การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสังคม-การเมืองไทย
สังคมไทยไม่ใช่สังคมที่มีเอกภาพอย่างที่พูดกัน หากมีความแตกต่างหลากหลายทั้งทางด้านเชื้อชาติ และภูมิภาค
สังคมไทยไม่มีประสบการณ์ร่วมกันที่เป็นวิกฤตขั้นรุนแรงเหมือนสังคมอื่น เช่น ผลกระทบจากสงคราม
สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การเผชิญกับกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดการล้มทลายทางเศรษฐกิจ และความจำเป็นในการปรับตัว เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของการดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
สังคมไทยขาดประสบการณ์ในการแก้ปัญหาร่วมกัน จึงเกิดความรุนแรงและการเผชิญหน้ามากกว่าการประนีประนอม
สังคมไทยยังมีประชากรที่มีความยากจน ด้อยโอกาสทางด้านการศึกษา
สังคมไทยยังมีการสื่อสารทางการเมืองน้อย และมีการสื่อสารที่บิดเบือนข้อมูล และข้อเท็จจริง สื่อของรัฐบาลยังไม่มีการให้การศึกษาทางการเมืองอย่างเป็นระบบ
ในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองไทยนั้น มีลักษณะพิเศษดังนี้
การเมืองไทยมีการปรับโครงสร้างทางการเมือง จนปัจจุบันมีโครงสร้างที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญๆ และมีความซับซ้อน มีการจัดความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่างๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากพฤติกรรมทางการเมืองเป็นสำคัญ
การเมืองไทยเพิ่งจะเปิดกว้าง มีระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และเป็นประชาธิปไตยที่สถาบันหลักคือ พรรคการเมืองขาดความเข้มแข็ง และมีบทบาทจำกัดเฉพาะการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น
การเมืองไทยในอดีตไม่เปิดโอกาสให้เกิดความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างสถาบันทางการเมืองกับประชาชนที่แน่นแฟ้น ไม่เปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาพรรคการเมือง และผู้นำทางการเมือง ทั้งนี้เป็นเพราะขาดการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อเนื่อง
การเมืองไทยมีการดำเนินการที่แสวงหาผลประโยชน์ระยะสั้น ก่อให้เกิดการคอร์รัปชัน การอาศัยตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างกว้างขวาง
การเมืองไทยมีปัญหาด้านเสถียรภาพ และความต่อเนื่อง เพราะมีรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรค ในบางระยะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน
การเมืองไทยเป็นการเมืองที่พลังภายนอกระบบรัฐสภามีบทบาทสูง และไม่เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองจึงเกิด “การเมืองสองกระแส” คือ การเมืองภายในสภา และการเมืองภายนอกสภา
พลังกดดันและการขยายตัวของพลังจากองค์กรเอกชน และองค์กรประชาชนมีมากขึ้น และนำไปสู่ความขัดแย้งของคู่แข่งขัน ทั้งระหว่างพรรคการเมืองกับความขัดแย้งระหว่างสถาบันทางการเมืองกับองค์กรประชาชน
ฝ่ายตุลาการ และองค์กรอิสระได้มีบทบาทมากขึ้นในการทำการตรวจสอบฝ่ายการเมือง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อพรรคการเมือง
มีความตระหนักถึงความเสื่อมโทรมทางการเมือง และมีการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงลักษณะด้วยทางการเมืองให้ไปสู่ “การเมืองใหม่” โดยเฉพาะทางด้านพฤติกรรมของนักการเมือง
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมีผลกระทบอย่างมากต่อการเมือง แต่ปัญหาทางการเมืองทำให้การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยาก
จากปัญหาทางสังคม และการเมืองดังกล่าวมานี้ ชี้ให้เห็นว่าการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศนั้น จะต้องมีการปฏิรูปทางการเมืองที่เน้นการเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมือง แทนที่จะมุ่งปรับโครงสร้างทางการเมือง
การเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมือง ต้องทำสองด้านควบคู่กันไป คือ อาศัยมาตรการทางกฎหมาย และมาตรการทางการพัฒนาพฤติกรรม ทางด้านกฎหมายจะต้องมีการดำเนินการปราบปรามการใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์อย่างจริงจัง ทางด้านการพัฒนาพฤติกรรมนั้น ต้องมีการพัฒนานักการเมืองที่ทำอย่างเป็นระบบ ทั้งจากพรรคการเมืองเอง และจากสถาบันการศึกษา
ที่จำเป็นและสำคัญก็คือ การตรวจสอบจากทางสังคมซึ่งทำผ่านสื่อมวลชน หากประชาชนมีความตื่นตัวและมีข้อมูลข่าวสารที่สมบูรณ์ ก็จะสามารถนำไปใช้ในการประเมินพฤติกรรมของนักการเมืองได้ ดังที่ปรากฏในกรณีของ ASTV
เราไม่อาจหวังให้วิกฤตของประเทศไทยหมดไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่การเปลี่ยนแปลงในจุดสำคัญของการเมืองอาจชะลอวิกฤตได้ จุดที่สำคัญคือ การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มที่มีความตื่นตัว และการเคลื่อนไหวสูง
อย่างไรก็ตาม การจัดการกับความขัดแย้งนี้เป็นไปได้ยากจนกว่าจะมีการดำเนินการทางคดีความกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งต้องใช้เวลา 2-3 ปี ระหว่างนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองจากฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะมีต่อไป การป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง และการขยายตัวของขบวนการนี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำได้
การเมืองภายในและภายนอกสภามีความเกี่ยวข้องกันในกรณีที่มีการเลือกตั้งใหม่ และฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับเลือกตั้งเข้ามามาก การกดดันนอกสภาก็จะลดน้อยลง โดยจะมีความพยายามที่จะแก้ไขกฎหมายแทน แต่ฝ่ายต่อต้านก็จะเคลื่อนไหวคัดค้าน ดังนั้น ปัญหาการเมืองและวิกฤตประเทศไทย จึงเป็นปัญหาด้านบุคคลมากกว่าปัญหาด้านระบบ พิจารณาในแง่นี้จึงไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรง และไม่ใช่ปัญหาระยะยาว
การแก้วิกฤตประเทศไทย ควรอาศัยการสื่อสารทางการเมืองเป็นด้านหลัก การให้ข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้อง และกว้างขวางทำให้ประชาชนมีความเข้าใจ และลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนได้ บทบาทของเคเบิลทีวี และวิทยุชุมชนมีความสำคัญ โดยจะต้องมีการกำกับดูแลการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และการปลุกระดมประชาชนให้ใช้ความรุนแรงด้วย
เราควรคิดว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ นี้เป็นเรื่องธรรมดา ส่วนจะมีผลสะเทือนทางด้านร้ายมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการกับวิกฤตนั้นที่ต้องอาศัยกระบวนการแก้ปัญหาที่มีการประนีประนอม และการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่
สังคมไทยไม่ใช่สังคมที่มีเอกภาพอย่างที่พูดกัน หากมีความแตกต่างหลากหลายทั้งทางด้านเชื้อชาติ และภูมิภาค
สังคมไทยไม่มีประสบการณ์ร่วมกันที่เป็นวิกฤตขั้นรุนแรงเหมือนสังคมอื่น เช่น ผลกระทบจากสงคราม
สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การเผชิญกับกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดการล้มทลายทางเศรษฐกิจ และความจำเป็นในการปรับตัว เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของการดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
สังคมไทยขาดประสบการณ์ในการแก้ปัญหาร่วมกัน จึงเกิดความรุนแรงและการเผชิญหน้ามากกว่าการประนีประนอม
สังคมไทยยังมีประชากรที่มีความยากจน ด้อยโอกาสทางด้านการศึกษา
สังคมไทยยังมีการสื่อสารทางการเมืองน้อย และมีการสื่อสารที่บิดเบือนข้อมูล และข้อเท็จจริง สื่อของรัฐบาลยังไม่มีการให้การศึกษาทางการเมืองอย่างเป็นระบบ
ในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองไทยนั้น มีลักษณะพิเศษดังนี้
การเมืองไทยมีการปรับโครงสร้างทางการเมือง จนปัจจุบันมีโครงสร้างที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญๆ และมีความซับซ้อน มีการจัดความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่างๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากพฤติกรรมทางการเมืองเป็นสำคัญ
การเมืองไทยเพิ่งจะเปิดกว้าง มีระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และเป็นประชาธิปไตยที่สถาบันหลักคือ พรรคการเมืองขาดความเข้มแข็ง และมีบทบาทจำกัดเฉพาะการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น
การเมืองไทยในอดีตไม่เปิดโอกาสให้เกิดความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างสถาบันทางการเมืองกับประชาชนที่แน่นแฟ้น ไม่เปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาพรรคการเมือง และผู้นำทางการเมือง ทั้งนี้เป็นเพราะขาดการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อเนื่อง
การเมืองไทยมีการดำเนินการที่แสวงหาผลประโยชน์ระยะสั้น ก่อให้เกิดการคอร์รัปชัน การอาศัยตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างกว้างขวาง
การเมืองไทยมีปัญหาด้านเสถียรภาพ และความต่อเนื่อง เพราะมีรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรค ในบางระยะมีพรรคการเมืองพรรคเดียวแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน
การเมืองไทยเป็นการเมืองที่พลังภายนอกระบบรัฐสภามีบทบาทสูง และไม่เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองจึงเกิด “การเมืองสองกระแส” คือ การเมืองภายในสภา และการเมืองภายนอกสภา
พลังกดดันและการขยายตัวของพลังจากองค์กรเอกชน และองค์กรประชาชนมีมากขึ้น และนำไปสู่ความขัดแย้งของคู่แข่งขัน ทั้งระหว่างพรรคการเมืองกับความขัดแย้งระหว่างสถาบันทางการเมืองกับองค์กรประชาชน
ฝ่ายตุลาการ และองค์กรอิสระได้มีบทบาทมากขึ้นในการทำการตรวจสอบฝ่ายการเมือง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อพรรคการเมือง
มีความตระหนักถึงความเสื่อมโทรมทางการเมือง และมีการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงลักษณะด้วยทางการเมืองให้ไปสู่ “การเมืองใหม่” โดยเฉพาะทางด้านพฤติกรรมของนักการเมือง
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมีผลกระทบอย่างมากต่อการเมือง แต่ปัญหาทางการเมืองทำให้การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยาก
จากปัญหาทางสังคม และการเมืองดังกล่าวมานี้ ชี้ให้เห็นว่าการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศนั้น จะต้องมีการปฏิรูปทางการเมืองที่เน้นการเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมือง แทนที่จะมุ่งปรับโครงสร้างทางการเมือง
การเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมือง ต้องทำสองด้านควบคู่กันไป คือ อาศัยมาตรการทางกฎหมาย และมาตรการทางการพัฒนาพฤติกรรม ทางด้านกฎหมายจะต้องมีการดำเนินการปราบปรามการใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์อย่างจริงจัง ทางด้านการพัฒนาพฤติกรรมนั้น ต้องมีการพัฒนานักการเมืองที่ทำอย่างเป็นระบบ ทั้งจากพรรคการเมืองเอง และจากสถาบันการศึกษา
ที่จำเป็นและสำคัญก็คือ การตรวจสอบจากทางสังคมซึ่งทำผ่านสื่อมวลชน หากประชาชนมีความตื่นตัวและมีข้อมูลข่าวสารที่สมบูรณ์ ก็จะสามารถนำไปใช้ในการประเมินพฤติกรรมของนักการเมืองได้ ดังที่ปรากฏในกรณีของ ASTV
เราไม่อาจหวังให้วิกฤตของประเทศไทยหมดไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่การเปลี่ยนแปลงในจุดสำคัญของการเมืองอาจชะลอวิกฤตได้ จุดที่สำคัญคือ การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มที่มีความตื่นตัว และการเคลื่อนไหวสูง
อย่างไรก็ตาม การจัดการกับความขัดแย้งนี้เป็นไปได้ยากจนกว่าจะมีการดำเนินการทางคดีความกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งต้องใช้เวลา 2-3 ปี ระหว่างนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองจากฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะมีต่อไป การป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง และการขยายตัวของขบวนการนี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำได้
การเมืองภายในและภายนอกสภามีความเกี่ยวข้องกันในกรณีที่มีการเลือกตั้งใหม่ และฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับเลือกตั้งเข้ามามาก การกดดันนอกสภาก็จะลดน้อยลง โดยจะมีความพยายามที่จะแก้ไขกฎหมายแทน แต่ฝ่ายต่อต้านก็จะเคลื่อนไหวคัดค้าน ดังนั้น ปัญหาการเมืองและวิกฤตประเทศไทย จึงเป็นปัญหาด้านบุคคลมากกว่าปัญหาด้านระบบ พิจารณาในแง่นี้จึงไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรง และไม่ใช่ปัญหาระยะยาว
การแก้วิกฤตประเทศไทย ควรอาศัยการสื่อสารทางการเมืองเป็นด้านหลัก การให้ข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้อง และกว้างขวางทำให้ประชาชนมีความเข้าใจ และลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนได้ บทบาทของเคเบิลทีวี และวิทยุชุมชนมีความสำคัญ โดยจะต้องมีการกำกับดูแลการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และการปลุกระดมประชาชนให้ใช้ความรุนแรงด้วย
เราควรคิดว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ นี้เป็นเรื่องธรรมดา ส่วนจะมีผลสะเทือนทางด้านร้ายมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการกับวิกฤตนั้นที่ต้องอาศัยกระบวนการแก้ปัญหาที่มีการประนีประนอม และการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่