ASTVผู้จัดการรายวัน - ธปท.แถลงข่าวประเมินแบงก์พาณิชย์ครึ่งปีหลัง จะปล่อยสินเชื่อพร้อมแข่งขันลดดอกเบี้ยเงินกู้และออกผลิตภัณฑ์ใหม่ดึงดูดลูกค้า เผยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโวยแบงก์พาณิชย์ไม่ปล่อยกู้เพราะติดเกณฑ์สำรอง บิ๊ก ธปท.อ้ำอึ้งขอถกแบงก์ก่อน
วานนี้ (28 ก.ค.) นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยหลังผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในนามสมาคมต่างๆ เข้าพบผู้บริหาร ธปท.ว่า เอกชนในภาคธุรกิจได้แจ้งปัญหาและอุปสรรคในการปรับตัวบริษัท สภาพคล่องและการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เป็นการหารือต่อเนื่องจากการพบปะกับตัวแทนธุรกิจเอสเอ็มในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ซึ่งขณะนี้ ธปท.สามารถรวบรวมประเด็นต่าว ๆ ได้แล้ว 2-3 ประเด็นที่จะต้องไปตามต่อ
"ผู้ประกอบการส่วนใหญ่แจ้งว่ามีปัญหาด้านสภาพคล่องมากที่สุด เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาคำสั่งซื้อลดลงไปมากตามการชะลอตัวของการบริโภคที่ได้รับกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้ขาดเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งเงินสดในการชำระค่าสินค้าและวัตถุดิบ ขณะที่แบงก์พาณิชย์ไม่ปล่อยกู้" นายบัณฑิตกล่าว
นอกจากนั้น ผู้ประกอบการยังต้องการให้แบงก์พาณิชย์ผ่อนผันการชำระหนี้ให้กับเอสเอ็มอีที่มีปัญหา และยอมรับว่ามีปัญหาในการหาข้อมูลทำธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินภาวะตลาดไม่ได้ จึงไม่สามารถขยายการลงทุนได้ ซึ่งธปท.มองว่าการเข้าถึงข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ และเอสเอ็มอียังกังวลต่อมาตรการทางด้านภาษีของทางการที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ
ส่วน NPL ภาค SME ทรงตัว ณ สิ้น มิ.ย.52 อยู่ที่ 5.4% หรือ 4 แสนล้านบาท จาก ณ สิ้น พ.ค.52 อยู่ที่ 5.5% แต่ทิศทางยังตอบจยากต้องดูทิศทางเศรษฐกิจ เชื่อว่าจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง และสภาพคล่องในระบบที่อยู่ในระดับสูง และสภาพตลาดที่ดีขึ้น น่าจะทำให้สินเชื่อโดยรวมทั้งระบบมีโอกาสเติบโตขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้แบงก์พาณิชย์มีการแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเริ่มเห็นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บ้างแล้ว
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ระบุว่ามีปัญหาในการขอสินเชื่อจากแบงก์พาณิชย์ โดยแบงก์มักจะอ้างว่าติดขัดเกณฑ์ของ ธปท.ที่กำหนดให้แบงก์ต้องตั้งสำรองทันทีหากลูกหนี้ที่ยังไม่เป็น NPL ขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งจุดนี้ ธปท.ขอรับจะไปหารือกับแบงก์พาณิชย์
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง นายสรสิทธิ์กล่าวว่า ผู้ประกอบการระบุว่าเริ่มเห็นคำสั่งซื้อเข้ามา จึงต้องการสินเชื่อหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อประคองตัวให้ธุรกิจเดินไปได้ก่อน และไม่เป็น NPL แต่การขยายตัวของสินเชื่อครึ่งปีหลังเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก จากที่ครึ่งปีแรกสินเชื่อหดตัว
ครึ่งปีแรกสินเชื่อทั้งระบบอยู่ที่ 5.9 ล้านล้านบาท ลดลง 2 แสนล้านบาท เทียบกับสิ้นปี 51 ที่อยู่ในระดับ 6.1 ล้านล้านบาท ซึ่งในส่วนของสินเชื่อ SME ณ สิ้น มิ.ย.52 ลดลงเหลือ 2.3 ล้านล้านบาท จาก 2.5 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 51 ซึ่งสาเหตุมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อป้องกันปัญหา NPL ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่กันไปใช้ทางเลือกในการออกหุ้นกู้
ขณะที่คำสั่งซื้อลดลง 20-25% ตามความต้องการบริโภคสินค้า แล้วแต่ภาคอุตสาหกรรม บางภาคก็ลดมากน้อยแตกต่างกัน ซึ่งทำให้ความต้องการสินเชื่อลดลงด้วย เช่น นักท่องเที่ยวหายไป 40% อุตสาหกรรมอื่น ๆ ลดลง 20% ทำให้ความต้องการสินเชื่อลดลง.
วานนี้ (28 ก.ค.) นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยหลังผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในนามสมาคมต่างๆ เข้าพบผู้บริหาร ธปท.ว่า เอกชนในภาคธุรกิจได้แจ้งปัญหาและอุปสรรคในการปรับตัวบริษัท สภาพคล่องและการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เป็นการหารือต่อเนื่องจากการพบปะกับตัวแทนธุรกิจเอสเอ็มในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ซึ่งขณะนี้ ธปท.สามารถรวบรวมประเด็นต่าว ๆ ได้แล้ว 2-3 ประเด็นที่จะต้องไปตามต่อ
"ผู้ประกอบการส่วนใหญ่แจ้งว่ามีปัญหาด้านสภาพคล่องมากที่สุด เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาคำสั่งซื้อลดลงไปมากตามการชะลอตัวของการบริโภคที่ได้รับกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้ขาดเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งเงินสดในการชำระค่าสินค้าและวัตถุดิบ ขณะที่แบงก์พาณิชย์ไม่ปล่อยกู้" นายบัณฑิตกล่าว
นอกจากนั้น ผู้ประกอบการยังต้องการให้แบงก์พาณิชย์ผ่อนผันการชำระหนี้ให้กับเอสเอ็มอีที่มีปัญหา และยอมรับว่ามีปัญหาในการหาข้อมูลทำธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินภาวะตลาดไม่ได้ จึงไม่สามารถขยายการลงทุนได้ ซึ่งธปท.มองว่าการเข้าถึงข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ และเอสเอ็มอียังกังวลต่อมาตรการทางด้านภาษีของทางการที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ
ส่วน NPL ภาค SME ทรงตัว ณ สิ้น มิ.ย.52 อยู่ที่ 5.4% หรือ 4 แสนล้านบาท จาก ณ สิ้น พ.ค.52 อยู่ที่ 5.5% แต่ทิศทางยังตอบจยากต้องดูทิศทางเศรษฐกิจ เชื่อว่าจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง และสภาพคล่องในระบบที่อยู่ในระดับสูง และสภาพตลาดที่ดีขึ้น น่าจะทำให้สินเชื่อโดยรวมทั้งระบบมีโอกาสเติบโตขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้แบงก์พาณิชย์มีการแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเริ่มเห็นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บ้างแล้ว
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ระบุว่ามีปัญหาในการขอสินเชื่อจากแบงก์พาณิชย์ โดยแบงก์มักจะอ้างว่าติดขัดเกณฑ์ของ ธปท.ที่กำหนดให้แบงก์ต้องตั้งสำรองทันทีหากลูกหนี้ที่ยังไม่เป็น NPL ขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งจุดนี้ ธปท.ขอรับจะไปหารือกับแบงก์พาณิชย์
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง นายสรสิทธิ์กล่าวว่า ผู้ประกอบการระบุว่าเริ่มเห็นคำสั่งซื้อเข้ามา จึงต้องการสินเชื่อหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อประคองตัวให้ธุรกิจเดินไปได้ก่อน และไม่เป็น NPL แต่การขยายตัวของสินเชื่อครึ่งปีหลังเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก จากที่ครึ่งปีแรกสินเชื่อหดตัว
ครึ่งปีแรกสินเชื่อทั้งระบบอยู่ที่ 5.9 ล้านล้านบาท ลดลง 2 แสนล้านบาท เทียบกับสิ้นปี 51 ที่อยู่ในระดับ 6.1 ล้านล้านบาท ซึ่งในส่วนของสินเชื่อ SME ณ สิ้น มิ.ย.52 ลดลงเหลือ 2.3 ล้านล้านบาท จาก 2.5 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 51 ซึ่งสาเหตุมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อป้องกันปัญหา NPL ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่กันไปใช้ทางเลือกในการออกหุ้นกู้
ขณะที่คำสั่งซื้อลดลง 20-25% ตามความต้องการบริโภคสินค้า แล้วแต่ภาคอุตสาหกรรม บางภาคก็ลดมากน้อยแตกต่างกัน ซึ่งทำให้ความต้องการสินเชื่อลดลงด้วย เช่น นักท่องเที่ยวหายไป 40% อุตสาหกรรมอื่น ๆ ลดลง 20% ทำให้ความต้องการสินเชื่อลดลง.
