นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ถ้าเลือกตั้งวันนี้พรรคที่มีคะแนนนิยมที่ดีที่สุดในภาคเหนือ คือ พรรคประชาธิปัตย์ ส่วนคะแนนนิยมของพรรคในภาคอีสานก็เพิ่มขึ้น”
ในฐานะคนเป็นหัวหน้าพรรค ในฐานะผู้นำพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องพูดอย่างที่ท่านได้พูดออกมานั่นแหละครับ ทั้งๆ ที่ท่านย่อมจะตระหนักดีว่า ถ้าหากรัฐบาลตัดสินใจยุบสภาวันนี้ เดือนหน้า หรืออีก 3 เดือนข้างหน้า โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้เสียงข้างมากเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น ยากกว่ายากนัก
คะแนนนิยมที่ยังมั่นคงอยู่ ถ้าเป็นภาคใต้ละก้อ ว่าไปอย่าง ถ้าหากจะไปหวังคะแนนเสียงภาคเหนือ ภาคอีสานแล้วลำบากนัก
เหมือนหาเห็ดหน้าแล้งนั่นแหละครับ
การจัดงานทำบุญครบรอบ 60 ปีของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเห็นได้ชัดครับว่า ถ้าหากเลือกตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ ผลจะออกมาอย่างไร ไม่เช่นนั้น พรรคเพื่อไทยของทักษิณ ชินวัตร ไม่เรียกร้องเช้าเย็นหรอกครับ ให้รัฐบาลผสมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาเพื่อที่จะได้มีการเลือกตั้ง แล้วพวกเขาก็จะชนะอีก ได้จัดตั้งรัฐบาลอย่างที่ได้ทำมาแล้ว ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
การเอาการเอางานของคนเสื้อแดง และนักการเมืองที่สังกัดทักษิณ ชินวัตร ในการจัดงานวันเกิดครบ 60 ปีของทักษิณ (ชนิดที่ไม่แน่ใจนักว่า ครบรอบ 60 ปีของพ่อแม่แท้ๆ ของพวกเขาจะเคยจัดงานให้หรือไม่) สะท้อนให้เห็นว่า ความมั่นอกมั่นใจชัยชนะในการเลือกตั้ง ยังจะเป็นของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร อยู่
นอกเหนือจากชัยชนะในการเลือกตั้งแล้ว พวกเขา (นักการเมือง) ยังหวังว่า จะได้รับเงินสนับสนุนในการรณรงค์การเลือกตั้งด้วย
การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า การเลือกตั้งวันนี้ พรรคที่มีคะแนนนิยมที่สุดในภาคเหนือ คือ พรรคประชาธิปัตย์ นั่นเท่ากับเป็นการประเมินคู่แข่ง คู่ต่อสู้ต่ำเกินไป
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารประเทศมาได้ 6 เดือน ได้ทำอะไรบ้างเล่าครับให้ประชาชนภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือภาคอื่นๆ (ยกเว้นภาคใต้) เห็นว่าจะสามารถนำพาประเทศชาติผ่านวิกฤตเศรษฐกิจ และการเมืองไปได้
ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักโทษ และมีคดีติดตัวอยู่อีกหลายคดี รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีปัญญาบอกกล่าวให้ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงได้เข้าใจ ยังปล่อยให้ประชาชนบางกลุ่มเรียกร้องหา และเชื่อกันว่า มีแต่ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของประเทศชาติได้ มีแต่ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนพ้นความลำบากยากจน เพราะฉะนั้นจะต้องให้ทักษิณกลับมาแก้ไขปัญหาของประเทศ
ขณะเดียวกัน ก็ปล่อยให้มีการโฆษณาป่าวร้องว่า ทักษิณ ชินวัตร นั้นถูกกลั่นแกล้ง เพราะเป็นที่รักของประชาชนอย่างมาก ทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อน หาทางกลั่นแกล้งโดยการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 แล้วกลั่นแกล้งต่อไปอีกด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบทรัพย์สิน หาทางเอาผิดแกล้งยึดทรัพย์สินเอาไว้ ทั้งที่ทักษิณ และลูกเมียร่ำรวยมาก่อนที่จะเล่นการเมืองเสียอีก
การโฆษณาป่าวร้องเช่นนี้ในยุคของนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เพราะเป็นรัฐบาลที่เป็นมือเป็นตีนของทักษิณ ชินวัตร
แต่ไม่เข้าใจเอาเลยว่า ในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปล่อยให้โฆษณาป่าวร้องได้อย่างไร ถ้าหากจะบอกว่าเป็นเสรีภาพ
รัฐบาลก็ไม่เคยทำความจริงให้ปรากฏแก่ประชาชนทั้งหลายทั้งปวง องค์กรต่างๆ ที่เป็นองคาพยพของอำนาจรัฐ แม้จะได้รับความกระทบกระเทือนจากการโฆษณาป่าวร้องของบรรดาลิ่วล้อ บริษัทบริวารของทักษิณต่างก็นิ่งเฉย เช่น บอกว่า ความยุติธรรมยุติไปแล้ว เพราะศาลมี 2 มาตรฐาน หรืออย่างที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ออกมาแสดงความเห็นอกเห็นใจทักษิณว่า “เมียซื้อ ผัวติดคุก” กรณีที่ดินรัชดาฯ ทั้งๆ ที่ศาลตัดสินคดีนี้คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ศาลท่านก็ทนฟังได้!
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ (เป็นแกนนำ) ได้ทำอะไรบ้างเล่าครับใน 6-7 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่าแตกต่างจากการเป็นฝ่ายค้านอย่างสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้จากหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่ตำรวจปราบปรามประชาชนที่หน้ารัฐสภาตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีคนตาย บาดเจ็บ 400-500 คน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำหนังสือถึงรัฐบาลให้ดำเนินการจัดการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือใครก็ตามที่เข่นฆ่าประชาชน
แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เคยพูดถึงคดีดังกล่าวนี้เลย ไม่เคยกระทำตัวอย่างที่ได้เรียกร้องให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กระทำเลย แม้สักครั้งเดียว
คดีที่บุกถล่มเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา หรือการบุกทำร้ายทรัพย์สิน และผู้คนที่กระทรวงมหาดไทย หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์การเผาบ้านเผาเมืองเมื่อวันสงกรานต์ ซึ่งหลังที่จะล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แท้ๆ ในฐานะนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังเฉย
เกรงว่าจะเป็นการแทรกแซงคดี
ฟังเหมือนดูดี แต่การสั่งการเร่งรัดให้ดำเนินคดี เร่งรัดการจับกุม ไม่ใช่การแทรกแซงคดีเลยสักนิด ถ้าไปขอให้เขาเอาผิดคนนั้น ไม่เอาผิดคนนี้ซิครับจึงจะเรียกว่า การแทรกแซง
รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ทำอยู่อย่างเดียวในทุกวันนี้ก็คือ การลอยตัวอยู่เพื่อความขัดแย้ง หรือไม่ก็ซื้อเวลาให้ผ่านไปวันหนึ่งๆ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความสามารถพิเศษของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีก็เป็นได้ เป็นต้นว่า กระทรวงคมนาคมเสนอเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน พรรคประชาธิปัตย์ และนายกรัฐมนตรีก็รู้ว่า เป็นโครงการที่จะต้องมีการเขมือบกันเห็นๆ แทนที่จะออกมาพูดตรงๆ เหมือนสมัยที่เป็นฝ่ายค้าน ก็ให้คณะรัฐมนตรีรับมาพิจารณา หมดวาระที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณา ก็ให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำไปศึกษา ศึกษาเสร็จก็ให้นำกลับไปศึกษาใหม่
จะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยอมให้ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมา พิจารณาเสร็จก็สั่งให้รัฐบาล
รัฐบาลก็เก็บไว้ก่อน
ทำนองเดียวกับทักษิณ กลุ่มเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวก็ปล่อย ถือว่าเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ทั้งๆ ที่บางเรื่องและหลายๆ เรื่องเป็นเท็จ รัฐบาลก็ปล่อย
ไม่พยายามทำความจริงให้ปรากฏ
เมื่อความจริงไม่ปรากฏ ความขัดแย้งในสังคมก็ยังจะต้องดำรงอยู่ต่อไป มีฝ่ายที่ต้องการล้มระบอบทักษิณ เพราะเห็นว่าเป็นระบอบที่ทำความเสียหายให้กับประเทศชาติ หลอกลวง มดเท็จต่อประชาชน กอบโกยตักตวงเอาผลประโยชน์ในหมู่พวกของทักษิณ บริษัทบริวารของทักษิณ
ขณะเดียวกัน อีกกลุ่มก็ยังเชื่อว่า ทักษิณเป็นผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง ทั้งที่ทำเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อคนยากคนจน ฯลฯ
รัฐบาลนิ่ง และเฉยอยู่อย่างนี้ ความเสียหายก็จะตกอยู่กับประเทศชาติ อย่างน้อยที่สุดก็ 5-6 ปี เป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เป็นต้นว่า
เสียทรัพยากร การชุมนุมทั้งฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายต่อต้าน ล้วนสิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทอง
เสียโอกาสแทนที่จะเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาของประเทศชาติที่เรากำลังเผชิญภาวะวิกฤตอยู่ในขณะนี้
เจ้าแห่งหลักการอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ปล่อยให้ความเสียหายเกิดขึ้นกับบ้านเมืองได้อย่างไรครับ
ในฐานะคนเป็นหัวหน้าพรรค ในฐานะผู้นำพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องพูดอย่างที่ท่านได้พูดออกมานั่นแหละครับ ทั้งๆ ที่ท่านย่อมจะตระหนักดีว่า ถ้าหากรัฐบาลตัดสินใจยุบสภาวันนี้ เดือนหน้า หรืออีก 3 เดือนข้างหน้า โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้เสียงข้างมากเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น ยากกว่ายากนัก
คะแนนนิยมที่ยังมั่นคงอยู่ ถ้าเป็นภาคใต้ละก้อ ว่าไปอย่าง ถ้าหากจะไปหวังคะแนนเสียงภาคเหนือ ภาคอีสานแล้วลำบากนัก
เหมือนหาเห็ดหน้าแล้งนั่นแหละครับ
การจัดงานทำบุญครบรอบ 60 ปีของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเห็นได้ชัดครับว่า ถ้าหากเลือกตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ ผลจะออกมาอย่างไร ไม่เช่นนั้น พรรคเพื่อไทยของทักษิณ ชินวัตร ไม่เรียกร้องเช้าเย็นหรอกครับ ให้รัฐบาลผสมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาเพื่อที่จะได้มีการเลือกตั้ง แล้วพวกเขาก็จะชนะอีก ได้จัดตั้งรัฐบาลอย่างที่ได้ทำมาแล้ว ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
การเอาการเอางานของคนเสื้อแดง และนักการเมืองที่สังกัดทักษิณ ชินวัตร ในการจัดงานวันเกิดครบ 60 ปีของทักษิณ (ชนิดที่ไม่แน่ใจนักว่า ครบรอบ 60 ปีของพ่อแม่แท้ๆ ของพวกเขาจะเคยจัดงานให้หรือไม่) สะท้อนให้เห็นว่า ความมั่นอกมั่นใจชัยชนะในการเลือกตั้ง ยังจะเป็นของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร อยู่
นอกเหนือจากชัยชนะในการเลือกตั้งแล้ว พวกเขา (นักการเมือง) ยังหวังว่า จะได้รับเงินสนับสนุนในการรณรงค์การเลือกตั้งด้วย
การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า การเลือกตั้งวันนี้ พรรคที่มีคะแนนนิยมที่สุดในภาคเหนือ คือ พรรคประชาธิปัตย์ นั่นเท่ากับเป็นการประเมินคู่แข่ง คู่ต่อสู้ต่ำเกินไป
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารประเทศมาได้ 6 เดือน ได้ทำอะไรบ้างเล่าครับให้ประชาชนภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือภาคอื่นๆ (ยกเว้นภาคใต้) เห็นว่าจะสามารถนำพาประเทศชาติผ่านวิกฤตเศรษฐกิจ และการเมืองไปได้
ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักโทษ และมีคดีติดตัวอยู่อีกหลายคดี รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีปัญญาบอกกล่าวให้ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงได้เข้าใจ ยังปล่อยให้ประชาชนบางกลุ่มเรียกร้องหา และเชื่อกันว่า มีแต่ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของประเทศชาติได้ มีแต่ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนพ้นความลำบากยากจน เพราะฉะนั้นจะต้องให้ทักษิณกลับมาแก้ไขปัญหาของประเทศ
ขณะเดียวกัน ก็ปล่อยให้มีการโฆษณาป่าวร้องว่า ทักษิณ ชินวัตร นั้นถูกกลั่นแกล้ง เพราะเป็นที่รักของประชาชนอย่างมาก ทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อน หาทางกลั่นแกล้งโดยการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 แล้วกลั่นแกล้งต่อไปอีกด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบทรัพย์สิน หาทางเอาผิดแกล้งยึดทรัพย์สินเอาไว้ ทั้งที่ทักษิณ และลูกเมียร่ำรวยมาก่อนที่จะเล่นการเมืองเสียอีก
การโฆษณาป่าวร้องเช่นนี้ในยุคของนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เพราะเป็นรัฐบาลที่เป็นมือเป็นตีนของทักษิณ ชินวัตร
แต่ไม่เข้าใจเอาเลยว่า ในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปล่อยให้โฆษณาป่าวร้องได้อย่างไร ถ้าหากจะบอกว่าเป็นเสรีภาพ
รัฐบาลก็ไม่เคยทำความจริงให้ปรากฏแก่ประชาชนทั้งหลายทั้งปวง องค์กรต่างๆ ที่เป็นองคาพยพของอำนาจรัฐ แม้จะได้รับความกระทบกระเทือนจากการโฆษณาป่าวร้องของบรรดาลิ่วล้อ บริษัทบริวารของทักษิณต่างก็นิ่งเฉย เช่น บอกว่า ความยุติธรรมยุติไปแล้ว เพราะศาลมี 2 มาตรฐาน หรืออย่างที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ออกมาแสดงความเห็นอกเห็นใจทักษิณว่า “เมียซื้อ ผัวติดคุก” กรณีที่ดินรัชดาฯ ทั้งๆ ที่ศาลตัดสินคดีนี้คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ศาลท่านก็ทนฟังได้!
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ (เป็นแกนนำ) ได้ทำอะไรบ้างเล่าครับใน 6-7 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่าแตกต่างจากการเป็นฝ่ายค้านอย่างสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้จากหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่ตำรวจปราบปรามประชาชนที่หน้ารัฐสภาตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีคนตาย บาดเจ็บ 400-500 คน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำหนังสือถึงรัฐบาลให้ดำเนินการจัดการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือใครก็ตามที่เข่นฆ่าประชาชน
แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เคยพูดถึงคดีดังกล่าวนี้เลย ไม่เคยกระทำตัวอย่างที่ได้เรียกร้องให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กระทำเลย แม้สักครั้งเดียว
คดีที่บุกถล่มเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา หรือการบุกทำร้ายทรัพย์สิน และผู้คนที่กระทรวงมหาดไทย หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์การเผาบ้านเผาเมืองเมื่อวันสงกรานต์ ซึ่งหลังที่จะล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แท้ๆ ในฐานะนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังเฉย
เกรงว่าจะเป็นการแทรกแซงคดี
ฟังเหมือนดูดี แต่การสั่งการเร่งรัดให้ดำเนินคดี เร่งรัดการจับกุม ไม่ใช่การแทรกแซงคดีเลยสักนิด ถ้าไปขอให้เขาเอาผิดคนนั้น ไม่เอาผิดคนนี้ซิครับจึงจะเรียกว่า การแทรกแซง
รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ทำอยู่อย่างเดียวในทุกวันนี้ก็คือ การลอยตัวอยู่เพื่อความขัดแย้ง หรือไม่ก็ซื้อเวลาให้ผ่านไปวันหนึ่งๆ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความสามารถพิเศษของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีก็เป็นได้ เป็นต้นว่า กระทรวงคมนาคมเสนอเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน พรรคประชาธิปัตย์ และนายกรัฐมนตรีก็รู้ว่า เป็นโครงการที่จะต้องมีการเขมือบกันเห็นๆ แทนที่จะออกมาพูดตรงๆ เหมือนสมัยที่เป็นฝ่ายค้าน ก็ให้คณะรัฐมนตรีรับมาพิจารณา หมดวาระที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณา ก็ให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำไปศึกษา ศึกษาเสร็จก็ให้นำกลับไปศึกษาใหม่
จะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยอมให้ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมา พิจารณาเสร็จก็สั่งให้รัฐบาล
รัฐบาลก็เก็บไว้ก่อน
ทำนองเดียวกับทักษิณ กลุ่มเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวก็ปล่อย ถือว่าเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ทั้งๆ ที่บางเรื่องและหลายๆ เรื่องเป็นเท็จ รัฐบาลก็ปล่อย
ไม่พยายามทำความจริงให้ปรากฏ
เมื่อความจริงไม่ปรากฏ ความขัดแย้งในสังคมก็ยังจะต้องดำรงอยู่ต่อไป มีฝ่ายที่ต้องการล้มระบอบทักษิณ เพราะเห็นว่าเป็นระบอบที่ทำความเสียหายให้กับประเทศชาติ หลอกลวง มดเท็จต่อประชาชน กอบโกยตักตวงเอาผลประโยชน์ในหมู่พวกของทักษิณ บริษัทบริวารของทักษิณ
ขณะเดียวกัน อีกกลุ่มก็ยังเชื่อว่า ทักษิณเป็นผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง ทั้งที่ทำเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อคนยากคนจน ฯลฯ
รัฐบาลนิ่ง และเฉยอยู่อย่างนี้ ความเสียหายก็จะตกอยู่กับประเทศชาติ อย่างน้อยที่สุดก็ 5-6 ปี เป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เป็นต้นว่า
เสียทรัพยากร การชุมนุมทั้งฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายต่อต้าน ล้วนสิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทอง
เสียโอกาสแทนที่จะเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาของประเทศชาติที่เรากำลังเผชิญภาวะวิกฤตอยู่ในขณะนี้
เจ้าแห่งหลักการอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ปล่อยให้ความเสียหายเกิดขึ้นกับบ้านเมืองได้อย่างไรครับ