xs
xsm
sm
md
lg

ปลดพัชรวาท คืนความเป็นธรรมให้ “น้องโบว์” เด็กดีที่ช่วยชาติ ช่วยสถาบันพระมหากษัตริย์!?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ทำหน้าที่อย่างหาญกล้าและยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์ รัฐธรรมนูญ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขัดขวางนักการเมืองที่เอาดินแดนทั้งทางบกและสิทธิอาณาเขตทางทะเลของชาติไทยให้ตกไปเป็นทรัพย์สมบัติของชาติอื่น

แต่ ปี 2551 รางวัลที่พันธมิตรฯ ได้รับจากหน่วยความมั่นคงของรัฐในเวลานั้น คือความเย็นชาและอำมหิต ปล่อยให้มีการทำร้ายและเข่นฆ่าพันธมิตรฯ หลายครั้งใจกลางพระนคร ทั้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและอันธพาลฝ่ายรัฐบาล ด้วยการใช้กำลังและความรุนแรง ด้วยแก๊สน้ำตา ด้วยปืน และด้วยอาวุธสงครามระเบิด M 79 จนมีผู้เสียชีวิต พิการ บาดเจ็บ จำนวนมาก

แต่พันธมิตรฯ ก็ไม่มีวันลืมน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจในเหตุการณ์สำคัญ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงทอดผ้าไตรในพิธีพระราชทานเพลิงศพ “น้องโบว์-อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ” ผู้เข้าร่วมการชุมนุมกับพันธมิตรฯ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมในคืนวันที่ 7 ตุลาคม 2551

นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ (พ่อน้องโบว์) เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ในระหว่างที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิดนั้น ทรงชมว่า “น้องโบว์” เป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระองค์ท่านยังทรงรับสั่งว่า ขอให้กำลังใจกับครอบครัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับทราบแล้ว และเงินที่เป็นค่ารักษา ในหลวงเป็นผู้พระราชทานให้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเสียสละด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชนที่มาชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เป็น “คนดี และเด็กดี ที่ช่วยชาติ และช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์” นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

เพราะมีคนดีและเด็กดี ที่ช่วยชาติ และช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงสามารถปกป้องพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญเอาไว้ได้!

เพราะมี “คนดีและเด็กดีที่ช่วยชาติ” จึงสามารถปกป้องพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญมิให้นำมาแก้ไขเพื่อฟอกความผิดนักการเมืองได้สำเร็จ จึงทำให้ศาลฎีกาที่กระทำในพระปรมาภิไธยสามารถพิพากษาลงโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชัน และทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งนักการเมืองและยุบพรรคการเมืองทุจริตเลือกตั้งได้ อันเป็นการผดุงเอาไว้ซึ่งหลักนิติรัฐที่สำคัญ

เพราะมี “คนดีและเด็กดีที่ช่วยชาติ” เข้าร่วมขบวนการกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงสามารถหยุดยั้งการกระทำความผิดต่อรัฐธรรมนูญที่ยกอธิปไตยบริเวณรอบปราสาทพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชาเอาไว้ได้

เพราะมี “คนดี และเด็กดีที่ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์” จึงสามารถหยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิให้เปลี่ยนโครงสร้างสถาบันองคมนตรีอันเป็นพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์เอาไว้ได้จนถึงทุกวันนี้

น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ “น้องโบว์” จึงเป็นตัวแทนของวีรชนอีกหลายคนทั้งชายหญิงที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า และเสียชีวิต หรือพิการบาดเจ็บเพราะความอำมหิตจากเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายความมั่นคง ทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นต่อสู้เพื่อความมั่นคงของชาติและราชบัลลังก์

พันธมิตรฯ จึงไม่ได้ต้องการ “ความเป็นกลาง” ที่ไร้ความรับผิดชอบ แต่ต้องการความยุติธรรมคืนมาจากสิ่งที่เป็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น

เพราะ ต้องไม่ลืมว่าการเสียชีวิตของ “น้องโบว์” เกิดขึ้นใน “เวลากลางคืน” ซึ่งไม่มีผู้ที่อยู่ที่หน้าอาคารรัฐสภาแล้ว เป็นการยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชนอย่างบ้าคลั่ง โดยที่ทราบดีอยู่ตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดแล้วว่ามีผู้บาดเจ็บ ล้มตาย แขนขาขาด จากการยิงของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างต่อเนื่อง ก็ยังปล่อยให้ดำเนินการเข่นฆ่าประชาชนต่อไปอีก โดยที่ไม่มีคำสั่งให้หยุดยิงจากข้าราชการหรือนักการเมืองคนใด

ไม่มีแม้แต่คำสั่งหยุดและห้ามใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาในคืนนั้นที่ใช้มาตั้งแต่ตอนเช้าจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ!

และจำได้เป็นอย่างดีว่า วันที่ 13 ตุลาคม 2551 ในงานพระราชทานเพลิงศพของ “น้องโบว์” ได้ปรากฏร่างของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในเวลานั้นก็ได้ไปให้เกียรติกับวีรชนในวันนั้นด้วย

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาพันธมิตรฯ ได้ถูกอาวุธสงครามประเภทระเบิด M-79 ยิงเข้าใส่หลายครั้ง มีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก โดยกลุ่มผู้นำทหารและกลุ่มผู้นำตำรวจต่างแสดงความเย็นชาต่อคนดีที่เสียสละเพื่อชาติและรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์

ต่อมาภายหลังจากยุบพรรครัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และกลุ่มเพื่อนเนวินได้จับมือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพื่อสนับสนุนจัดตั้งรัฐบาล นายชวรัตน์ ชาญวีรกูลในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้นได้เซ็นคำสั่งย้ายจากที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ซึ่งถูกย้ายไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาลในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ เพราะถูกร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง ให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้งโดยไม่ได้มีเหตุผลใดๆ รองรับ

ช่วงแรกบางคนก็เข้าใจว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่รู้เรื่องด้วย แต่เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ยังใช้บริการ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อมาอีกถึง 7 เดือน จึงย่อมเกิดคำถามว่าการกลับมาในตำแหน่ง ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในครั้งนั้นเป็นเพียงการยืมมือนายชวรัตน์ ชาญวีรกูลเพื่อรักษาภาพลักษณ์ไม่ให้คนต่อว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช่หรือไม่!?

เพราะกลัวว่าถ้าย้ายด้วยมือของนายอภิสิทธิ์เองแล้ว ภาพลักษณ์ก็จะแปดเปื้อนเพราะถูกประชาชนจับได้ว่า “เกรงใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ มากกว่า เกรงใจดวงวิญญาณวีรชน และเด็กดีที่ช่วยชาติ และช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์” ใช่หรือไม่!?

7 เดือนมาแล้ว ที่พันธมิตรฯ และวีรชนจึงเป็นฝ่ายที่เฝ้าดูรัฐบาลให้อำนาจ พล.ต.อ.พัชรวาท ด้วยความอดกลั้นและอดทนอย่างถึงที่สุด!


เพราะพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ถือเป็นคู่กรณีคนหนึ่งกับพันธมิตรฯ ในคดี 7 ตุลาคม 2551 การกลับมาเป็น ผบ.ตร.ย่อมถูกมองว่าไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับพันธมิตรฯ ได้

และเฉพาะการปล่อยปละละเลยในความโหดเหี้ยมของคดี 7 ตุลาคม 2551 นายกรัฐมนตรีย่อมมีความชอบธรรมอย่างเพียงพอที่จะย้าย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ให้ออกไปช่วยราชการที่อื่นให้พ้นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นานแล้ว

ผ่านมา 7 เดือน ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในปีที่แล้วที่เย็นชากับประชาชนและเพิกเฉยต่อความมั่นคงของรัฐยังคงอยู่ครบเหมือนเดิม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังคงนั่งในตำแหน่ง ผบ.ทบ. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณกลับมาในตำแหน่ง ผบ.ตร. และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ยังคงรั้งเก้าอี้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอย่างเหนียวแน่น

เพราะคำว่า “เกรงใจ” และ “ไม่กล้าหาญ” ไม่กล้าปฏิรูปรัฐตำรวจ ไม่กล้าสะสางคดีในกรมสอบสวนคดีพิเศษ และเกรงใจจึงไม่ดึงคนที่กล้าหาญและเข้าใจงานด้านความมั่นคงมาทำงานกระทรวงกลาโหม จึงทำให้เกิดความเสียหายและเป็นปัญหาบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้!

ตัวอย่างจาก ความ “เกรงใจ” และ “ไม่กล้าหาญ” ทำให้ราคาที่ต้องจ่ายมีราคาแพงสูงลิ่ว ได้แก่ การล้มงานประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและคู่เจรจาเมื่อเดือนเมษายนอย่างน่าอัปยศ, การปล่อยให้มีความเสี่ยงที่จะลอบสังหารนายกรัฐมนตรี 2-3 ครั้ง, การที่กลุ่มคนเสื้อแดงใช้ปืนยิงชาวบ้านโดยตำรวจสมคบกันใส่เกียร์ว่าง, การยัดข้อหาก่อการร้ายอันเป็นเท็จให้กับพันธมิตรฯ, การไม่กล้าขุดรื้อคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นในเอสซีแอสเสท หรือไม่กล้าเปลี่ยนโครงสร้างเครือข่ายระบอบทักษิณในกรมสอบสวนคดีพิเศษ และประเด็นที่ได้รับความสนใจในเวลานี้ก็คือเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายความมั่นคงลงมือลอบสังหารนายสนธิด้วยอาวุธสงครามใจกลางพระนครในช่วงการประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ฯลฯ

ล่าสุดถึงขนาดฝ่ายความมั่นคงปล่อยปละละเลยให้มีการถวายฎีกาอย่างผิดกฎหมาย และถึงขั้นจัดงานกดดันใกล้พระราชวังไกลกังวล โดยที่สื่อของรัฐและสื่อของฝ่ายความมั่นคงมัวแต่ขายเวลาให้เอกชนเพื่อทำมาหากินจนสถานการณ์ภัยต่อความมั่นคงบานปลายหนักข้อขึ้นทุกวัน

เฉพาะตัวอย่างความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองข้างต้น ก็เพียงพอที่จะต้องบอกว่างานความมั่นคงของรัฐบาลชุดนี้สอบตก และควรมีคนออกมารับผิดชอบได้ตั้งนานแล้ว


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังต้องให้ “เครดิต” กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ยังตั้งสติเลิกบ้าจี้เรื่อง “เป็นกลาง” ได้ในบางเสี้ยวของปัญหา เพราะรู้หน้าที่ของตัวเองในการกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการอำนวยความยุติธรรมในบ้านเมืองจึงได้เปลี่ยนตัว พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ มาเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ให้มากำกับดูแลคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล และให้นโยบายย้าย พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีกลับเข้ามาคลี่คลายคดีนี้อีกครั้งหลังจากถูกโยกย้ายให้พ้นจากคดีไปอยู่ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังต้องการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีมากกว่านี้เพื่อขจัด ตอ หนอนบ่อนไส้ และไส้ศึกโดยเร็ว!

เพราะขบวนการที่ลงมือลอบสังหารนายสนธิครั้งนี้มีความเลวทรามต่ำช้ามาก นอกจากจะเป็นทหารบางกลุ่ม ตำรวจบางนาย หรือเจ้าหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษบางคน ซึ่งกินเงินภาษีจากหยาดเหงื่อของประชาชนแล้ว ขบวนการเหล่านี้ยังไม่รู้จักรักษาอธิปไตยของชาติ ไม่รู้จักรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่สนใจที่จะรักษาราชบัลลังก์อีกด้วย

ในทางตรงกันข้ามกลุ่มบุคคลเหล่านี้ยังใช้เครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์อันทันสมัยในฝ่ายความมั่นคงที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน มาใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างเข่นฆ่าประชาชนและผู้นำพันธมิตรฯ ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับคนดี และเด็กดี มาต่อสู้เพื่อชาติและรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างอำมหิต

คนกลุ่มนี้ยังไปคุกคามและแทรกแซงการสอบสวนของตำรวจในคดีลอบสังหารนายสนธิอย่างไร้ยางอาย วางแผนให้ผลตอบแทนและข่มขู่คนใน ป.ป.ช.เพื่อบิดเบือนคดี 7 ตุลาคม 2551 แล้วยังเลวร้ายถึงขั้นปล่อยข่าวใส่ร้ายป้ายผิดให้ “ฟ้า” ว่าอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนายสนธิ โดยอ้างว่าเพื่อความมั่นคงของชาติ แต่เนื้อแท้ก็เป็นเพียงแผนชั่วร้ายเพื่อรักษาความมั่นคงของกลุ่มอำนาจตัวเองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใด การปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ให้พ้นจากการทำหน้าที่ของ ผบ.ตร. จะเป็นจุดหลักไมล์สำคัญที่ท้าทายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่ามีความกล้าหาญ และความจริงใจ ที่จะ “เริ่มต้น” ที่จะคืนความเป็นธรรมของเหล่าวีรชนผู้เสียสละของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจริงหรือไม่!?

และสุดท้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องตระหนักให้ดีว่า 7 เดือนที่ผ่านมา ประเทศชาติได้เสียหายจากความล้มเหลวในงานความมั่นคงมามากเกินพอแล้ว!

กำลังโหลดความคิดเห็น