xs
xsm
sm
md
lg

สังคมอุดมธรรม ชีวิตอุดมสุข “สภาวธรรม” ที่มวลมหาชนชาวไทยร่วมกันสร้างได้

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

บนฐานการเคลื่อนไหวปฏิบัติอย่างไม่หยุดยั้งของชาวพันธมิตรฯ ทั้งในและต่างประเทศ กระบวนการถักทอต่อเชื่อมทางปัญญาก็ได้ดำเนินต่อไป กระทั่งได้เกิดการเชื่อมโยงในระดับบูรณาการของ “ภูมิปัญญา” ชาวพันธมิตรฯ (องค์ประกอบสำคัญของ “ปัญญาแกน” พันธมิตรฯ) เป็นระยะๆ ในวงกว้างและไกลยิ่งขึ้น

ถึงวันนี้ กระบวนการดังกล่าว ได้ค่อยๆ สะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์สูงสุดของชาวพันธมิตรฯ ว่าถึงที่สุดแล้ว จุดหมายปลายทางที่ชาวพันธมิตรฯ จะไปให้ถึงก็คือ การสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมอุดมธรรม เพื่อให้คนไทยมีชีวิตอุดมสุข

อุดมการณ์สูงสุดนี้ จะทำหน้าที่เป็น “ธง” คอยชี้ทิศนำทางให้ชาวพันธมิตรฯ ก้าวเดิน ด้วยจิตใจพร้อมที่จะฟันฝ่า ต่อสู้ เอาชนะอุปสรรคต่างๆ รวมทั้งการขัดขวางทำลายทุกรูปแบบที่มาจากทุกทิศทุกทาง ในทุกขั้นตอนของการก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ “เดินมาถูกทาง” แล้วตั้งแต่ต้น

ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่อง “อุดมการณ์พันธมิตรฯ” (ฉบับวันที่ 21 ก.ค. 52) สังคมอุดมธรรมที่ชาวพันธมิตรฯ จะไปให้ถึง เป็นองค์รวมแห่ง “ธรรม” ของการปกครองที่สืบสานต่อเนื่องกันมาในบริบทสังคมชนิดต่างๆ ที่มนุษยชาติสรรสร้างขึ้นมาเพื่อสนองตอบความต้องการของตนในการยกระดับคุณภาพและคุณค่าชีวิต หลักๆ ก็คือ ระบบ “ธรรมาธิปไตย” ของสังคมศักดินา ระบบ “เสรีประชาธิปไตย” ของสังคมทุนนิยม และ ระบบ “ประชาธิปไตยประชาชน” ในระบอบสังคมนิยม

กระนั้น ทั้งสามระบบนี้ กลับไม่ได้แสดงบทบาทได้อย่างเต็มที่ในยุคสมัยของตนเอง เช่น ระบบธรรมาธิปไตยไม่ได้ยังประโยชน์สูงสุดแก่มวลมหาชน ราษฎรผู้อยู่ใต้การปกครองของเจ้าศักดินาหามีสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิตแต่ประการใดไม่ ระดับความทรงธรรมของผู้ปกครองจึงมีความหมายเพียงว่า ประชาราษฎร์ใต้อำนาจจะลืมตาอ้าปากได้มากขึ้นแค่ไหนในกรอบจารีตที่รัดรึงตรึงอยู่ทุกลมหายใจนั้น

หรือสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลในสังคมทุนนิยม ก็แสดงบทบาทได้เพียงแต่ในกรอบของตัวบทกฎหมายที่ตรากำหนดขึ้นมาโดยชนชั้นนายทุน ผ่านทางนักการเมืองตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุน ซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาเสมอ ประชาชนผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีด ขาดซึ่งองค์ความรู้และการจัดการ ย่อมไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้สิทธิเสรีภาพได้ตามตัวบทกฎหมาย หรือกระทั่ง “เข้าไม่ถึง”กฎหมาย

ตรงกันข้าม กลุ่มทุนผู้ใช้อำนาจปกครองในระบบรัฐสภา กลับสามารถ “เลือก” ที่จะใช้แง่มุมทางกฎหมายที่ “เปิดช่อง” ไว้ให้ล่วงหน้าแล้วเสมอ ในการปกป้องและสนองตอบผลประโยชน์กลุ่มตน แม้เมื่อจับได้ไล่ทัน ก็สามารถใช้กลไกรัฐปกป้อง เบี่ยงเบน หรือทำการแก้ไขปรับปรุง ตัดแต่งตัวบทกฎหมายให้มีแง่มุมซับซ้อนยิ่งขึ้น สำหรับการใช้กฎหมายในทางมิชอบเป็นไปอย่างแนบเนียนยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดระบบกฎหมายก็กลายเป็นเพียงตรายาง ประทับรับรองความเป็น “นิติรัฐ” ของรัฐทุนนิยม และรับรองสิทธิเสรีภาพอันล้นเหลือของกลุ่มทุนเท่านั้น

ความเหลื่อมล้ำในการใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าว ไม่มีทางแก้ไขให้ตกไปได้ในกรอบจำกัดของระบอบทุนนิยม

เมื่อมีความพยายามที่จะแก้ไขด้วยการปฏิวัติสังคม โค่นล้มอำนาจปกครองของชนชั้นนายทุน สถาปนาอำนาจปกครองของชนชั้นกรรมาชีพ เปลี่ยนจากรัฐทุนนิยมเป็นรัฐสังคมนิยม ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในรัสเซียและยุโรปตะวันออก ก็กลับปรากฏว่ากลุ่มและพรรคการเมืองที่ใช้อำนาจปกครองประเทศ ส่วนใหญ่เอนเอียงไปในทางรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ นัยว่าเป็นเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพที่กระทำต่อชนชั้นนายทุน มิให้ชนชั้นนายทุนดำรงคงอยู่หรือถือกำเนิดขึ้นอีกต่อไป แต่ความจริงกลับปรากฏว่า ประชาชนผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดในประเทศ “สังคมนิยม” เหล่านั้น ต้องสูญเสียสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลไปอย่างเบ็ดเสร็จ ยิ่งเสียกว่าในรัฐทุนนิยม

ในที่สุดประชาชนในการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศต่างๆ เกือบทั้งหมดก็พากันเลือกที่จะไม่เอาระบอบสังคมนิยม พร้อมใจกันหันมายอมรับการปกครองในระบอบทุนนิยมเช่นที่เป็นไปอยู่ในประเทศต่างๆ เกือบทั้งโลก ทั้งนี้เพื่อให้สามารถใช้สิทธิเสรีภาพกำหนดชีวิตของตนเองเป็นเบื้องต้น

สำหรับประเทศจีนที่ยังคงความเป็นรัฐสังคมนิยมได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ได้ปรับปฏิรูปตนเองอย่างขนานใหญ่ เปิดกว้างให้ประชาชนชาวจีนใช้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พร้อมๆ กับเร่งพัฒนาทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ชาวจีนส่วนใหญ่อย่างไม่หยุดหย่อน สามารถพลิกชีวิตคนจีนส่วนใหญ่ที่เคยยากจนข้นแค้น เป็นอยู่ดีกินดี มีสุขยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ความโดดเด่นของรัฐบาลจีน โดยการกำกับของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน อยู่ที่การดำเนินนโยบายสนองประโยชน์ประชาชนชาวจีน ตามสถานภาพของการเป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน และอุดมการณ์ยาวไกลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนที่จะสร้างประเทศจีนในระบอบสังคมนิยมเอกลักษณ์จีนให้เจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งยิ่งกว่ายุคใดๆ

กระนั้น ด้วยโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ทำให้ปัจจุบันนี้ สถานภาพของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะคือสมาชิกระดับสูงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ในการบริหารประเทศทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ทั้งในเมืองและในชนบท ทั้งในภาคการเมืองและธุรกิจ “ลอยตัว” อยู่เหนือประชาชนชาวจีนทั่วไป กลายสภาพเป็น “อภิสิทธิ์ชน”ที่ประชาชนชาวจีนทั่วไปรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ และเป็นต้นตอที่ขุดออกได้ยากของการโกงกินคอร์รัปชัน

ในบริบทดังกล่าว สิทธิเสรีภาพของคนจีนทั่วไป จึงไม่เท่าเทียมกับสิทธิเสรีภาพของสมาชิกพรรคและผู้มีอำนาจในพรรคและรัฐบาลจีน อีกนัยหนึ่ง ก็คือ ชาวบ้านทั่วไปมีสถานภาพต่ำต้อยกว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือสมาชิกพรรค ตลอดจนวงศ์วานว่านเครือของพวกเขาเหล่านั้น

ทั้งหมดนี้ ชาวพันธมิตรฯ จะต้องแยกแยะ ดึงเอา “องค์ธรรม” ที่เป็นแก่นสารที่แท้จริงของระบบ “ธรรมาธิปไตย” ระบบ “เสรีประชาธิปไตย” และระบบ “ประชาธิปไตยประชาชน” มาประยุกต์ใช้ในระบบ “ประชาธิปไตยมวลมหาชน” ที่ชาวพันธมิตรฯ ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ให้องค์ธรรมหรือแก่นสารของระบบการปกครองในอดีตแสดงศักยภาพอย่างสมบูรณ์ในระบบใหม่ของเรา (และใหม่สำหรับชาวโลกเลยก็ว่าได้)

การสร้างระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน ที่อำนาจกำหนดจากเบื้องล่าง ทำหน้าที่กำกับการใช้อำนาจเบื้องบน บนฐานปัญญาของมวลมหาชนชาวไทย จึงกลายเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพันธมิตรฯ ที่จะต้องทำให้สำเร็จ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เพื่อรองรับการปรากฏขึ้นของ “สภาวธรรม” -- สังคมอุดมธรรม ชีวิตอุดมสุข ที่คนทั้งโลกถวิลหา
กำลังโหลดความคิดเห็น