xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิบัติการ(ลับ)หน้าห้อง “พล.อ.ป.” !

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

2 ประเด็น ซึ่งเกี่ยวกับเดิมพันอันสูงยิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในวันนี้ เรื่องแรกคือเรื่องของผู้ถูกออกหมายจับ 2 คน คือ “คดีลอบสังหารสนธิ” และเรื่องที่สองคือเรื่อง “โผโยกย้ายตำรวจอัปยศ”

จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา และ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ผู้ถูกออกหมายจับในลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้แสดงปฏิกิริยาอย่างพร้อมเพรียงกันคือ 1.ไม่มามอบตัวเพื่อและหลบหนีต่อสู้คดี 2.หลบหนีราชการจนต้องถูกปลดออกจากราชการ 3.ต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อไม่ต้องมามอบตัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ต่อสู้ด้วยการฟ้องร้องต่อพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.อ.วิชาญวัชร์ บริรักษ์กุล พนักงานสอบสวน บช.น.เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และกระทำการอันมิชอบเพื่อจะกลั่นแกล้งบุคคลให้รับโทษทางอาญาโดยไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ,200

4 สิงหาคม 2552 ศาลอาญาได้ตรวจคำฟ้องแล้วจึงพิพาษายกฟ้อง เพราะจำเลยทั้งสองรวบรวมพยานหลักฐานแล้วมีความเห็นว่าโจทก์เป็นผู้ต้องสงสัยว่าร่วมกระทำผิด และได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับโจทก์ ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับตามคำขอแล้ว ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

แม้จะยกฟ้องไปแล้วก็ยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของคำฟ้องครั้งนี้ ซึ่งมีเนื้อความสรุปเหตุผลของการฟ้องร้องว่า กลั่นแกล้ง ใช้ข้อหาเป็นความเท็จ โดยอ้างว่าในวันเกิดเหตุได้ไปเป็นคณะกรรมการเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคีที่วัดดินแดง อ.เขาสมิง จ.ตราด จะขอมอบตัวเมื่อเห็นว่ามีความปลอดภัย และเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากตำรวจ โดยขอมอบตัวก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องของศาล และได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 5 ตุลาคม 2552

เป็นความบังเอิญว่าถ้าสมมุติว่าศาลประทับรับฟ้องจริงและนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 5 ตุลาคม 2552 คดีนี้ก็คงพ้นมือของ พ.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ไปแล้ว เพราะจะเกษียณอายุพ้นจากราชการในวันที่ 1 ตุลาคม 2552

เป็นการวางแผนในทางกฎหมายที่ “ตื้นเขิน” แต่มี “เป้าหมาย” ลึกซึ้งไม่ธรรมดา!

ที่น่าสนใจก็คือ เหตุผลที่ จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ได้ใช้ในคำฟ้องนั้น เป็นเหตุผลเดียวกันที่ กลุ่มบุคคลทหารระดับนายพลและพันเอกรวม 5 นาย ที่ระบุว่าเป็นทีมงาน “หน้าห้องพลเอก ป.” ที่ขอมาชี้แจงข้อมูลเพื่อโน้มน้าวระดับบรรณาธิการของสถานีโทรทัศน์ ASTV และหนังสือพิมพ์ ASTV-ผู้จัดการ เมื่อวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2552 ที่ชั้น 2 ร้านก๋วยเตี๋ยววัดสังเวช

เหตุผลของ “หน้าห้องพลเอก ป.” ที่ขอมาชี้แจงนั้น พยายามโยนผิดหรือตั้งข้อสงสัยให้กับ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร พยายามโยนผิดให้สงสัยคนในระบอบทักษิณฝ่ายเดียว พยายามโยนผิดให้สงสัยทีมงานตำรวจของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ และพยายามทำให้เชื่อว่าฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกเสี้ยมให้ชนกับ พล.อ.ป.กันเอง

แต่เหตุผลทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถโน้มน้าวให้กับบรรณาธิการของ ASTV-ผู้จัดการ และ ASTV ให้เชื่อได้เลย เพราะข้อมูลและหลักฐานที่อยู่ในมือนั้นมีน้ำหนักเกินกว่าที่จะมีใครมาสั่นคลอนได้

โดยเฉพาะหลายคำถามที่คนของ ASTV – ผู้จัดการ และ ASTV ได้ถามกลับไปในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องกระสุน พล.ร.9 ที่ ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์ก่อนล่วงหน้า, ความไม่ชัดเจนเรื่อง จ.ส.อ.ปัญญา ยังอยู่ในราชการหรือไม่และเหตุใดไม่ส่งตัวหรือปลดออกจากราชการ, การหลบหนีคดีความของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน, เรื่องที่มีการใส่ความป้ายผิดให้กับ “ฟ้า” , เรื่องจุดยืนของผู้บังคับบัญชาว่ามองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทำคุณต่อชาติราชบัลลังก์หรือเป็นปัญหาความมั่นคง คณะทีมงานดังกล่าวไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้

ทีมงานทั้ง 5 คน ได้ขอร้องกับ ASTV-ผู้จัดการ และ ASTV ว่าอย่าได้ลงเป็นข่าวการมาพูดคุยในเรื่องนี้ เพราะคณะดังกล่าวมากันเองโดยที่ผู้บังคับบัญชาไม่ได้สั่งการมา เรื่องนี้จึงได้เงียบสนิทไปเพื่อให้เกียรติกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขอใช้สิทธิ์ในการชี้แจงนอกรอบ

หลังจากนั้นในสัปดาห์ถัดไป ปรากฏว่าทางกองทัพบกได้แถลงข่าวปลด จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ให้ออกจากราชการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2552 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จะมาเจอกับคณะของ ASTV และ หนังสือพิมพ์ ASTV-ผู้จัดการ 1 วัน

แต่ที่ต้องตัดสินใจที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผยในวันนี้ก็เพราะมีนายทหารอีก 1 คนในคณะดังกล่าว ที่อ้างว่าเป็นเพื่อนกับ พ.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ และเป็นเพื่อนของคนหน้าห้องกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เข้ามาชี้แจงด้วยนั้น ได้ชี้แจงกรณี จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหราในหลายประเด็น ซึ่งบังเอิญว่า เหตุผลที่ให้ในวันนั้นเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ จ.ส.อ.ปัญญา ใช้ในคำฟ้องครั้งนี้ในทุกตัวอักษร และเป็นเหตุผลเดียวกันกับทนายที่ให้สัมภาษณ์ !

ทันทีที่คำฟ้องของ“จ่าปัญญา”เปิดเผย คนของ ASTV และหนังสือพิมพ์ ASTV-ผู้จัดการ ที่ได้ไปฟังคำชี้แจงในวันนั้น จึงต้องหันกลับมามองคณะทหารที่มาพูดคุยในวันนั้นและตั้งคำถามว่า คนเหล่านั้นมากันเองหรือว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของทีมปฏิบัติการพิเศษที่ต่อสู้ด้านการข่าว หรือที่เรียกว่า Information Operation (IO) ที่มีกระแสข่าวว่าได้มีความคิดที่จะจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่การประชุมอาเซียนที่จังหวัดภูเก็ตที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้กับคดีลอบฆ่า สนธิ ลิ้มทองกุล

ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลในวันนั้นย่อมเป็นประโยชน์ในการช่วยคลี่คลายคดีได้

เพราะทำให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าการต่อสู้ของ จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา น่าจะไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่เพียงแค่ทนาย 1 คน แต่น่าจะมีผู้ที่รับรู้และสนับสนุนมากกว่านั้น!

คนที่น่าจะรู้ว่า จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหราอยู่ที่ไหน ก็น่าจะไม่เกินความสามารถของคนที่อยู่หน้าห้อง พล.อ.ป. ที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้!


จึงขอใช้พื้นที่นี้ส่งข้อความและความปรารถนาดีกับผู้ที่ลงมือปฏิบัติพยายามลอบสังหารสนธิ ลิ้มทองกุล ในวันที่ 17 เมษายน 2552 ว่า หากคนเหล่านั้นเป็นบุคคลากรในหน่วยเฉพาะกิจที่ทำหน้าที่ต่อต้านการก่อการร้ายและรับคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยหน้าที่อยู่แล้ว คนเหล่านี้ยังมีโอกาสรอดได้

ลองพิจารณาให้ดี หากมามอบตัวและสารภาพความจริงทั้งหมด และใช้เหตุผลว่าตัวเองได้รับคำสั่งผู้บังคับบัญชาคนใดซึ่งตัวเองมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่ง และไม่สามารถสอบถามใดๆในงานความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่บ้านเมืองประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงคนที่จะต้องรับผิดชอบแทนที่จะเป็นผู้ปฏิบัติการลงมือ ก็อาจจะกลายเป็นผู้บังคับบัญชาเท่านั้นที่จะต้องถูกลงโทษทางกฎหมาย

แต่ถ้ายิ่งดิ้น ยิ่งบิดเบือน ยิ่งโกหก เมื่อถูกจับได้ก็จะเท่ากับรับรู้และรู้เห็นเป็นใจในการลอบสังหารนายสนธิไปด้วย คนที่ต้องหลบหนีทั้งชีวิตหรือถูกฆ่าตัดตอนก็จะกลายเป็นผู้ปฏิบัติการเท่านั้น

ปฏิบัติหน้าห้องของ พล.อ.ป. อย่าให้เหมือนกับ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นปฏิบัติการหน้าห้องของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีความคิดที่จะใช้วิธีการ “นอกกฎหมาย” กับคนที่พาดพิง ครอบครัว “วงษ์สุวรรณ” ทำให้ประชาชนอาจเข้าใจผิดว่า กระทรวงกลาโหมยุค พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เลี้ยงคนและใช้คนประเภทพร้อมทำวิธีการนอกกฎหมายได้ ใช่หรือไม่ !?

เรื่องของปฏิบัติการหน้าห้องที่ทำอะไรไม่ทันยั้งคิดหรือรับคำสั่งมาโดยคิดว่าประชาชนรู้ไม่เท่านั้นไม่ได้มีเฉพาะเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น ยังมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและบ่อยๆ ก็คือการปกปิดข้อมูลและข้อเท็จจริงเพื่อหนีความผิดของตัวเองและพวกพ้อง ตัวอย่างกรณีล่าสุดก็คือ โผโยกย้ายตำรวจปีนี้!

28 กรกฎาคม 2552 พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายบริหาร 2 (รอง ผบ.ตร.บร.2) ในฐานะโฆษกตำรวจ กล่าวถึง การแต่งตั้งระดับผู้บัญชาการถึงผู้บังคับการ 152 ตำแหน่ง ในวาระปรับโครงสร้างก่อนหน้านี้ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ว่า หลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้อนุมัติแต่งตั้งระดับนายพลตามโครงสร้างใหม่ จนถึงขณะนี้เรื่องยังอยู่ที่ ตร.ยังไม่มีการเสนอ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย

เรื่องโผโยกย้ายตำรวจ “ยังไม่มีการเสนอ” ที่กล้าหาญนำเสนอโดย โฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงต้องตอบให้ได้ว่าใครโกหกระหว่างโฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือข้อมูลจากบทความในคอลัมน์ “เรื่องมันฟ้อง” โดยกรงเล็บ ที่อ้างถึง หนังสือ นร.05808/ท 4812 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 จากสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ตีกลับโผนายพลดังกล่าวที่ตั้งเรื่องรอให้มีการนำขึ้นทูลเกล้าฯแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยหนังสือถึงกองทะเบียนพล สำนักกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันถัดมาคือ 21 กรกฎาคม 2552 พร้อมกับให้เหตุผลการส่งคืนโผนายพลครั้งนี้ว่า: “ส่งคืนรอรับการโปรดเกล้าฯ โครงสร้างใหม่”

เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะถ้าหากมีความพยายามนำเสนอการจัดโผโยกย้ายตำรวจของ กตร. เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งทั้งๆที่ไม่ได้มีโครงสร้างรองรับ ก็ต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จริงหรือไม่?

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะ ผบ.ตร. และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้ทำหน้าที่ประธาน กตร. ถ้าเป็นผู้นำเสนอ ครม. เพื่อโปรดเกล้าฯ จะรับผิดชอบอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น !?

อย่าใช้เพียงแค่ โฆษกตำรวจ มาหลอกประชาชน กลบเกลื่อนความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ที่ การแต่ง ตั้งโยกย้ายตำรวจ มีการเรียกรับผลประโยชน์กันอย่างมหาศาล เป็นที่อึกทึกครึกโครม ฉาวโฉ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่ง แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังต้องให้สัมภาษณ์ยอมรับเมื่อวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2552 ว่า :

“จริงๆ ผมอยากเรียนว่า ที่ผ่านมามีปัญหาอยู่ทั้งในเรื่องข้อกฎหมายและมีการครหาร้องเรียนในเรื่องผลประโยชน์พอสมควรแต่ไม่มีหลักฐาน”

นั่นอาจเป็นสาเหตุที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ว่าได้ตัดสินใจระงับโผโยกย้ายตำรวจตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2552

หลังจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้ลาพักราชการแล้ว จึงเป็นโอกาสดีที่ต้องให้กำลังใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่มีหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ และถือโอกาสกำกับดูแลล้างผลประโยชน์ในการโยกย้ายตำรวจที่อัปยศที่ผ่านมาให้ถูกต้องทั้งกฎหมายและโปร่งใส เพื่อให้ตำรวจดีได้มามีอำนาจ และป้องกันมิให้ตำรวจไม่ดีมีอำนาจในครั้งนี้ให้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น