ASTVผู้จัดการายวัน – "TFTSE" เทรดวันแรกเหนือราคาไอพีโอ ปิดตลาด 7.82 บาทกำไร 3.30% สวนทางดัชนีกลุ่มแบงก์ ที่ติดลบเล็กน้อย เหตุได้อานิสงส์ช่วงเคาะไอพีโอ ราคาหุ้นยังถูกกว่า บลจ.วรรณเล็งเดินหน้าโรดโชว์ ดันสินทรัพย์โตเต็มโครงการ 5 พันล้าน ด้านบล.เคจีไอฟุ้ง ฟันกำไรกว่า 10 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (5 ส.ค.) เป็นวันแรกที่กองทุนเปิด ThaiDEX FTSE SET Large Cap ETF เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก ภายใต้ชื่อย่อ “TFTSE” โดยเปิดตลาดในช่วงเช้าราคาปรับขึ้นไปอยู่ที่ 7.98 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาตามมูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายในช่วงแรก 7.57 บาท และเป็นราคาสูงสุดของการซื้อขายตลอดทั้งวันด้วย ก่อนจะมาปิดตลาดที่ราคา 7.82 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 3.30% จากราคาพาร์ ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.70 ล้านบาท ซึ่งสวนทางบรรยากาศการลงทุนโดยรวมของหุ้นกลุ่มแบงก์ ซึ่งมีสัดส่วนสูงสุดในพอร์ต ปิดตลาดขยบัลงเล็กน้อยที่ 0.79 จุด มาอยู่ที่ 250.30 จุด หรือลดลงในสัดส่วน 0.31% ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เอง ก็ขยับลงเล็กน้อย 1.07 จุด มาอยู่ที่ 640.16 จุด
ทั้งนี้ การปรับขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากราคาหุ้นที่ทำการซื้อขายวันแรกนั้น ปรับตัวสูงขึ้นกว่าช่วงที่กำหนดราคาหลังจากปิดเสนอขายหน่วยลงทุนช่วงไอพีโอในวันที่ 28 กรกฏาคมที่ผ่านมา
นายสุริพล เข็มจินดา รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ บลจ.วรรณ ได้ปิดการเสนอขายกองทุนเปิด TFTSE ไปเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 แล้วนั้น ปรากฎว่า มีผู้สนใจลงทุนทั้งผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายย่อยให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเป็นนักลงทุนสถาบันถึง 80 % ซึ่งจองซื้อเข้ามาเป็นเงินถึง 166.65 ล้านบาท โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ 7.5752 บาทต่อหน่วยลงทุน นอกเหนือจากนักลงทุนที่ได้ตัดสินใจลงทุนในช่วงไอพีโอแล้ว ยังมีนักลงทุนอีกจำนวนมากแสดงความสนใจและตั้งใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมเมื่อเริ่มทำการซื้อขายแล้วบนกระดานของตลาดหลักทรัพย์แทนการซื้อขายช่วงไอพีโอ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงที่บริษัทเปิดขายไอพีโอให้แก่นักลงทุน พบว่านักลงทุนยังเกิดความวิตกกังวลในเรื่องของทิศทางตลาดหลักทรัพย์ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากนัก โดยบริษัทคาดว่าหลังจากเปิดขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะทำให้นักลงทุนเข้ามาร่วมซื้อขายกันอย่างคึกคักและทำให้มูลค่าสินทรัพย์(เอ็นเอวี)ของกองทุนเพิ่มขึ้นด้วย
“บลจ.วรรณ มั่นใจว่าในอนาคต TFTSE จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อ TFTSE เป็นที่รู้จักมากขึ้น เหมือนดังที่อีทีเอฟได้มีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในประเทศที่สำคัญต่างๆ ทั่วโลก จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง โดย อีทีเอฟ จัดเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทรงพลัง ให้โอกาสของผลตอบแทนที่ดีโดยได้ประโยชน์จากความเสี่ยงที่ลดลงเพราะการซื้ออีทีเอฟเพียงตัวเดียวเสมือนเป็นเจ้าของหุ้นทุกตัวเท่าที่มีในดัชนี และมีความซื้อง่ายขายคล่องเหมือนหุ้นชั้นนำเพราะมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (market maker) คอยดูแลให้มีการเสนอซื้อเสนอขายในระดับราคาและปริมาณที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา” นายสุริพล กล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในอีทีเอฟ มีลักษณะของการเป็นกระเช้าของหุ้น เนื่องจาก TFTSE เป็นเสมือนการนำหุ้นชั้นนำ 30 ตัวมาแพ็ครวมอยู่ในกระเช้าใบเดียวให้หยิบซื้อทั้งชุดได้ง่ายขึ้น ประหยัดต้นทุนในการเลือกหุ้นพร้อมๆ ไปกับการลดความเสี่ยงลง ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งทั้งไทยทั้งต่างชาติ ที่เปลี่ยนรูปแบบของการถือครองส่วนหนึ่งจากการถือหุ้นเป็นหลายๆ ตัวมาถือ TFTSE แทน
สำหรับกองทุนเปิด TFTSE นี้ จะอ้างอิงดัชนี FTSE SET Large Cap ซึ่งเป็นดัชนี real time ดังนั้น ผู้ลงทุนจะสามารถซื้อขายกองทุน TFTSE นี้ได้เหมือนหุ้นอีกตัวในตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยทีเดียว เนื่องจากกองทุนเปิด TFTSE มีกระจายการลงทุนในหุ้น 30 ตัว โดยปรับตามปริมาณหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ (Free Float adjusted) รวมถึงวัดตามมาร์เก็ตแคปและมีสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยน้ำหนักหุ้นประมาณ 26% จะมาจากกลุ่ม Oil and Gas ประมาณ 34% มาจากกลุ่ม Bank และประมาณ 9% มาจากกลุ่ม Mobile Telecom ซึ่งเป็นดัชนี real time ดังนั้น ผู้ลงทุนจะสามารถซื้อขายกองทุน TFTSE นี้ได้เหมือนหุ้นอีกตัวในตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยทีเดียว
โดย TFTSE มีนโยบายการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี FTSE SET Large Cap โดยมีเป้าหมายให้ความแตกต่างของผลตอบแทนของ TFTSE กับดัชนี TFTSE SET Large Cap (tracking error) ไม่เกินร้อยละ 1.50 ต่อปี และมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่เกินปีละสี่ครั้ง แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับว่ากองทุนมีกำไรหรือผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดด้วย
นายสุริพลกล่าวว่า สำหรับนักลงทุนที่เข้าซื้อ TFTSE ในช่วงเปิดขายไอพีโอที่ผ่านมานั้น จะได้รับกำไรจากการลงทุน เนื่องจากราคาหน่วยลงทุนได้ปรับตัวตามดัชนีที่เพิ่มขึ้นมาจากช่วงไอพีโอ แต่สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ได้เข้าซื้อ การมี TFTSE ไว้ในพอร์ตการลงทุน ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และลดความเสี่ยงของพอร์ตลงได้ โดยคาดว่ากองทุนจะโตได้เต็มมูลค่าโครงการที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีความเป็นไปได้ในอนาคต แต่ทั้งนี้จะต้องใช้ระยะเวลาด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ บริษัทได้มีแผนในการจัดโรดโชว์กองทุน TFTSE เพื่อให้ความรู้และประชาสัมพันธ์กองทุนให้แก่นักลงทุนทราบ แต่จะไปจัดที่ไหนอย่างไรนั้น คงต้อรอให้บลจ.วรรณ ได้ผู้บริหารคนใหม่เข้ามาก่อน
ด้านนางสาวนฤมล อาจอำนวยวิภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KGI เปิดเผยว่า จากการที่บล.เคจีไอ ได้เข้าไปลงทุนกองทุนเปิดไทยเด็กซ์ FTSE SET Large Cap ETF หรือ TFTSE จำนวน 20.69 ล้านหน่วย มูลค่า 156 ล้านบาท และจากการที่เปิดการซื้อขายราคาปรับตัวเพิ่ม อยู่ที่ 7.98 บาทต่อหน่วย หรือ เพิ่มขึ้น 5% ทำให้บริษัทมีกำไรจากการลงทุน TFTSE ประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี
“เราได้มีการลงทุนในTFTSEจำนวน 150 ล้านบาท ซึ่งราคาเทรดวันแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 5% ทำให้เรากำไรประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการให้ผลตอบแทนที่ดี น่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุน แต่อย่างไรการลงทุนมีสองด้านนักลงทุนต้องระมัดระวังในการลงทุน” นางนฤมลกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (5 ส.ค.) เป็นวันแรกที่กองทุนเปิด ThaiDEX FTSE SET Large Cap ETF เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก ภายใต้ชื่อย่อ “TFTSE” โดยเปิดตลาดในช่วงเช้าราคาปรับขึ้นไปอยู่ที่ 7.98 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาตามมูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายในช่วงแรก 7.57 บาท และเป็นราคาสูงสุดของการซื้อขายตลอดทั้งวันด้วย ก่อนจะมาปิดตลาดที่ราคา 7.82 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 3.30% จากราคาพาร์ ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.70 ล้านบาท ซึ่งสวนทางบรรยากาศการลงทุนโดยรวมของหุ้นกลุ่มแบงก์ ซึ่งมีสัดส่วนสูงสุดในพอร์ต ปิดตลาดขยบัลงเล็กน้อยที่ 0.79 จุด มาอยู่ที่ 250.30 จุด หรือลดลงในสัดส่วน 0.31% ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เอง ก็ขยับลงเล็กน้อย 1.07 จุด มาอยู่ที่ 640.16 จุด
ทั้งนี้ การปรับขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากราคาหุ้นที่ทำการซื้อขายวันแรกนั้น ปรับตัวสูงขึ้นกว่าช่วงที่กำหนดราคาหลังจากปิดเสนอขายหน่วยลงทุนช่วงไอพีโอในวันที่ 28 กรกฏาคมที่ผ่านมา
นายสุริพล เข็มจินดา รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ บลจ.วรรณ ได้ปิดการเสนอขายกองทุนเปิด TFTSE ไปเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 แล้วนั้น ปรากฎว่า มีผู้สนใจลงทุนทั้งผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายย่อยให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเป็นนักลงทุนสถาบันถึง 80 % ซึ่งจองซื้อเข้ามาเป็นเงินถึง 166.65 ล้านบาท โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ 7.5752 บาทต่อหน่วยลงทุน นอกเหนือจากนักลงทุนที่ได้ตัดสินใจลงทุนในช่วงไอพีโอแล้ว ยังมีนักลงทุนอีกจำนวนมากแสดงความสนใจและตั้งใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมเมื่อเริ่มทำการซื้อขายแล้วบนกระดานของตลาดหลักทรัพย์แทนการซื้อขายช่วงไอพีโอ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงที่บริษัทเปิดขายไอพีโอให้แก่นักลงทุน พบว่านักลงทุนยังเกิดความวิตกกังวลในเรื่องของทิศทางตลาดหลักทรัพย์ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากนัก โดยบริษัทคาดว่าหลังจากเปิดขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะทำให้นักลงทุนเข้ามาร่วมซื้อขายกันอย่างคึกคักและทำให้มูลค่าสินทรัพย์(เอ็นเอวี)ของกองทุนเพิ่มขึ้นด้วย
“บลจ.วรรณ มั่นใจว่าในอนาคต TFTSE จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อ TFTSE เป็นที่รู้จักมากขึ้น เหมือนดังที่อีทีเอฟได้มีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในประเทศที่สำคัญต่างๆ ทั่วโลก จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง โดย อีทีเอฟ จัดเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทรงพลัง ให้โอกาสของผลตอบแทนที่ดีโดยได้ประโยชน์จากความเสี่ยงที่ลดลงเพราะการซื้ออีทีเอฟเพียงตัวเดียวเสมือนเป็นเจ้าของหุ้นทุกตัวเท่าที่มีในดัชนี และมีความซื้อง่ายขายคล่องเหมือนหุ้นชั้นนำเพราะมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (market maker) คอยดูแลให้มีการเสนอซื้อเสนอขายในระดับราคาและปริมาณที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา” นายสุริพล กล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในอีทีเอฟ มีลักษณะของการเป็นกระเช้าของหุ้น เนื่องจาก TFTSE เป็นเสมือนการนำหุ้นชั้นนำ 30 ตัวมาแพ็ครวมอยู่ในกระเช้าใบเดียวให้หยิบซื้อทั้งชุดได้ง่ายขึ้น ประหยัดต้นทุนในการเลือกหุ้นพร้อมๆ ไปกับการลดความเสี่ยงลง ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งทั้งไทยทั้งต่างชาติ ที่เปลี่ยนรูปแบบของการถือครองส่วนหนึ่งจากการถือหุ้นเป็นหลายๆ ตัวมาถือ TFTSE แทน
สำหรับกองทุนเปิด TFTSE นี้ จะอ้างอิงดัชนี FTSE SET Large Cap ซึ่งเป็นดัชนี real time ดังนั้น ผู้ลงทุนจะสามารถซื้อขายกองทุน TFTSE นี้ได้เหมือนหุ้นอีกตัวในตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยทีเดียว เนื่องจากกองทุนเปิด TFTSE มีกระจายการลงทุนในหุ้น 30 ตัว โดยปรับตามปริมาณหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ (Free Float adjusted) รวมถึงวัดตามมาร์เก็ตแคปและมีสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยน้ำหนักหุ้นประมาณ 26% จะมาจากกลุ่ม Oil and Gas ประมาณ 34% มาจากกลุ่ม Bank และประมาณ 9% มาจากกลุ่ม Mobile Telecom ซึ่งเป็นดัชนี real time ดังนั้น ผู้ลงทุนจะสามารถซื้อขายกองทุน TFTSE นี้ได้เหมือนหุ้นอีกตัวในตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยทีเดียว
โดย TFTSE มีนโยบายการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี FTSE SET Large Cap โดยมีเป้าหมายให้ความแตกต่างของผลตอบแทนของ TFTSE กับดัชนี TFTSE SET Large Cap (tracking error) ไม่เกินร้อยละ 1.50 ต่อปี และมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่เกินปีละสี่ครั้ง แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับว่ากองทุนมีกำไรหรือผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดด้วย
นายสุริพลกล่าวว่า สำหรับนักลงทุนที่เข้าซื้อ TFTSE ในช่วงเปิดขายไอพีโอที่ผ่านมานั้น จะได้รับกำไรจากการลงทุน เนื่องจากราคาหน่วยลงทุนได้ปรับตัวตามดัชนีที่เพิ่มขึ้นมาจากช่วงไอพีโอ แต่สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ได้เข้าซื้อ การมี TFTSE ไว้ในพอร์ตการลงทุน ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และลดความเสี่ยงของพอร์ตลงได้ โดยคาดว่ากองทุนจะโตได้เต็มมูลค่าโครงการที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีความเป็นไปได้ในอนาคต แต่ทั้งนี้จะต้องใช้ระยะเวลาด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ บริษัทได้มีแผนในการจัดโรดโชว์กองทุน TFTSE เพื่อให้ความรู้และประชาสัมพันธ์กองทุนให้แก่นักลงทุนทราบ แต่จะไปจัดที่ไหนอย่างไรนั้น คงต้อรอให้บลจ.วรรณ ได้ผู้บริหารคนใหม่เข้ามาก่อน
ด้านนางสาวนฤมล อาจอำนวยวิภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KGI เปิดเผยว่า จากการที่บล.เคจีไอ ได้เข้าไปลงทุนกองทุนเปิดไทยเด็กซ์ FTSE SET Large Cap ETF หรือ TFTSE จำนวน 20.69 ล้านหน่วย มูลค่า 156 ล้านบาท และจากการที่เปิดการซื้อขายราคาปรับตัวเพิ่ม อยู่ที่ 7.98 บาทต่อหน่วย หรือ เพิ่มขึ้น 5% ทำให้บริษัทมีกำไรจากการลงทุน TFTSE ประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี
“เราได้มีการลงทุนในTFTSEจำนวน 150 ล้านบาท ซึ่งราคาเทรดวันแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 5% ทำให้เรากำไรประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการให้ผลตอบแทนที่ดี น่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุน แต่อย่างไรการลงทุนมีสองด้านนักลงทุนต้องระมัดระวังในการลงทุน” นางนฤมลกล่าว