังสือพิมพ์ มติชนสุดสัปดาห์ ในเดือนมิถุนายน 2551 มีการเขียนรายงานเรื่อง “ศึกชิงกองทัพ “หมัก-แม้ว-พันธมิตรฯ” รอวัน “อนุพงษ์” เลือกข้าง เปิดแผน “สายลับหญิง” เจาะ คมช.-สลาย ตท. 6 หยุดปฏิวัติ”
รายงานชิ้นนั้นของผู้ใช้นามปากกา “พฤหัส อัสดง” ว่า
“ไม่แค่นั้น ด้วยฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณและนายสมัครรู้ดีว่า ยังมีอดีตบิ๊ก คมช. ซึ่งก็ล้วนยังเป็น ผบ.เหล่าทัพอยู่ หนุนหลังกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อหวังแก้ตัวแก้มือจากความล้มเหลวครั้งก่อน จึงทำให้เตรียมทหาร 6 รุ่นของบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.รวมทั้ง บิ๊กตุ่น พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกลาโหม บิ๊กต๋อย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. และ บิ๊กอุ๊ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. และพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส.ตกเป็นเป้าในการสลายความเป็นหนึ่ง ความเป็นเอกภาพ”
“โดยใช้ “สายลับหญิง” เจาะเข้ามาอยู่ในรุ่นนี้ แล้วเปิดตัวในงานเลี้ยงรุ่น ตท. 6 ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ร้านอาหารย่านสามเสน ที่สร้างความฮือฮาและเมาธ์แตก เมื่อบิ๊กกี่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา พาเจ๊หน่อย นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคพลังประชาชน และผู้ทรงพลังและใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นแขกเซอร์ไพรส์ จนทำให้ พล.อ.สนธิยกเลิกมาร่วมงาน”
บันทึกในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และรายงานของ “มติชนสุดสัปดาห์” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและตัวตนของพล.อ.นพดล และทำให้เห็นว่า พล.อ.นพดล หรือบิ๊กกี่นั้น มีความใกล้ชิดกับนางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ผมไม่ได้บอกว่าการใกล้ชิดกับนางสุดารัตน์จะมีความผิดนะครับ ตราบใดที่ยังอยู่ในครรลองของศีลธรรม เพียงแต่รายงานของผู้เขียนที่ชื่อ “พฤหัส อัสดง” นั้นทำให้เห็นถึงเส้นสายโยงใยของคนทั้งสองกลุ่มว่า ใครมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับใครระหว่างอำนาจเก่าและอำนาจใหม่
วันนี้คุณอภิสิทธิ์ยังคงปล่อยให้พล.อ.นพดล นั่งเป็นเลขานุการ รมว.กลาโหมต่อไป
คดีคนร้ายยิงคุณสนธิของขบวนการนอกกฎหมายที่คุณอภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า “พอจะทราบแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังแต่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนไม่เหมาะสมเพราะกลายเป็นเครื่องชี้นำ และต้องรอพยานหลักฐาน”
วันนี้พวกนอกกฎหมายเหล่านี้ก็ยังลอยนวลอยู่ ยากเหลือเกินที่จะสาวถึงตัวการใหญ่ได้
หรือว่า การพูดว่า ไม่มีใครมีสิทธิทำอะไรนอกกฎหมายได้ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของคุณอภิสิทธิ์นั้น เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู
แล้วปล่อยให้ขบวนการนอกกฎหมายยังมีอิทธิพลอยู่เหนืออำนาจรัฐ เพราะถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีเรา