เรื่องบิ๊กเซอร์ไพร์สในโอกาสครบรอบวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เริ่มชัดขึ้นทุกทีว่าเห็นท่าจะมีเรื่องเซอร์ไพร์สจริงๆ เพราะล่าสุดนั้นนักการเมืองพรรคเพื่อไทยบางคนได้เปิดเผยว่าจะเป็นการทำพิธีกรรมตัดกรรม หงายบาตร ในโอกาสที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะหมดกรรมในวันที่ 26 กรกฎาคม ศกนี้
มีการแถลงว่าหลวงตาพระมหาบัวและคณะสงฆ์สายป่าและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยทำพิธีกรรมคว่ำบาตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องทำพิธีกรรมหงายบาตรโดยนิมนต์พระสงฆ์จำนวนหนึ่งมาทำพิธีสวดหงายบาตรนั้น
และแถลงอีกว่ามีซินแสทำนายว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะสิ้นกรรมเก่าในวันที่ 26 กรกฎาคม ศกนี้ จึงจะมีการทำพิธีตัดกรรม เพื่อให้พ้นจากบ่วงกรรมไปพร้อมๆ กัน โดยจะทำพิธีกรรมนี้ในหลายพื้นที่ และจะมีพระสงฆ์ซึ่งมีสมณศักดิ์สูงและสนิทชิดเชื้อกับพระมหาเถระระดับสูงในมหาเถรสมาคมร่วมทำพิธีอีกด้วย
ก็อาจจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีและอาจถือได้ว่าเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และหมู่คณะของท่าน รวมทั้งเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สของบรรดาชาวพุทธทั้งหลายด้วย รวมความก็คือเรื่องนี้เป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สจริง ๆ
แต่น่าเสียดายว่าสิ่งที่เรียกว่าบิ๊กเซอร์ไพร์สที่กล่าวนี้กลายเป็นเรื่องหลงงมงาย กลายเป็นเรื่องนอกพระพุทธศาสนา และกลายเป็นเรื่องของเดรัจฉานวิชาที่ถ้าหากพระสงฆ์เข้าเกี่ยวข้องแล้วก็ย่อมเป็นการละเมิดศีลและทรยศต่อคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยแท้
ก็ไม่ตำหนิติเตียนอะไร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องนี้ดอก เพราะชะตากรรมของท่านในวันนี้เป็นชะตากรรมที่มีความทุกข์มากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นสิ่งใดจะประโลมใจให้สร่างหายคลายทุกข์ได้ก็จำเป็นต้องไขว่คว้าเอาไว้ ดังที่เคยเป็นมาหลายครั้งหลายหน จนกลายเป็นการเปิดช่องให้คนบางพวกทำมาหากินกันอย่างสนุกสนานไปแล้ว
แต่จะสร่างหายคลายทุกข์ได้จริงหรือไม่ ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพระศาสนา ดังนั้นจึงควรทำความรู้ ความเข้าใจให้เกิดขึ้นเพื่อจะได้รู้อย่างถูกต้อง เข้าใจอย่างถูกต้อง อันจะนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไปด้วย
เอากันเรื่องแรกก่อน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะหมดกรรมในวันที่ 26 กรกฎาคม นี้จริงหรือไม่?
นักการเมืองท่านที่กล่าวเรื่องนี้ได้อ้างเอาคำทำนายของซินแสซึ่งก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นผู้อยู่นอกพระพุทธศาสนา จึงมีปัญหาว่าซินแสผู้นี้จะมีญาณขั้นสูง คือบุพเพนิวาสานุสติญาณและจุตูปปาตถญาณหรือไม่ เพราะหากไม่บรรลุถึงญาณทั้งสองนี้แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะล่วงรู้กรรมในอดีตชาติของใคร และไม่มีทางที่จะล่วงรู้อนาคตชาติของใคร
การที่บุคคลใดจะบรรลุถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณและจุตูปปาตถญาณนั้น ก็คือผู้ที่บรรลุธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา เป็นผู้อยู่ในกระแสของความเป็นพระอริยเจ้า เหลือเพียงขั้นเดียวก็จะถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว คือเมื่อบรรลุญาณที่สาม ได้แก่อาสวัคขยญาณเมื่อใดก็ถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น
การบรรลุถึงญาณดังกล่าวนี้มีวิถีทางปฏิบัติอยู่ก็แต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ดังนั้นคำอ้างของซินแสดังกล่าวจะเป็นที่น่าเชื่อถือเพียงใด และควรเป็นที่น่าเชื่อถือของใคร ก็พอจะเห็นกระจ่างแจ้งอยู่ในตัวแล้ว
ปัญหาถัดมาก็คือ กรรมนั้นสามารถตัดให้ขาดสิ้นสวาทสายใยได้หรือ? หากสามารถทำพิธีกรรมใดๆ ที่จะตัดกรรมไม่ให้มีวิบากส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมได้ดังที่กล่าวอ้างแล้ว ก็เท่ากับเป็นการหักล้างคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างสิ้นเชิง และถือเป็นการล้มล้างพระพุทธศาสนาไปพร้อมกันด้วย
เพราะในพระพุทธศาสนานี้ พระบรมศาสดาทรงตรัสย้ำแล้วย้ำอีกเป็นอันมากว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครหลีกลี้หนีกรรมไปได้ ทำกรรมอันใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว นี่คือหลักกรรมในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นหลักสำคัญมั่นคง จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นหัวใจหนึ่งของพระพุทธศาสนาก็ได้
หากสามารถทำพิธีกรรมตัดกรรมไม่ให้วิบากแห่งกรรมส่งผลได้จริงดังที่กล่าวอ้าง ก็เท่ากับว่ากฎแห่งกรรมนี้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เป็นการล้มล้างพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีพระพุทธศาสนาและคำสอนของพระบรมศาสดาทั้งปวง ก็จะไม่มีความจำเป็นและไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป
เพราะใครจะทำดีทำชั่วประการใดก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเกรงบาปกลัวกรรมกันอีกต่อไปแล้ว จะทำชั่วช้าเลวทรามหรือสร้างบาปกรรมอย่างไรก็ไม่ต้องกลัวว่าวิบากกรรมจะตามสนอง เพราะสามารถทำพิธีกรรมตัดกรรมไม่ให้ตอบสนองได้
ในพระพุทธศาสนาก็ดี ในพิธีกรรมฝ่ายพราหมณ์ก็ดี ไม่เคยมีพิธีกรรมตัดกรรมมาก่อน สำหรับในศาสนาพราหมณ์นั้นอย่างมากก็มีแต่พิธีกรรมสวดอ้อนวอนต่อพระเป็นเจ้าเพื่อให้เมตตาช่วยเหลือผ่อนหนักให้เป็นเบา แม้กระนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถตัดกรรมได้เลย
ดังนั้นจึงไม่มีทางตัดกรรมให้หมดสิ้นไปได้ ใครทำกรรมใดก็ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นเสมอ คำตรัสสอนของพระบรมศาสดาในเรื่องนี้ แม้วันเวลาผ่านไปนานปีแล้ว แต่ก็เป็นธรรมที่ใครทำแล้วย่อมได้รับผลเสมอกัน ไม่ว่าในกาลไหนๆ และไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และไม่มีใครมีความสามารถที่จะตัดวิบากแห่งกรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ชั้นไหนก็ตาม
หากเป็นพระสงฆ์แล้วไปริเริ่มเข้าร่วมหรือทำพิธีตัดกรรมแล้ว ก็ย่อมเป็นไปดังสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสตำหนิติเตียนว่าเป็นการกระทำในสิ่งที่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา หากพูดในเรื่องนี้ก็ทรงติเตียนว่าเป็นการกล่าวเดรัจฉานกถา ไม่ใช่การกระทำของพระสงฆ์สาวกผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยแห่งพระตถาคตเจ้าเลย
ในประการสุดท้าย ที่อ้างว่าจะมีการทำพิธีสวดหงายบาตรเพื่อแก้พิธีกรรมคว่ำบาตร ซึ่งหลวงตาพระมหาบัวและพระสายป่าได้ทำพิธีไว้นั้น ก็เป็นเรื่องประหลาดอีก
ชาวพุทธย่อมรู้ว่าการคว่ำบาตรนั้นเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของคณะสงฆ์ที่ประกาศตัดความสัมพันธ์กับคนใดคนหนึ่งว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป
สาเหตุของการที่จะคว่ำบาตรนั้นย่อมไม่ใช่เหตุเล็กน้อย แต่ต้องเป็นเหตุใหญ่ เช่น เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสงฆ์ ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมเสมอด้วยการทำร้ายพระอรหันต์หรือฆ่าบิดามารดา เป็นอันตัดหนทางนิพพานอย่างสิ้นเชิง หรือการกระทำที่มีลักษณะในการทำลายพระศาสนา ทำลายพระธรรม ทำลายพระสงฆ์ เมื่อมีเหตุใหญ่ๆ เช่นนี้พระบรมศาสดาทรงมีพุทธานุญาตให้คณะสงฆ์กระทำการคว่ำบาตรต่อผู้นั้น ไม่คบหายุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป
พิธีกรรมดังกล่าวเคยได้ยินมาว่ามีการกระทำต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเป็นการประกาศตัดความสัมพันธ์และไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป นั่นคือหลวงตาพระมหาบัวและคณะสงฆ์สายป่าได้มีมติร่วมกันที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือสัมพันธ์ใดๆ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อไปอีก
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่คณะสงฆ์เห็นว่ามีกรรมอันควรแก่การอภัยให้แก่ผู้ที่ถูกคว่ำบาตร ก็มีพุทธานุญาตให้คณะสงฆ์ยกเลิกการคว่ำบาตรนั้นได้ ซึ่งต้องทำเป็นพิธีกรรมในสงฆ์คณะที่ทำการคว่ำบาตรนั้น โดยมีคำสวดประกาศหงายบาตรคือยกเลิกการคว่ำบาตรนั้นเสีย
การสวดหงายบาตรจึงต้องสวดโดยคณะสงฆ์ผู้คว่ำบาตร ไม่ใช่สงฆ์หรือสมณะพราหมณ์เหล่าอื่น ซึ่งไม่มีผลอะไรเลย หากคณะสงฆ์ที่คว่ำบาตรยังไม่เห็นกรรมอันควรแก่การอภัยโทษให้
ส่วนพิธีกรรมสวดหงายบาตรนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องประชาธิปไตยในคณะสงฆ์ ซึ่งจะมีพระสงฆ์รูปหนึ่งเสนอญัตติต่อคณะสงฆ์ว่าบัดนี้ผู้ที่ถูกคณะสงฆ์คว่ำบาตรนั้นได้สำนึกผิด กลับตัวกลับใจ ประพฤติตนดีงาม สมควรแก่การให้อภัยแล้ว จึงขอเสนอญัตติต่อคณะสงฆ์ให้พิจารณาว่าจะเพิกถอนการคว่ำบาตรหรือไม่ หากสงฆ์เห็นสมควร ก็ขอให้กระทำการนิ่งโดยดุษณี และร่วมกันประกาศหงายบาตรเถิด
เมื่อมีการเสนอญัตติที่ว่านี้แล้ว หากคณะสงฆ์เห็นควรแก่การให้อภัย ก็จะพร้อมใจกันสวดหงายบาตร คือประกาศว่าตามที่ได้คว่ำบาตรกับผู้นั้นไว้ บัดนี้คณะสงฆ์ให้อภัย พร้อมจะคบหาสมาคมต่อไปแล้ว
ก็เป็นการเสนอญัตติและการลงมติ ตลอดจนแสดงท่าทีของคณะสงฆ์อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ใช่ความลี้ลับอัศจรรย์หรือเป็นอาถรรพ์หรือไสยศาสตร์หรือแก้พิธีกรรมทางไสยศาสตร์แต่ประการใดเลย
ดังนั้นพุทธบริษัททั้งปวงจึงไม่พึงเห็นพิธีกรรมอันเปิดเผย บริสุทธิ์ และเป็นอภัยธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องลี้ลับ ตามความคิด ความเข้าใจและความเชื่อของคนโง่เป็นอันขาด.
มีการแถลงว่าหลวงตาพระมหาบัวและคณะสงฆ์สายป่าและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยทำพิธีกรรมคว่ำบาตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องทำพิธีกรรมหงายบาตรโดยนิมนต์พระสงฆ์จำนวนหนึ่งมาทำพิธีสวดหงายบาตรนั้น
และแถลงอีกว่ามีซินแสทำนายว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะสิ้นกรรมเก่าในวันที่ 26 กรกฎาคม ศกนี้ จึงจะมีการทำพิธีตัดกรรม เพื่อให้พ้นจากบ่วงกรรมไปพร้อมๆ กัน โดยจะทำพิธีกรรมนี้ในหลายพื้นที่ และจะมีพระสงฆ์ซึ่งมีสมณศักดิ์สูงและสนิทชิดเชื้อกับพระมหาเถระระดับสูงในมหาเถรสมาคมร่วมทำพิธีอีกด้วย
ก็อาจจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีและอาจถือได้ว่าเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และหมู่คณะของท่าน รวมทั้งเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สของบรรดาชาวพุทธทั้งหลายด้วย รวมความก็คือเรื่องนี้เป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สจริง ๆ
แต่น่าเสียดายว่าสิ่งที่เรียกว่าบิ๊กเซอร์ไพร์สที่กล่าวนี้กลายเป็นเรื่องหลงงมงาย กลายเป็นเรื่องนอกพระพุทธศาสนา และกลายเป็นเรื่องของเดรัจฉานวิชาที่ถ้าหากพระสงฆ์เข้าเกี่ยวข้องแล้วก็ย่อมเป็นการละเมิดศีลและทรยศต่อคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยแท้
ก็ไม่ตำหนิติเตียนอะไร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องนี้ดอก เพราะชะตากรรมของท่านในวันนี้เป็นชะตากรรมที่มีความทุกข์มากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นสิ่งใดจะประโลมใจให้สร่างหายคลายทุกข์ได้ก็จำเป็นต้องไขว่คว้าเอาไว้ ดังที่เคยเป็นมาหลายครั้งหลายหน จนกลายเป็นการเปิดช่องให้คนบางพวกทำมาหากินกันอย่างสนุกสนานไปแล้ว
แต่จะสร่างหายคลายทุกข์ได้จริงหรือไม่ ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพระศาสนา ดังนั้นจึงควรทำความรู้ ความเข้าใจให้เกิดขึ้นเพื่อจะได้รู้อย่างถูกต้อง เข้าใจอย่างถูกต้อง อันจะนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไปด้วย
เอากันเรื่องแรกก่อน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะหมดกรรมในวันที่ 26 กรกฎาคม นี้จริงหรือไม่?
นักการเมืองท่านที่กล่าวเรื่องนี้ได้อ้างเอาคำทำนายของซินแสซึ่งก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นผู้อยู่นอกพระพุทธศาสนา จึงมีปัญหาว่าซินแสผู้นี้จะมีญาณขั้นสูง คือบุพเพนิวาสานุสติญาณและจุตูปปาตถญาณหรือไม่ เพราะหากไม่บรรลุถึงญาณทั้งสองนี้แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะล่วงรู้กรรมในอดีตชาติของใคร และไม่มีทางที่จะล่วงรู้อนาคตชาติของใคร
การที่บุคคลใดจะบรรลุถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณและจุตูปปาตถญาณนั้น ก็คือผู้ที่บรรลุธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา เป็นผู้อยู่ในกระแสของความเป็นพระอริยเจ้า เหลือเพียงขั้นเดียวก็จะถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว คือเมื่อบรรลุญาณที่สาม ได้แก่อาสวัคขยญาณเมื่อใดก็ถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น
การบรรลุถึงญาณดังกล่าวนี้มีวิถีทางปฏิบัติอยู่ก็แต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ดังนั้นคำอ้างของซินแสดังกล่าวจะเป็นที่น่าเชื่อถือเพียงใด และควรเป็นที่น่าเชื่อถือของใคร ก็พอจะเห็นกระจ่างแจ้งอยู่ในตัวแล้ว
ปัญหาถัดมาก็คือ กรรมนั้นสามารถตัดให้ขาดสิ้นสวาทสายใยได้หรือ? หากสามารถทำพิธีกรรมใดๆ ที่จะตัดกรรมไม่ให้มีวิบากส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมได้ดังที่กล่าวอ้างแล้ว ก็เท่ากับเป็นการหักล้างคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างสิ้นเชิง และถือเป็นการล้มล้างพระพุทธศาสนาไปพร้อมกันด้วย
เพราะในพระพุทธศาสนานี้ พระบรมศาสดาทรงตรัสย้ำแล้วย้ำอีกเป็นอันมากว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครหลีกลี้หนีกรรมไปได้ ทำกรรมอันใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว นี่คือหลักกรรมในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นหลักสำคัญมั่นคง จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นหัวใจหนึ่งของพระพุทธศาสนาก็ได้
หากสามารถทำพิธีกรรมตัดกรรมไม่ให้วิบากแห่งกรรมส่งผลได้จริงดังที่กล่าวอ้าง ก็เท่ากับว่ากฎแห่งกรรมนี้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เป็นการล้มล้างพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีพระพุทธศาสนาและคำสอนของพระบรมศาสดาทั้งปวง ก็จะไม่มีความจำเป็นและไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป
เพราะใครจะทำดีทำชั่วประการใดก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเกรงบาปกลัวกรรมกันอีกต่อไปแล้ว จะทำชั่วช้าเลวทรามหรือสร้างบาปกรรมอย่างไรก็ไม่ต้องกลัวว่าวิบากกรรมจะตามสนอง เพราะสามารถทำพิธีกรรมตัดกรรมไม่ให้ตอบสนองได้
ในพระพุทธศาสนาก็ดี ในพิธีกรรมฝ่ายพราหมณ์ก็ดี ไม่เคยมีพิธีกรรมตัดกรรมมาก่อน สำหรับในศาสนาพราหมณ์นั้นอย่างมากก็มีแต่พิธีกรรมสวดอ้อนวอนต่อพระเป็นเจ้าเพื่อให้เมตตาช่วยเหลือผ่อนหนักให้เป็นเบา แม้กระนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถตัดกรรมได้เลย
ดังนั้นจึงไม่มีทางตัดกรรมให้หมดสิ้นไปได้ ใครทำกรรมใดก็ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นเสมอ คำตรัสสอนของพระบรมศาสดาในเรื่องนี้ แม้วันเวลาผ่านไปนานปีแล้ว แต่ก็เป็นธรรมที่ใครทำแล้วย่อมได้รับผลเสมอกัน ไม่ว่าในกาลไหนๆ และไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และไม่มีใครมีความสามารถที่จะตัดวิบากแห่งกรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ชั้นไหนก็ตาม
หากเป็นพระสงฆ์แล้วไปริเริ่มเข้าร่วมหรือทำพิธีตัดกรรมแล้ว ก็ย่อมเป็นไปดังสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสตำหนิติเตียนว่าเป็นการกระทำในสิ่งที่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา หากพูดในเรื่องนี้ก็ทรงติเตียนว่าเป็นการกล่าวเดรัจฉานกถา ไม่ใช่การกระทำของพระสงฆ์สาวกผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยแห่งพระตถาคตเจ้าเลย
ในประการสุดท้าย ที่อ้างว่าจะมีการทำพิธีสวดหงายบาตรเพื่อแก้พิธีกรรมคว่ำบาตร ซึ่งหลวงตาพระมหาบัวและพระสายป่าได้ทำพิธีไว้นั้น ก็เป็นเรื่องประหลาดอีก
ชาวพุทธย่อมรู้ว่าการคว่ำบาตรนั้นเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของคณะสงฆ์ที่ประกาศตัดความสัมพันธ์กับคนใดคนหนึ่งว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป
สาเหตุของการที่จะคว่ำบาตรนั้นย่อมไม่ใช่เหตุเล็กน้อย แต่ต้องเป็นเหตุใหญ่ เช่น เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสงฆ์ ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมเสมอด้วยการทำร้ายพระอรหันต์หรือฆ่าบิดามารดา เป็นอันตัดหนทางนิพพานอย่างสิ้นเชิง หรือการกระทำที่มีลักษณะในการทำลายพระศาสนา ทำลายพระธรรม ทำลายพระสงฆ์ เมื่อมีเหตุใหญ่ๆ เช่นนี้พระบรมศาสดาทรงมีพุทธานุญาตให้คณะสงฆ์กระทำการคว่ำบาตรต่อผู้นั้น ไม่คบหายุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป
พิธีกรรมดังกล่าวเคยได้ยินมาว่ามีการกระทำต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเป็นการประกาศตัดความสัมพันธ์และไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป นั่นคือหลวงตาพระมหาบัวและคณะสงฆ์สายป่าได้มีมติร่วมกันที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวหรือสัมพันธ์ใดๆ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อไปอีก
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่คณะสงฆ์เห็นว่ามีกรรมอันควรแก่การอภัยให้แก่ผู้ที่ถูกคว่ำบาตร ก็มีพุทธานุญาตให้คณะสงฆ์ยกเลิกการคว่ำบาตรนั้นได้ ซึ่งต้องทำเป็นพิธีกรรมในสงฆ์คณะที่ทำการคว่ำบาตรนั้น โดยมีคำสวดประกาศหงายบาตรคือยกเลิกการคว่ำบาตรนั้นเสีย
การสวดหงายบาตรจึงต้องสวดโดยคณะสงฆ์ผู้คว่ำบาตร ไม่ใช่สงฆ์หรือสมณะพราหมณ์เหล่าอื่น ซึ่งไม่มีผลอะไรเลย หากคณะสงฆ์ที่คว่ำบาตรยังไม่เห็นกรรมอันควรแก่การอภัยโทษให้
ส่วนพิธีกรรมสวดหงายบาตรนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องประชาธิปไตยในคณะสงฆ์ ซึ่งจะมีพระสงฆ์รูปหนึ่งเสนอญัตติต่อคณะสงฆ์ว่าบัดนี้ผู้ที่ถูกคณะสงฆ์คว่ำบาตรนั้นได้สำนึกผิด กลับตัวกลับใจ ประพฤติตนดีงาม สมควรแก่การให้อภัยแล้ว จึงขอเสนอญัตติต่อคณะสงฆ์ให้พิจารณาว่าจะเพิกถอนการคว่ำบาตรหรือไม่ หากสงฆ์เห็นสมควร ก็ขอให้กระทำการนิ่งโดยดุษณี และร่วมกันประกาศหงายบาตรเถิด
เมื่อมีการเสนอญัตติที่ว่านี้แล้ว หากคณะสงฆ์เห็นควรแก่การให้อภัย ก็จะพร้อมใจกันสวดหงายบาตร คือประกาศว่าตามที่ได้คว่ำบาตรกับผู้นั้นไว้ บัดนี้คณะสงฆ์ให้อภัย พร้อมจะคบหาสมาคมต่อไปแล้ว
ก็เป็นการเสนอญัตติและการลงมติ ตลอดจนแสดงท่าทีของคณะสงฆ์อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ใช่ความลี้ลับอัศจรรย์หรือเป็นอาถรรพ์หรือไสยศาสตร์หรือแก้พิธีกรรมทางไสยศาสตร์แต่ประการใดเลย
ดังนั้นพุทธบริษัททั้งปวงจึงไม่พึงเห็นพิธีกรรมอันเปิดเผย บริสุทธิ์ และเป็นอภัยธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องลี้ลับ ตามความคิด ความเข้าใจและความเชื่อของคนโง่เป็นอันขาด.