ต้องบอกให้รับรู้ว่า“มันเป็นปัญหาแล้ว” ไม่ใช่อย่างที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อสุดสัปดาห์ โดยย้ำหลายครั้ง เกี่ยวกับกรณีสถานะเก้าอี้ของพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
“ทั้งหมดพูดคุยเข้าใจและตรงกัน อย่าทำให้เป็นปัญหา”
เพราะวันนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ใช่เพียงแค่ “พูดไม่ตรงกัน” กับนายกฯ แต่ได้แสดงทีท่า ส่งสัญญาณชัดเจน
ขัดขืน-แข็งข้อ ต่อผู้นำประเทศ ไม่ลาพักทั้งสั้นทั้งยาว จะเป็น ผบ.ตร.ต่อไป มีอะไรมั้ย !!?
เพียงเท่านี้ก็เป็นปัญหาแล้ว สำหรับพะนะทั่น ที่เงื้อดาบ ทำขู่จะเชือด จะปลด มาร่วมสัปดาห์ แต่สุดท้ายออกแนวประนีประนอม รักษาหน้าคู่กรณี และเครือข่ายแบ็กอัพ รวมทั้งรักษาความปลอดภัยแก่เก้าอี้ผู้นำของตัวเอง
แค่ข้อเสนอแนวนิ่ม ที่แนะทางออกให้ผบ.ตร. ลาราชการ ถูกตอกกลับหน้าหงายแบบนี้ คิดไม่ออกว่า “อภิสิทธิ์” จะเป็นนายกฯ ต่อไปอย่างไร!!?
ตรงนี้ไม่ได้มาเรียกร้องให้ อภิสิทธิ์ ต้องเลือกข้าง เพียงแต่อยากให้เป็นอย่างที่พยายามพูด ที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย ยึดความเป็นนิติรัฐ เข้าคลี่คลายในทุกคดีอุกฉกรรจ์ ไม่เฉพาะคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ
ไม่ต้องถึงขนาดที่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท มีเครือข่ายคนใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ เพียงแค่ประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม มีทัศนคติติดลบกับผู้เสียหาย คือคุณสนธิ ก็ถือเป็นอุปสรรคในการสะสางคดี
ไม่ต้องเป็น“ตอ” เป็นแค่เสี้ยน ก็ตำตีน ทำให้เดินหน้าไม่ได้แล้ว ต่อให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีลอบสังหาร สนธิ ทำงานหนักเพียงใด ก็ตาม เจอหัวหน้าหน่วยแบบนี้ ไปไม่เป็นแน่
ทั้งนี้หากจะวิเคราะห์อาการไม่กล้าอย่างฉับพลันทันด่วน ที่เกิดขึ้นกับคนเป็นผู้นำประเทศ นอกเหนือไปจากสาเหตุ เก้าอี้ ผบ.ตร.แบ็กแข็ง
มี“ระบอบพี่ใหญ่” คอยเป็นฐานค้ำเก้าอี้ ผบ.ตร. คุ้มกะลาหัว
ยังมีปมสำคัญที่ทำให้“อภิสิทธิ์” ลังเลลงดาบ เพราะไม่มั่นใจในอำนาจตามกฎหมาย ทั้งการปลดหรือโยกย้าย รวมทั้งการรื้อโผแต่งตั้งนายพลตำรวจ ตามร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552
เลือกทางรอบคอบในการพิจารณาข้อกฎหมายถี่ถ้วน ป้องกันการถูกฟ้องร้องกลับ
แต่พูดอีกอย่างคือ “กลัวย้อนศร”
โดยเฉพาะด้วยข้อมูลที่รายงานกันออกมา งานนี้อีกฝ่ายมีหลักฐานสำคัญ เป็น“ใบเสร็จ” รายการคุณขอมา ของคนใกล้ชิดนายกฯ ที่เข้าไปเกี่ยวกับโผการแต่งตั้ง152 นายพล ตร.
ปม “เด็กฝาก” เป็นใบเสร็จที่เตรียมถูกนำแฉเอาคืน
อีกทั้งปมที่เริ่มเอามาถล่ม กับรัฐธรรมนูญมาตรา 266 และ268 ห้ามรัฐมนตรีใช้สถานะหรือตำแหน่งหน้าที่ในการเป็นรัฐมนตรี เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ
ดาบผู้นำเลยไร้ความศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นของเล่นพลาสติก ใช้จิ้ม แหย่เล่นเท่านั้น
ทั้งที่ว่าตามจริง กับกรณีข้อกฎหมาย ในการบริหารราชการแผ่นดิน ในฐานะผู้บริหารประเทศ มีช่องทางมากมายที่จะแก้ไขปัญหา และอุปสรรคในการทำงานได้
มือกฎหมายเต็มรัฐบาล ล้นพรรค ไม่มีใครคิดอ่านได้เลยหรือ
เอาแค่แนวทางเลือกที่กลุ่มพันธมิตรฯ เสนอนำไปพิจารณา 3 กรณี ที่สามารถแตะต้อง “ขาใหญ่ สตช.”ได้แล้ว เช่นกรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนการใช้เงิน 18 ล้าน ของสตช. ที่ไม่โปร่งใส
ประเด็นนี้ แม้แต่ “ชายกระโปรง” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังเคยสั่งโยกย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการประจำสำนักนายกฯมาแล้ว
“หน้าแหย”ยังกล้า แล้ว“หน้าหล่อ” ทำไมถึง“หงอ”!!?
อีก 2 ประเด็น ที่ ผบ.ตร.รายนี้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งการถูกชี้มูลว่า มีความผิดวินัยและอาญา ในกรณีเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ก็สามารถสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการพิจารณาของป.ป.ช.
รวมทั้งปัญหาการย่อหย่อนประสิทธิภาพในการดูแลการประชุมอาเซียน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่กระแสเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงผู้นำตำรวจ ตั้งแต่หลังเหตุการณ์แล้ว
ในเรื่องความชอบธรรมสำหรับคนเป็นผู้นำประเทศ ที่ย่อมต้องการ จัดวางกำลังคนมาเป็นกลไก ในการทำงาน และย่อมมีช่องให้ทำตรงนี้ หากคิดเสาะหา
เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอย่างที่เห็น บทเรียนจากเหตุการณ์สงกรานต์เดือด ล้มประชุมพัทยา โดยที่ตำรวจ-ทหาร ครึ่งค่อนหมื่น รับมือคนเสื้อแดงแค่หลักพันไม่ได้ เพราะเกียร์ว่าง ดับเครื่อง
นายกฯ สั่งการอะไรไม่ได้ คุมสถานการณ์ไม่อยู่ หวิดกลายเป็นรัฐล้มเหลว รัฐบาลเป็ดง่อยกันไปแล้ว ถ้าคราวนั้น โยนผ้าขาว ไม่ยอมฮึดต่อกรกับ “ขั้วอำนาจใหม่” ที่ปฏิบัติการ รัฐประหารเงียบ
“กล้า”และ“สู้”เท่านั้น ถึงจะอยู่รอด !
สถานการณ์ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน “อภิสิทธิ์” อย่าคิดว่า การเงื้อดาบ เพียงเพื่อหวังประนีประนอม ต่อรองเจรจา เพื่อเกี้ยเซียะ แบ่งปันกันกับขั้วอำนาจใหม่ แล้วจะไปต่อได้ตลอดรอดฝั่ง
เจรจาต่อรองลงตัวในคาบนี้ แล้วจะเคลียร์หมดจด ไม่มีปม “คาใจ” เพราะเมื่อไปกระตุกหนวดเสือ เชื่อเถอะ
เสือเมื่อโชว์เขี้ยวเล็บแล้ว อันตราย ถูกขย้ำได้ทุกเมื่อ!
เห็นได้ว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายของพล.ต.อ.พัชรวาท ดาหน้าออกมาท้าทายอำนาจในการบริหารของนายกฯ เพียงใด ยังใช้รูปแบบการข่มขู่ แบล็กเมล์ ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ คนเป็นผู้นำประเทศ ก็ไร้ค่าไร้ความหมาย
ต่อไปข้าราชการ ไม่กลัวที่จะแข็งข้อขัดขืน เมื่อมีกรณีตัวอย่างให้เห็นกันแล้ว
ทั้งนี้ ที่ต้องจับสัญญาณกันให้ดี กับใบปลิวลึกลับที่นำมาวางที่ห้องนักข่าว ในกองบัญชาการกองทัพบกในห้วงเวลาของเกมการยื้อ และยัน การเขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร. สรุปเนื้อความได้ว่า
“อภิสิทธิ์”เดินแผนปลด ผบ.ตร. ยึดอำนาจตำรวจ และต่อไปจะรุกคืบโค่นเก้าอี้ ผบ.ทบ. เพื่อครอบกองทัพ
ปลุกตำรวจ กระตุกทหาร ต้านอภิสิทธิ์!
เกมนี้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว จากอาการแข็งขืนของ พล.ต.อ.พัชรวาท โดยการสนับสนุนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เต็มที่ “น้องผมผิดอะไร” ไปจนกระทั่งผ่านมาจากปาก พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อน ตท. 6 ของ พล.ต.อ.ประวิตร
คนที่มีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร เป็นถึงเลขานุการ รมว.กลาโหม ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประกาศ “ จะต่อสู้ทางในวิถีทางกฎหมาย และนอกกฎหมาย”
ขั้วอำนาจใหม่ ฮึ่มๆ เล่นนอกระบบ!
ขณะที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เต็มไปด้วยสีกากี ที่ฝักใฝ่ในขั้วอำนาจ“สีแดง” ที่ฝังรากลึกมาจากการสร้างฐานรัฐตำรวจมาจาก“ระบอบทักษิณ” อยู่แล้ว
ขณะนี้ยังเริ่มมีการปลุกกระแสของคนแวดวงสีกากี ให้ต่อต้านรัฐบาล
โดยเฉพาะสมาคมตำรวจ ที่มี พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ ที่ออกโรงมาปกป้องคนในแวดวงสีกากีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ กับกรณีการตรวจสอบเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ของป.ป.ช. ที่มีตำรวจถูกตั้งข้อหาชี้มูลจำนวนมาก
ยังไม่รวมกับเครือข่ายทางการเมือง ของกลุ่มคนที่ถูกมองว่าเป็น “ขั้วอำนาจใหม่” ที่กำลังสยายปีกสร้างเครือข่าย เพื่อปูทางสู่เก้าอี้นายกฯ โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมืองเสื้อสีน้ำเงิน ของ เนวิน ชิดชอบ ในพรรคภูมิใจไทย
ที่แม้ยังไม่ขยับ แต่ก็อ่านทางได้ว่า หาก“พี่ใหญ่” ส่งสัญญาณ ก็จะต้องลงสนามในฝั่งฝ่ายไหน เพราะก็ได้รับประโยชน์จากการขึ้นมาผงาดของน้องชาย พล.อ.ประวิตร ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจในสาย “เดอะห้อย” ได้ดิบได้ดิบดีกันเป็นแผง
และที่ได้โควตาครอบครองกระทรวงสำคัญๆ ทั้งมหาดไทย พาณิชย์ คมนาคม ก็ด้วยเพราะเกมจับขั้วในค่ายทหาร เลือกที่จะผูกสัมพันธ์กับ“บิ๊กสีเขียว”
มีแต้มต่อที่เหนือกว่า ได้ขี่คอ ขย่มเขย่า “อภิสิทธิ์” อยู่ทุกวันนี้
ที่ยกมาทั้งหมด เชื่อว่า “อภิสิทธิ์” ก็รับรู้ และประเมินออกถึงสถานการณ์ภายหลังการกระตุกหนวดเสือ แหย่รังแตน ต่อไปภายภาคหน้า หนทางไม่ราบรื่นแน่
เสี่ยงที่จะถูกเสือขย้ำ หรือโดนต่อแตนรุมต่อยได้ทุกเมื่อ
นั่นก็อยู่ที่ว่า จะเลือกทางใด ถึงเหนื่อยที่จะต่อกรกับพลังอำนาจของขั้วการเมืองที่เป็นเครือข่ายใหญ่ กองกำลังผสม นักการเมือง ตำรวจ ทหาร เพื่อรักษาความถูกต้อง แม้ว่าจะต้องสุ่มเสี่ยงอำนาจในมือต้องหลุดลอยไปในที่สุด
ถ้าเลือกที่จะกล้า เลือกที่จะสู้ ก็ยังพอมีทางรอด ยังมองเห็นอนาคตต่อไปในภายภาคหน้าสำหรับผู้นำประเทศ ที่ยังอายุยังน้อย
มีโอกาสเติบโต จากนายกฯ“เด็กน้อย”
แต่หากเป็นในทางตรงกันข้าม เลือกที่จะเจรจาต่อรอง ก็คงเกี้ยเซียะกันได้เฉพาะหน้า สุดท้ายก็หยวนๆ กันไป สุดท้ายก็คงไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง
ที่สำคัญจะส่งผลต่ออำนาจการบริหาร ในฐานะผู้นำประเทศ ทำอะไร สั่งการอะไร ไม่มีใครรับฟัง และเป็นแค่หมากที่เขาใช้เดินบนเกมกระดานอำนาจ
เป็น“นายกฯหุ่นเชิด” ของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เป็น “เด็กที่ไม่ยอมโต”
โดนขั้วแดง พรรคเพื่อไทยปรามาส ขั้วอำนาจใหม่จะข่ม “ลูกไก่ในกำมือ” จะสอยร่วงเมื่อไรก็ได้ ขณะที่เชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อเหลือง- พันธมิตรฯ ก็คงไม่มีใครอยาก “ให้ใจ” กับมวยแพ้
เพราะชกไม่สมศักดิ์ศรี!
ทั้งหมดทั้งปวง คงต้องวัดใจ “อภิสิทธิ์” จะเลือกทางไหน หากมองแค่ว่า อยู่ได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ถนัดที่เป็นฝ่ายค้านมากกว่า เป็นรัฐบาล เท่านี้ก็พอแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมฟังเสียงนกหวีดเป่าหมดเกม จบอย่างผู้แพ้ได้เลย !
“ทั้งหมดพูดคุยเข้าใจและตรงกัน อย่าทำให้เป็นปัญหา”
เพราะวันนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ใช่เพียงแค่ “พูดไม่ตรงกัน” กับนายกฯ แต่ได้แสดงทีท่า ส่งสัญญาณชัดเจน
ขัดขืน-แข็งข้อ ต่อผู้นำประเทศ ไม่ลาพักทั้งสั้นทั้งยาว จะเป็น ผบ.ตร.ต่อไป มีอะไรมั้ย !!?
เพียงเท่านี้ก็เป็นปัญหาแล้ว สำหรับพะนะทั่น ที่เงื้อดาบ ทำขู่จะเชือด จะปลด มาร่วมสัปดาห์ แต่สุดท้ายออกแนวประนีประนอม รักษาหน้าคู่กรณี และเครือข่ายแบ็กอัพ รวมทั้งรักษาความปลอดภัยแก่เก้าอี้ผู้นำของตัวเอง
แค่ข้อเสนอแนวนิ่ม ที่แนะทางออกให้ผบ.ตร. ลาราชการ ถูกตอกกลับหน้าหงายแบบนี้ คิดไม่ออกว่า “อภิสิทธิ์” จะเป็นนายกฯ ต่อไปอย่างไร!!?
ตรงนี้ไม่ได้มาเรียกร้องให้ อภิสิทธิ์ ต้องเลือกข้าง เพียงแต่อยากให้เป็นอย่างที่พยายามพูด ที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย ยึดความเป็นนิติรัฐ เข้าคลี่คลายในทุกคดีอุกฉกรรจ์ ไม่เฉพาะคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ
ไม่ต้องถึงขนาดที่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท มีเครือข่ายคนใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ เพียงแค่ประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม มีทัศนคติติดลบกับผู้เสียหาย คือคุณสนธิ ก็ถือเป็นอุปสรรคในการสะสางคดี
ไม่ต้องเป็น“ตอ” เป็นแค่เสี้ยน ก็ตำตีน ทำให้เดินหน้าไม่ได้แล้ว ต่อให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีลอบสังหาร สนธิ ทำงานหนักเพียงใด ก็ตาม เจอหัวหน้าหน่วยแบบนี้ ไปไม่เป็นแน่
ทั้งนี้หากจะวิเคราะห์อาการไม่กล้าอย่างฉับพลันทันด่วน ที่เกิดขึ้นกับคนเป็นผู้นำประเทศ นอกเหนือไปจากสาเหตุ เก้าอี้ ผบ.ตร.แบ็กแข็ง
มี“ระบอบพี่ใหญ่” คอยเป็นฐานค้ำเก้าอี้ ผบ.ตร. คุ้มกะลาหัว
ยังมีปมสำคัญที่ทำให้“อภิสิทธิ์” ลังเลลงดาบ เพราะไม่มั่นใจในอำนาจตามกฎหมาย ทั้งการปลดหรือโยกย้าย รวมทั้งการรื้อโผแต่งตั้งนายพลตำรวจ ตามร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552
เลือกทางรอบคอบในการพิจารณาข้อกฎหมายถี่ถ้วน ป้องกันการถูกฟ้องร้องกลับ
แต่พูดอีกอย่างคือ “กลัวย้อนศร”
โดยเฉพาะด้วยข้อมูลที่รายงานกันออกมา งานนี้อีกฝ่ายมีหลักฐานสำคัญ เป็น“ใบเสร็จ” รายการคุณขอมา ของคนใกล้ชิดนายกฯ ที่เข้าไปเกี่ยวกับโผการแต่งตั้ง152 นายพล ตร.
ปม “เด็กฝาก” เป็นใบเสร็จที่เตรียมถูกนำแฉเอาคืน
อีกทั้งปมที่เริ่มเอามาถล่ม กับรัฐธรรมนูญมาตรา 266 และ268 ห้ามรัฐมนตรีใช้สถานะหรือตำแหน่งหน้าที่ในการเป็นรัฐมนตรี เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ
ดาบผู้นำเลยไร้ความศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นของเล่นพลาสติก ใช้จิ้ม แหย่เล่นเท่านั้น
ทั้งที่ว่าตามจริง กับกรณีข้อกฎหมาย ในการบริหารราชการแผ่นดิน ในฐานะผู้บริหารประเทศ มีช่องทางมากมายที่จะแก้ไขปัญหา และอุปสรรคในการทำงานได้
มือกฎหมายเต็มรัฐบาล ล้นพรรค ไม่มีใครคิดอ่านได้เลยหรือ
เอาแค่แนวทางเลือกที่กลุ่มพันธมิตรฯ เสนอนำไปพิจารณา 3 กรณี ที่สามารถแตะต้อง “ขาใหญ่ สตช.”ได้แล้ว เช่นกรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนการใช้เงิน 18 ล้าน ของสตช. ที่ไม่โปร่งใส
ประเด็นนี้ แม้แต่ “ชายกระโปรง” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังเคยสั่งโยกย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการประจำสำนักนายกฯมาแล้ว
“หน้าแหย”ยังกล้า แล้ว“หน้าหล่อ” ทำไมถึง“หงอ”!!?
อีก 2 ประเด็น ที่ ผบ.ตร.รายนี้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งการถูกชี้มูลว่า มีความผิดวินัยและอาญา ในกรณีเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ก็สามารถสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการพิจารณาของป.ป.ช.
รวมทั้งปัญหาการย่อหย่อนประสิทธิภาพในการดูแลการประชุมอาเซียน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่กระแสเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงผู้นำตำรวจ ตั้งแต่หลังเหตุการณ์แล้ว
ในเรื่องความชอบธรรมสำหรับคนเป็นผู้นำประเทศ ที่ย่อมต้องการ จัดวางกำลังคนมาเป็นกลไก ในการทำงาน และย่อมมีช่องให้ทำตรงนี้ หากคิดเสาะหา
เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอย่างที่เห็น บทเรียนจากเหตุการณ์สงกรานต์เดือด ล้มประชุมพัทยา โดยที่ตำรวจ-ทหาร ครึ่งค่อนหมื่น รับมือคนเสื้อแดงแค่หลักพันไม่ได้ เพราะเกียร์ว่าง ดับเครื่อง
นายกฯ สั่งการอะไรไม่ได้ คุมสถานการณ์ไม่อยู่ หวิดกลายเป็นรัฐล้มเหลว รัฐบาลเป็ดง่อยกันไปแล้ว ถ้าคราวนั้น โยนผ้าขาว ไม่ยอมฮึดต่อกรกับ “ขั้วอำนาจใหม่” ที่ปฏิบัติการ รัฐประหารเงียบ
“กล้า”และ“สู้”เท่านั้น ถึงจะอยู่รอด !
สถานการณ์ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน “อภิสิทธิ์” อย่าคิดว่า การเงื้อดาบ เพียงเพื่อหวังประนีประนอม ต่อรองเจรจา เพื่อเกี้ยเซียะ แบ่งปันกันกับขั้วอำนาจใหม่ แล้วจะไปต่อได้ตลอดรอดฝั่ง
เจรจาต่อรองลงตัวในคาบนี้ แล้วจะเคลียร์หมดจด ไม่มีปม “คาใจ” เพราะเมื่อไปกระตุกหนวดเสือ เชื่อเถอะ
เสือเมื่อโชว์เขี้ยวเล็บแล้ว อันตราย ถูกขย้ำได้ทุกเมื่อ!
เห็นได้ว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายของพล.ต.อ.พัชรวาท ดาหน้าออกมาท้าทายอำนาจในการบริหารของนายกฯ เพียงใด ยังใช้รูปแบบการข่มขู่ แบล็กเมล์ ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ คนเป็นผู้นำประเทศ ก็ไร้ค่าไร้ความหมาย
ต่อไปข้าราชการ ไม่กลัวที่จะแข็งข้อขัดขืน เมื่อมีกรณีตัวอย่างให้เห็นกันแล้ว
ทั้งนี้ ที่ต้องจับสัญญาณกันให้ดี กับใบปลิวลึกลับที่นำมาวางที่ห้องนักข่าว ในกองบัญชาการกองทัพบกในห้วงเวลาของเกมการยื้อ และยัน การเขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร. สรุปเนื้อความได้ว่า
“อภิสิทธิ์”เดินแผนปลด ผบ.ตร. ยึดอำนาจตำรวจ และต่อไปจะรุกคืบโค่นเก้าอี้ ผบ.ทบ. เพื่อครอบกองทัพ
ปลุกตำรวจ กระตุกทหาร ต้านอภิสิทธิ์!
เกมนี้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว จากอาการแข็งขืนของ พล.ต.อ.พัชรวาท โดยการสนับสนุนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เต็มที่ “น้องผมผิดอะไร” ไปจนกระทั่งผ่านมาจากปาก พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อน ตท. 6 ของ พล.ต.อ.ประวิตร
คนที่มีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร เป็นถึงเลขานุการ รมว.กลาโหม ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประกาศ “ จะต่อสู้ทางในวิถีทางกฎหมาย และนอกกฎหมาย”
ขั้วอำนาจใหม่ ฮึ่มๆ เล่นนอกระบบ!
ขณะที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เต็มไปด้วยสีกากี ที่ฝักใฝ่ในขั้วอำนาจ“สีแดง” ที่ฝังรากลึกมาจากการสร้างฐานรัฐตำรวจมาจาก“ระบอบทักษิณ” อยู่แล้ว
ขณะนี้ยังเริ่มมีการปลุกกระแสของคนแวดวงสีกากี ให้ต่อต้านรัฐบาล
โดยเฉพาะสมาคมตำรวจ ที่มี พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ ที่ออกโรงมาปกป้องคนในแวดวงสีกากีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ กับกรณีการตรวจสอบเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ของป.ป.ช. ที่มีตำรวจถูกตั้งข้อหาชี้มูลจำนวนมาก
ยังไม่รวมกับเครือข่ายทางการเมือง ของกลุ่มคนที่ถูกมองว่าเป็น “ขั้วอำนาจใหม่” ที่กำลังสยายปีกสร้างเครือข่าย เพื่อปูทางสู่เก้าอี้นายกฯ โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมืองเสื้อสีน้ำเงิน ของ เนวิน ชิดชอบ ในพรรคภูมิใจไทย
ที่แม้ยังไม่ขยับ แต่ก็อ่านทางได้ว่า หาก“พี่ใหญ่” ส่งสัญญาณ ก็จะต้องลงสนามในฝั่งฝ่ายไหน เพราะก็ได้รับประโยชน์จากการขึ้นมาผงาดของน้องชาย พล.อ.ประวิตร ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจในสาย “เดอะห้อย” ได้ดิบได้ดิบดีกันเป็นแผง
และที่ได้โควตาครอบครองกระทรวงสำคัญๆ ทั้งมหาดไทย พาณิชย์ คมนาคม ก็ด้วยเพราะเกมจับขั้วในค่ายทหาร เลือกที่จะผูกสัมพันธ์กับ“บิ๊กสีเขียว”
มีแต้มต่อที่เหนือกว่า ได้ขี่คอ ขย่มเขย่า “อภิสิทธิ์” อยู่ทุกวันนี้
ที่ยกมาทั้งหมด เชื่อว่า “อภิสิทธิ์” ก็รับรู้ และประเมินออกถึงสถานการณ์ภายหลังการกระตุกหนวดเสือ แหย่รังแตน ต่อไปภายภาคหน้า หนทางไม่ราบรื่นแน่
เสี่ยงที่จะถูกเสือขย้ำ หรือโดนต่อแตนรุมต่อยได้ทุกเมื่อ
นั่นก็อยู่ที่ว่า จะเลือกทางใด ถึงเหนื่อยที่จะต่อกรกับพลังอำนาจของขั้วการเมืองที่เป็นเครือข่ายใหญ่ กองกำลังผสม นักการเมือง ตำรวจ ทหาร เพื่อรักษาความถูกต้อง แม้ว่าจะต้องสุ่มเสี่ยงอำนาจในมือต้องหลุดลอยไปในที่สุด
ถ้าเลือกที่จะกล้า เลือกที่จะสู้ ก็ยังพอมีทางรอด ยังมองเห็นอนาคตต่อไปในภายภาคหน้าสำหรับผู้นำประเทศ ที่ยังอายุยังน้อย
มีโอกาสเติบโต จากนายกฯ“เด็กน้อย”
แต่หากเป็นในทางตรงกันข้าม เลือกที่จะเจรจาต่อรอง ก็คงเกี้ยเซียะกันได้เฉพาะหน้า สุดท้ายก็หยวนๆ กันไป สุดท้ายก็คงไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง
ที่สำคัญจะส่งผลต่ออำนาจการบริหาร ในฐานะผู้นำประเทศ ทำอะไร สั่งการอะไร ไม่มีใครรับฟัง และเป็นแค่หมากที่เขาใช้เดินบนเกมกระดานอำนาจ
เป็น“นายกฯหุ่นเชิด” ของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เป็น “เด็กที่ไม่ยอมโต”
โดนขั้วแดง พรรคเพื่อไทยปรามาส ขั้วอำนาจใหม่จะข่ม “ลูกไก่ในกำมือ” จะสอยร่วงเมื่อไรก็ได้ ขณะที่เชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อเหลือง- พันธมิตรฯ ก็คงไม่มีใครอยาก “ให้ใจ” กับมวยแพ้
เพราะชกไม่สมศักดิ์ศรี!
ทั้งหมดทั้งปวง คงต้องวัดใจ “อภิสิทธิ์” จะเลือกทางไหน หากมองแค่ว่า อยู่ได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ถนัดที่เป็นฝ่ายค้านมากกว่า เป็นรัฐบาล เท่านี้ก็พอแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมฟังเสียงนกหวีดเป่าหมดเกม จบอย่างผู้แพ้ได้เลย !