ASTVผู้จัดการรายวัน-โฆษก ตร. ยอมรับโครงสร้างใหม่ ตร. ยังไม่มีผลบังคับใช้ อ้างแปลก"พัชรวาท" รีบเร่งแต่งตั้ง เป็นเพียงแค่เตรียมการ ยังไม่เสนอขึ้นทูลเกล้าฯ ขณะที่พฤติกรรมชัด รีบเร่งช่วงที่มีอำนาจ เหตุหากปล่อยเวลาให้เนิ่นช้า หรือแต่งตั้งโยกย้ายพร้อมกับวาระประจำปี อำนาจการแต่งตั้งของ พล.ต.อ.พัชรวาท จะถูกจำกัด
วานนี้ (28 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายบริหาร 2 (รอง ผบ.ตร.บร.2) ในฐานะโฆษก ตร.กล่าวถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อรองรับการปรับโครงสร้าง ตร.ใหม่ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ ตร.พ.ศ.2552 ยังไม่มีผลใช้บังคับ และการแต่งตั้งระดับผู้บัญชาการถึงผู้บังคับการ 152 ตำแหน่ง ในวาระปรับโครงสร้างก่อนหน้านี้ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ว่า หลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้อนุมัติแต่งตั้งระดับนายพลตามโครงสร้างใหม่ จนถึงขณะนี้เรื่องยังอยู่ที่ ตร.ยังไม่มีการเสนอ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เนื่องจากตามกฎหมายจะต้องรอให้พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ ตร.พ.ศ.2552 มีผลบังคับใช้ ตามที่กำหนดไว้ในวันที่ 16 สิงหาคม 2552 เสียก่อน แล้ว ตร.จึงจะเสนอรายชื่อดังกล่าวขึ้นโปรดเกล้าฯ ได้ โดยให้มีผลย้อนหลังในวันเดียวกัน ซึ่งระหว่างนั้นก็ใช้วิธีการออกคำสั่งให้รักษาราชการแทนไปก่อน
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า สำหรับตำแหน่งระดับรอง ผบก.ลงมาก็สามารถแต่งตั้งได้ และให้มีผลพร้อมกันในวันที่ 16 สิงหาคม ซึ่งการแต่งตั้งลักษณะเช่นนี้เคยทำมาก่อนในการปรับโครงสร้าง ตร.ครั้งที่ผ่านมาในปี 2548
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีการดำเนินการแต่งตั้งทั้งหมด ตร.ได้หารือหน่วยที่เกี่ยวข้องและตรวจสอบความถูกต้องในระเบียบ กฎหมาย และได้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมายทุกขั้นตอน เพราะหากดำเนินการโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนผู้มีหน้าที่ในกระบวนเหล่านี้ก็จะมีความผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระแสข่าวย้าย ผบ.ตร.จะมีผลกระทบต่อบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายพลที่ผ่าน ก.ตร.แล้วหรือไม่ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า การพิจารณาแต่งตั้งนายพลเป็นอำนาจของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ดังนั้น หาก ก.ตร.มีมติจะพิจารณาใหม่อีกครั้งก็สามารถทำได้ เพราะยังไม่มีการเสนอขึ้นโปรดเกล้าฯ แต่ขณะนี้การแต่งตั้งระดับรอง ผบก.ลงมาก็ยังดำเนินไปตามปกติ เพราะเป็นการเตรียมการเพื่อโครงสร้างใหม่
ส่วนกระแสข่าวที่ว่าสำนักราชเลขาธิการได้ส่งคืนเรื่องมายัง ตร.นั้น พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมาเรื่องยังอยู่ที่ ตร.ยังไม่มีการส่งไปยังสำนักราชเลขาธิการแต่อย่างใด
ด้าน นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำเสนอรายชื่อการแต่งตั้งนายพลตามโครงสร้างใหม่ ตร. ว่าตนยังไม่เห็นรายชื่อดังกล่าว และยังไม่มีการเสนอรายชื่อใด ๆ ขึ้นทูลเกล้า เนื่องจากโครงสร้างใหม่ ของตร.ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
"ผมไม่เห็นเลยนะ ไม่มี ไม่ได้มีการเสนอชื่ออะไรทูลเกล้าฯเลย ตร.เค้าอยู่ระหว่างดำเนินการโครงสร้างใหม่อยู่เลย"
**"พัชรวาท"เร่งรัดแต่งตั้ง-เลี่ยงกม.**
สำหรับการปรับโครงสร้าง ตร.ครั้งนี้ ทันทีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ขึ้นนั่ง ผบ.ตร.ได้ปัดฝุ่นหยิบยกเรื่องการปรับโครงสร้างตร.ขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผบ.ตร.(บร.2) เป็นแม่งานหลักในการศึกษา รื้อปรับโครงสร้างตร.เทียบเคียงกับร่างโครงสร้างที่เคยทำไว้เดิมในยุค พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร.
โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ต้องการให้การปรับโครงสร้าง ตร.ครั้งนี้กลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ที่หมายมั่นปั้นมือให้แล้วเสร็จทันก่อนที่ตนเองจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2552
นอกจากนั้น การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตามโครงสร้างใหม่ได้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนัก เนื่องจากมีการเพิ่มหน่วยงานระดับกองบัญชาการขึ้นมาใหม่ 4 หน่วยงาน กองบังคับการ 58 หน่วย ทำให้ต้องมีการแต่งตั้งคนลงในโครงสร้างดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการเพิ่มหน่วยงาน ก็จะต้องมีการเพิ่มคนทำงานเข้าไป ซึ่งครั้งนี้มีการเพิ่ม ตำแหน่งเข้ามาในโครงสร้างใหม่ ได้แก่ ผบช. 4 ตำแหน่ง รองผบช. 25 ตำแหน่ง ผบก. 58 ตำแหน่ง รองผบก. 85 ตำแหน่ง ผกก. 296 ตำแหน่ง รองผกก. 249 ตำแหน่ง สารวัตร 777 ตำแหน่ง รองสารวัตร 1,009 ตำแหน่ง ตำรวจชั้นประทวน 3,029 ตำแหน่ง ทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้จึงเป็นการแต่งตั้งล็อตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
และหากดูผิวเผิน ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่หากพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว จะพบว่า ครั้งนี้มีสิ่งผิดสังเกตชวนให้สงสัย เพราะมีเร่งรัด ผลักดันให้ร่างโครงสร้างตร.ฉบับนี้ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และประกาศใช้โดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันในการแต่งตั้งโยกย้ายปรับเกลี่ยกำลังพลเข้าสู่โครงสร้างตร. ได้มีการเตรียมการไว้ก่อนหน้าที่ตัวโครงสร้างตร.จะได้รับการอนุมัติหลักการเสียอีก
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่า เพื่อให้แต่งตั้งดำเนินให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค. เพื่อให้ ผบ.ตร.สามารถอ้างเหตุผลในการใช้อำนาจตามมาตรา 56 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ในการแต่งตั้งได้ เพราะหากล่วงเข้าสู่เดือน ส.ค.ก็จะเป็นเรื่องของวาระการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นอำนาจการแต่งตั้งระดับรองผบก.ถึงสารวัตรจะถูกกระจายไปยังผบช.ต่างๆ
**รีบเร่งแต่งตั้งช่วงมีอำนาจ**
การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 รวมถึงกฎ ก.ตร.ว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ สารวัตร ถึง จเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2549 โดยวาระประจำปี ระดับรองผบ.ตร.ถึงผบก.จะต้องแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ส.ค. ขณะที่ระดับรองผบก.ถึงสารวัตรจะต้องแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. จะเห็นได้ว่าหากปล่อยเวลาให้เนิ่นช้า หรือแต่งตั้งโยกย้ายพร้อมกับวาระประจำปี อำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายของ พล.ต.อ.พัชรวาท จะถูกจำกัด
ขณะเดียวกันด้วยเหตุผลเรื่องความชอบธรรม เพราะตามประเพณีปฏิบัติ และด้วยมารยาท ผบ.ตร.ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ จะไม่มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ เพราะแม้ว่า ผบ.ตร.คนเดิมจะมีอำนาจอยู่จนถึงวันที่ 30 ก.ย. แต่จะรอให้ ผบ.ตร.คนต่อไปที่มารับช่วงดำเนินการเรื่องนี้แทน เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายกำลังพล ถือเป็นเรื่องอนาคต ไม่ควรที่จะให้ ผบ.ตร.ที่กำลังจะเกษียณเป็นผู้ดำเนินการ ควรที่จะให้ผบ.ตร.คนใหม่เป็นผู้ดำเนินการเพราะจะเป็นที่เข้ามากุมบังเหียน รับผิดชอบการบริหารงานหน่วยงานในอนาคต ควรที่จะมีส่วนในการวางคนให้เหมาะสม
**เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว-การเมือง**
อย่างไรก็ตามสำหรับผลประโยชน์ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.เคยพูดไว้ว่า “การแต่งตั้งโยกย้ายคือเรื่องผลประโยชน์ ทั้งต่อส่วนตัว และประโยชน์ทางการเมือง” ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ และทุกคนต่างก็ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนเพราะที่ผ่านมาการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทุกครั้งไม่ว่าในระดับใด จะมีเรื่องของการวิ่งเต้น โดยใช้ “เงิน” ขณะเดียวกันก็ใช้เส้นสายโดยผ่านนักการเมืองซึ่งจะมีการฝาก “ตั๋ว”
นอกจากนี้การแต่งตั้งโยกย้ายในแต่ละครั้งยังถือเป็นโอกาสในการล้างบางฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจก็ใช้โอกาสนี้ในการวางคนของตัวเองลงในพื้นที่สำคัญที่เป็นฐานเสียงตามภูมิภาคต่างๆ
ดังนั้น การปรับโครงสร้าง ตร.ซึ่งเสมือนเป็นผลงานชิ้นสำคัญ ที่จะเป็นการไว้ลายฝีมือของ พล.ต.อ.พัชรวาท ก่อนที่จะเปิดหมวกอำลาชีวิตราชการ แต่หากมีวาระซ่อนเร้นแล้วละก็ การปรับโครงสร้าง ตร.ครั้งนี้จะกลายเป็นผลงานชิ้น “โบว์ดำ”ที่จะถูกตำรวจรุ่นหลังกล่าวถึงตลอดไป
**ไฟไหม้ห้อง ผู้ช่วย ผบ.ตร.มือทำบัญชีโยกย้าย**
วันเดียวกัน เวลา 07.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ร.ต.ท.สิทธิเดช หาญจริง พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ปทุมวัน รับแจ้งมีเหตุมีกลุ่มควันภายในสำนักงานของ พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผช.ผบ.ตร.ที่ตั้งอยู่ชั้น 6 อาคารที่ 33 ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานกองสารสนเทศ กองบังคับการตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยกองพิสูจน์หลักฐาน
โดยที่เกิดเหตุพบกลุ่มควันจำนวนมากบนโต๊ะทำงานของ พ.ต.ท.วินัส เกิดภาคี นายเวร พล.ต.ท.สุวัฒน์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในสำนักงานของ พล.ต.ท.สุวัฒน์ พ.ต.อ.พิสิฐ ตันประเสริฐ รอง ผบก.ประจำ สง.ผบ.ตร.ซึ่งนั่งทำงานอยู่ จึงรีบนำน้ำยาเคมีดับเพลิงฉีดจนสามารถดับเพลิงได้ก่อนจะลุกลามไหม้อุปกรณ์อื่นๆ ต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทรัพย์สินที่เสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ส่วนใหญ่อยู่บริเวณโต๊ะทำงาน
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง มีการโทรศัพท์ตรวจสอบข่าวกันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าในยุคที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุวัฒน์ ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจทุกระดับ
วานนี้ (28 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายบริหาร 2 (รอง ผบ.ตร.บร.2) ในฐานะโฆษก ตร.กล่าวถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อรองรับการปรับโครงสร้าง ตร.ใหม่ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ ตร.พ.ศ.2552 ยังไม่มีผลใช้บังคับ และการแต่งตั้งระดับผู้บัญชาการถึงผู้บังคับการ 152 ตำแหน่ง ในวาระปรับโครงสร้างก่อนหน้านี้ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ว่า หลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้อนุมัติแต่งตั้งระดับนายพลตามโครงสร้างใหม่ จนถึงขณะนี้เรื่องยังอยู่ที่ ตร.ยังไม่มีการเสนอ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เนื่องจากตามกฎหมายจะต้องรอให้พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ ตร.พ.ศ.2552 มีผลบังคับใช้ ตามที่กำหนดไว้ในวันที่ 16 สิงหาคม 2552 เสียก่อน แล้ว ตร.จึงจะเสนอรายชื่อดังกล่าวขึ้นโปรดเกล้าฯ ได้ โดยให้มีผลย้อนหลังในวันเดียวกัน ซึ่งระหว่างนั้นก็ใช้วิธีการออกคำสั่งให้รักษาราชการแทนไปก่อน
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า สำหรับตำแหน่งระดับรอง ผบก.ลงมาก็สามารถแต่งตั้งได้ และให้มีผลพร้อมกันในวันที่ 16 สิงหาคม ซึ่งการแต่งตั้งลักษณะเช่นนี้เคยทำมาก่อนในการปรับโครงสร้าง ตร.ครั้งที่ผ่านมาในปี 2548
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีการดำเนินการแต่งตั้งทั้งหมด ตร.ได้หารือหน่วยที่เกี่ยวข้องและตรวจสอบความถูกต้องในระเบียบ กฎหมาย และได้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมายทุกขั้นตอน เพราะหากดำเนินการโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนผู้มีหน้าที่ในกระบวนเหล่านี้ก็จะมีความผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระแสข่าวย้าย ผบ.ตร.จะมีผลกระทบต่อบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายพลที่ผ่าน ก.ตร.แล้วหรือไม่ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า การพิจารณาแต่งตั้งนายพลเป็นอำนาจของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ดังนั้น หาก ก.ตร.มีมติจะพิจารณาใหม่อีกครั้งก็สามารถทำได้ เพราะยังไม่มีการเสนอขึ้นโปรดเกล้าฯ แต่ขณะนี้การแต่งตั้งระดับรอง ผบก.ลงมาก็ยังดำเนินไปตามปกติ เพราะเป็นการเตรียมการเพื่อโครงสร้างใหม่
ส่วนกระแสข่าวที่ว่าสำนักราชเลขาธิการได้ส่งคืนเรื่องมายัง ตร.นั้น พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมาเรื่องยังอยู่ที่ ตร.ยังไม่มีการส่งไปยังสำนักราชเลขาธิการแต่อย่างใด
ด้าน นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำเสนอรายชื่อการแต่งตั้งนายพลตามโครงสร้างใหม่ ตร. ว่าตนยังไม่เห็นรายชื่อดังกล่าว และยังไม่มีการเสนอรายชื่อใด ๆ ขึ้นทูลเกล้า เนื่องจากโครงสร้างใหม่ ของตร.ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
"ผมไม่เห็นเลยนะ ไม่มี ไม่ได้มีการเสนอชื่ออะไรทูลเกล้าฯเลย ตร.เค้าอยู่ระหว่างดำเนินการโครงสร้างใหม่อยู่เลย"
**"พัชรวาท"เร่งรัดแต่งตั้ง-เลี่ยงกม.**
สำหรับการปรับโครงสร้าง ตร.ครั้งนี้ ทันทีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ขึ้นนั่ง ผบ.ตร.ได้ปัดฝุ่นหยิบยกเรื่องการปรับโครงสร้างตร.ขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผบ.ตร.(บร.2) เป็นแม่งานหลักในการศึกษา รื้อปรับโครงสร้างตร.เทียบเคียงกับร่างโครงสร้างที่เคยทำไว้เดิมในยุค พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร.
โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ต้องการให้การปรับโครงสร้าง ตร.ครั้งนี้กลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ที่หมายมั่นปั้นมือให้แล้วเสร็จทันก่อนที่ตนเองจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2552
นอกจากนั้น การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตามโครงสร้างใหม่ได้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนัก เนื่องจากมีการเพิ่มหน่วยงานระดับกองบัญชาการขึ้นมาใหม่ 4 หน่วยงาน กองบังคับการ 58 หน่วย ทำให้ต้องมีการแต่งตั้งคนลงในโครงสร้างดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการเพิ่มหน่วยงาน ก็จะต้องมีการเพิ่มคนทำงานเข้าไป ซึ่งครั้งนี้มีการเพิ่ม ตำแหน่งเข้ามาในโครงสร้างใหม่ ได้แก่ ผบช. 4 ตำแหน่ง รองผบช. 25 ตำแหน่ง ผบก. 58 ตำแหน่ง รองผบก. 85 ตำแหน่ง ผกก. 296 ตำแหน่ง รองผกก. 249 ตำแหน่ง สารวัตร 777 ตำแหน่ง รองสารวัตร 1,009 ตำแหน่ง ตำรวจชั้นประทวน 3,029 ตำแหน่ง ทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้จึงเป็นการแต่งตั้งล็อตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
และหากดูผิวเผิน ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่หากพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว จะพบว่า ครั้งนี้มีสิ่งผิดสังเกตชวนให้สงสัย เพราะมีเร่งรัด ผลักดันให้ร่างโครงสร้างตร.ฉบับนี้ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และประกาศใช้โดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันในการแต่งตั้งโยกย้ายปรับเกลี่ยกำลังพลเข้าสู่โครงสร้างตร. ได้มีการเตรียมการไว้ก่อนหน้าที่ตัวโครงสร้างตร.จะได้รับการอนุมัติหลักการเสียอีก
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่า เพื่อให้แต่งตั้งดำเนินให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค. เพื่อให้ ผบ.ตร.สามารถอ้างเหตุผลในการใช้อำนาจตามมาตรา 56 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ในการแต่งตั้งได้ เพราะหากล่วงเข้าสู่เดือน ส.ค.ก็จะเป็นเรื่องของวาระการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นอำนาจการแต่งตั้งระดับรองผบก.ถึงสารวัตรจะถูกกระจายไปยังผบช.ต่างๆ
**รีบเร่งแต่งตั้งช่วงมีอำนาจ**
การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 รวมถึงกฎ ก.ตร.ว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ สารวัตร ถึง จเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2549 โดยวาระประจำปี ระดับรองผบ.ตร.ถึงผบก.จะต้องแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ส.ค. ขณะที่ระดับรองผบก.ถึงสารวัตรจะต้องแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. จะเห็นได้ว่าหากปล่อยเวลาให้เนิ่นช้า หรือแต่งตั้งโยกย้ายพร้อมกับวาระประจำปี อำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายของ พล.ต.อ.พัชรวาท จะถูกจำกัด
ขณะเดียวกันด้วยเหตุผลเรื่องความชอบธรรม เพราะตามประเพณีปฏิบัติ และด้วยมารยาท ผบ.ตร.ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ จะไม่มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ เพราะแม้ว่า ผบ.ตร.คนเดิมจะมีอำนาจอยู่จนถึงวันที่ 30 ก.ย. แต่จะรอให้ ผบ.ตร.คนต่อไปที่มารับช่วงดำเนินการเรื่องนี้แทน เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายกำลังพล ถือเป็นเรื่องอนาคต ไม่ควรที่จะให้ ผบ.ตร.ที่กำลังจะเกษียณเป็นผู้ดำเนินการ ควรที่จะให้ผบ.ตร.คนใหม่เป็นผู้ดำเนินการเพราะจะเป็นที่เข้ามากุมบังเหียน รับผิดชอบการบริหารงานหน่วยงานในอนาคต ควรที่จะมีส่วนในการวางคนให้เหมาะสม
**เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว-การเมือง**
อย่างไรก็ตามสำหรับผลประโยชน์ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.เคยพูดไว้ว่า “การแต่งตั้งโยกย้ายคือเรื่องผลประโยชน์ ทั้งต่อส่วนตัว และประโยชน์ทางการเมือง” ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ และทุกคนต่างก็ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนเพราะที่ผ่านมาการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทุกครั้งไม่ว่าในระดับใด จะมีเรื่องของการวิ่งเต้น โดยใช้ “เงิน” ขณะเดียวกันก็ใช้เส้นสายโดยผ่านนักการเมืองซึ่งจะมีการฝาก “ตั๋ว”
นอกจากนี้การแต่งตั้งโยกย้ายในแต่ละครั้งยังถือเป็นโอกาสในการล้างบางฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจก็ใช้โอกาสนี้ในการวางคนของตัวเองลงในพื้นที่สำคัญที่เป็นฐานเสียงตามภูมิภาคต่างๆ
ดังนั้น การปรับโครงสร้าง ตร.ซึ่งเสมือนเป็นผลงานชิ้นสำคัญ ที่จะเป็นการไว้ลายฝีมือของ พล.ต.อ.พัชรวาท ก่อนที่จะเปิดหมวกอำลาชีวิตราชการ แต่หากมีวาระซ่อนเร้นแล้วละก็ การปรับโครงสร้าง ตร.ครั้งนี้จะกลายเป็นผลงานชิ้น “โบว์ดำ”ที่จะถูกตำรวจรุ่นหลังกล่าวถึงตลอดไป
**ไฟไหม้ห้อง ผู้ช่วย ผบ.ตร.มือทำบัญชีโยกย้าย**
วันเดียวกัน เวลา 07.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ร.ต.ท.สิทธิเดช หาญจริง พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ปทุมวัน รับแจ้งมีเหตุมีกลุ่มควันภายในสำนักงานของ พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผช.ผบ.ตร.ที่ตั้งอยู่ชั้น 6 อาคารที่ 33 ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานกองสารสนเทศ กองบังคับการตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยกองพิสูจน์หลักฐาน
โดยที่เกิดเหตุพบกลุ่มควันจำนวนมากบนโต๊ะทำงานของ พ.ต.ท.วินัส เกิดภาคี นายเวร พล.ต.ท.สุวัฒน์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในสำนักงานของ พล.ต.ท.สุวัฒน์ พ.ต.อ.พิสิฐ ตันประเสริฐ รอง ผบก.ประจำ สง.ผบ.ตร.ซึ่งนั่งทำงานอยู่ จึงรีบนำน้ำยาเคมีดับเพลิงฉีดจนสามารถดับเพลิงได้ก่อนจะลุกลามไหม้อุปกรณ์อื่นๆ ต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทรัพย์สินที่เสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ส่วนใหญ่อยู่บริเวณโต๊ะทำงาน
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง มีการโทรศัพท์ตรวจสอบข่าวกันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าในยุคที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุวัฒน์ ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจทุกระดับ