xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ รมว.กลาโหมคิดลงมือนอกกฏหมาย !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ผ่าประเด็นร้อน

“วันนี้ไม่ยอมแล้ว จะเอาจริงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะถือว่ายอมมามากแล้วและเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำฝ่ายเดียว ตอนนี้จะเดินหน้าฟ้องตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง หรือจะนอกกฎหมายก็จะต้องกระทำ”

คำพูดของ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นพี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากมีกระแสข่าวว่า พล.ต.อ.พัชรวาท จะถูกปลดพ้นตำแหน่ง และถูกระบุว่าเป็น “ตอใหญ่” ในคดีลอบยิง สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีผู้จัดการ

คำพูดในลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นการ “ข่มขู่” อย่างตรงไปตรงมาของ พล.อ.ประวิตร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งคุมกองทัพทั้ง 3 เหล่าทัพ เพราะคนที่ออกมาพูดคือ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เป็นเลขานุการ ย่อมถือว่าเป็นการพูดในฐานะตัวแทนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

อีกทั้งผ่านมา 3-4 วันแล้ว แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ปฏิเสธคำพูดดังกล่าวของ พล.อ.นพดล การ “นิ่งเงียบ” ก็ย่อมหมายความว่าเป็นเจตนาของเจ้าตัวโดยตรง

จากนั้นก็ต้องพิจารณากันแบบต่อเนื่องกับคำพูดในลักษณะนี้ เพราะถือว่าไม่เหมาะสม ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องถูกประณามอย่างรุนแรงจากสังคมทั่วไป

การลงมือนอกกฎหมายจากฝ่ายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหมายถึง “อะไร” ย่อมทำให้หลายฝ่ายคิดไปได้ต่างๆ นานา เพราะคนกลุ่มนี้มีอำนาจทรงอิทธิพลในทางการเมือง ที่สำคัญพวกเขาคุมกองทัพและถืออาวุธ

คำว่า นอกกฎหมาย อาจหมายรวมไปถึงการลงมือแบบ “ใต้ดิน” เช่นตั้งกลุ่มติดอาวุธล่าสังหารฝ่ายตรงข้าม หรือคนที่ไม่ชอบขี้หน้า หรือคนที่มาขัดขวางการใช้อำนาจของตัวเอง หรือนอกจากนี้ยังหมายถึงการก่อรัฐประหาร อีกด้วย

คำพูดของ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่มีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับ พล.อ.ประวิตร พูดออกมาแบบนี้และยังไม่มีใครออกมาชี้แจง ก็คงไม่อาจมองข้ามไปได้เป็นอันขาด

เพราะนี่เป็นการพูดที่ข่มขู่แบบตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรก ซึ่งยังไม่เคยมีนายทหารที่ถือว่าอยู่ในศูนย์อำนาจพูดในลักษณะแบบนี้มาก่อน

ที่ผ่านมา หากพิจารณาจากบทบาทแล้วก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.ต.อ.พัชรวาท น้องชาย และเชื่อมโยงไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก มีส่วนสำคัญสำหรับการค้ำจุนรัฐบาลชุดนี้ ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่า การทำหน้าที่ในด้านการรักษาความมั่นคง การรักษาความสงบทำได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง

นอกจากนี้ ในคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล หากกล่าวเฉพาะ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.อ.อนุพงษ์ ยังถูกมองว่าไม่กระตือรือล้นในการช่วยติดตามหาตัวคนร้าย ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานที่ผู้ใต้บังคับบัญชาตกเป็นผู้ต้องหา ขณะที่คนแรกเป็นเจ้าพนักงานรักษากฎหมาย แต่กลับถูกตั้งข้อสงสัยว่า “เป็นตอ” ในการคลี่คลายคดีเสียเอง

ประกอบกับที่ผ่านมา พล.ต.อ.พัชรวาท เคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีจัดซื้อจัดจ้างบริษัทโฆษณาและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนกว่า 18 ล้านบาท สมัยที่ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยฝ่าฝืนหรือขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และต่อมาในรัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เคยใช้เป็นเหตุผลในคำสั่งย้ายมาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2551

แต่ต่อมาก็มีคำสั่งจาก ชวรัตน์ ชาญวีระกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกฯในขณะนั้นให้ พล.ต.อ.พัชรวาท กลับมาเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอย่างมีเงื่อนงำ ในช่วงที่มีการตั้งรัฐบาลใหม่ และมี พล.อ.ประวิตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ดังนั้นเมื่อเชื่อมโยงอำนาจกันในลักษณะของพี่น้องเพื่อนร่วมรุ่น หรืออดีตผู้บังคับบัญชาก็ย่อมถือว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างล้ำลึก และแยกกันไม่ออก และการแสดงท่าทีก้าวร้าวดังกล่าว ก็ย่อมถูกมองได้ว่า เป็นการแสดงอำนาจเพื่อปกป้องน้องชายของตัวเอง นั่นคือเป็นเรื่อง “ผลประโยชน์ส่วนตัว”เท่านั้น

การที่มีนายทหารใกล้ชิดออกมาพูดว่า จะลงมือตอบโต้ทั้งในและ “นอกกฎหมาย” นอกจากเป็นคำพูดที่สมควรประณามแล้วยังเป็นท่าที “ล้าหลัง” ที่สังคมอารยะไม่อาจยอมรับกันได้

ที่สำคัญ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะได้ยินจากปากของนายทหารคนหนึ่งในยุคนี้ !!

กำลังโหลดความคิดเห็น