xs
xsm
sm
md
lg

เทศกาลมาฆบูชามาถึงอีกแล้ว

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

วันมาฆบูชาในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือนสาม ถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงนำเสนอเรื่องนี้ในวันนี้เพื่อให้มีเวลาเพียงพอต่อเพื่อนชาวพุทธในการที่จะส่งการ์ดแสดงไมตรีต่อเพื่อนผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน

ดีกว่าที่จะไปเออออห่อหมกหลงใหลไปตามกระแสด้วยการแจกการ์ดแห่งความรักเนื่องในเทศกาลวันวาเลนไทน์ ซึ่งจะมาถึงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552

เพราะความรักที่ยึดถือกันในวันวาเลนไทน์ในยุคนี้นั้นได้ผิดเพี้ยนไปจากความรักที่นักบุญวาเลนไทน์ได้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างแก่ชาวโลกไปจนไกลโพ้น

กลายเป็นความรักที่หนุ่มสาวพากันจับมือกันเข้าโรงแรมม่านรูด จนกระทั่งถูกเรียกว่าเป็นวันเสียสาวหรือวันเปิดบริสุทธิ์ จนบรรดาพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องพากันระมัดระวังบุตรหลานไม่ให้เสียผู้เสียคนในความยึดถืออันอัปยศนี้

ดังนั้นวันวาเลนไทน์ในยุคนี้จึงไม่ใช่วันแห่งความรักบริสุทธิ์ที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์เพื่อนร่วมโลกตามความหมายของนักบุญวาเลนไทน์ หากเป็นวันอันตรายที่ทุกคนต้องป้องกันลูกหลานของตนไม่ให้เป็นอันตรายจากการถูกพรากพรหมจรรย์ในวันนี้

ในฐานะชาวพุทธ จึงควรตั้งสติยั้งคิดถึงความผิดถูกชั่วดี ความควรไม่ควร ทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวก็มีวันสำคัญของพระพุทธศาสนาที่หากน้อมใจรำลึกและประพฤติปฏิบัติตามแล้วก็จะเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายจากพิษร้ายของวันวาเลนไทน์ยุคใหม่

จึงควรพร้อมเพรียงกันน้อมจิตน้อมใจรำลึกถึงวันมาฆบูชากันตั้งแต่วันนี้ เพราะอย่างน้อยก็มีเวลาอีกร่วมสัปดาห์ที่จะได้อบรมจิตบำรุงใจให้มีความเป็นปกติสุข และคุ้มครองป้องกันชีวิตตนและลูกหลานให้มีความปลอดภัย

จะเป็นเพราะเหตุใดก็ไม่รู้ได้ มีการสอนตามๆ กันมาว่าวันมาฆบูชาเป็นวันจาตุรงคสันนิบาตคือเป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญ 4 อย่างเกิดขึ้น นั่นคือเป็นวันเพ็ญ เดือนสาม พระจันทร์เสวยมาฆะฤกษ์ เป็นวันที่พระอรหันต์ 1,250 รูปมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย พระอรหันต์เหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ที่ได้รับอุปสมบทโดยตรงจากพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์

สอนกันมาอย่างนี้จึงทำให้เนื้อหาแท้ของวันมาฆบูชาเบี่ยงเบนคลาดเคลื่อนออกไปไกลจากเนื้อหาที่แท้จริงและความเป็นมาในพระพุทธศาสนา บางอย่างก็เป็นเรื่องไม่สำคัญ บางอย่างก็เป็นเรื่องสอนผิดๆ บางอย่างก็เป็นเรื่องผิวเผิน สอนกระพี้ ทิ้งแก่น จึงทำให้วันมาฆบูชาซึ่งสำคัญมากๆ ด้อยค่าหมดราคาดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

ที่คลาดเคลื่อนมากๆ มีอยู่ 2 ข้อ คือ

ข้อแรก วันเพ็ญ เดือนสาม และพระจันทร์เสวยมาฆะฤกษ์นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ไม่ใช่ความลี้ลับพิสดารอันใด แต่เป็นเหตุการณ์ธรรมดาธรรมชาติที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์และพระจันทร์โคจรรอบโลก ครั้นถึงเดือนสามตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ พระจันทร์จะโคจรตรงกับกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่ามาฆะ หรือดาวงอนไถ เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปี ไม่มีเหตุที่จะถือว่าสำคัญอันจะถือเป็นเรื่องหนึ่งในจาตุรงคสันนิบาต

ข้อสอง พระอรหันต์ 1,250 รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายนั้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะแท้จริงแล้วพระอรหันต์เหล่านั้นล้วนอยู่ที่วัดเวฬุวันพร้อมกันอยู่แล้ว ในจำนวนนี้ประกอบด้วยพระอรหันต์กลุ่มชฎิล 3 พี่น้อง 1,000 รูป กลุ่มปริพาชกของพระสารีบุตร 250 รูป จึงรวมเป็น 1,250 รูป ซึ่งพร้อมกันอยู่แล้ว ในจำนวนนี้พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์องค์ล่าสุด โดยบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปโปรดพระทีฆนัคขะที่ถ้ำสุกรขาตา แล้วตามเสด็จกลับมาวัดเวฬุวันเป็นเวลาค่ำ พระจันทร์กระจ่างฟ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์

ที่กล่าวอ้างว่าพระอรหันต์มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายนั้นจึงคลาดเคลื่อน และที่อ้างว่าเป็นความเคยชินของพระอรหันต์เหล่านั้นเพราะเคยเป็นพราหมณ์มาก่อนก็คลาดเคลื่อนอีก เพราะว่าพระอรหันต์เหล่านั้นไม่เคยเป็นพราหมณ์ แต่เป็นนักบวชจำพวกชฎิลและปริพาชก

และที่ยิ่งอ้างไกลออกไปว่าวันเพ็ญ เดือนสาม เป็นวันศิวาราตรีก็ผิดอีก วันนี้ไม่ใช่วันศิวาราตรีตามที่มั่วกันผิด ๆ แต่ประการใด

ความสำคัญของวันมาฆบูชาที่แท้จริงมีดังต่อไปนี้

ประการแรก
เป็นวันประชุมใหญ่ของพระอรหันต์ในโพธิกาลของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะมีประเพณีปกติที่จะจัดประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ในโพธิกาลของพระองค์ พระพุทธเจ้าบางพระองค์ทรงประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ 2 ครั้งก็มี แต่ในโพธิกาลของสมณโคดมพระพุทธเจ้านั้นทรงตรัสว่ามีการประชุมพระอรหันตสาวกครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวคือในวันเพ็ญ เดือนสามนี้เท่านั้น

ประการที่สอง เป็นวันวางหลักการอบรมสั่งสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ และอย่างชัดเจนครบถ้วนเป็นครั้งแรกหลังจากทรงตรัสรู้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากตรัสรู้ 9 เดือน

ก่อนหน้านี้พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้วางหลักเกณฑ์หรือขั้นตอนหรือระบบในการ อบรมสั่งสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลักษณะนี้มาก่อนเลย

ที่อาจเทียบเคียงได้ก็ในระยะแรกหลังตรัสรู้ ที่มีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นครบ 60 รูป พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพุทธดำรัสสั่งให้แยกย้ายกันไปประกาศพรหมจรรย์ ด้วยคำตรัสว่าเธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประกาศพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ให้ครบถ้วนด้วยอรรถะและพยัญชนะ ให้งดงามในเบื้องต้น ในท่ามกลางและในที่สุด เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากในโลกนี้

ประการที่สาม เป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งโอวาทปาติโมกข์นี้ไม่ใช่การทำปาติโมกข์ของพระสงฆ์ตามพระวินัย ซึ่งเป็นการสวดทบทวนในเรื่องศีลที่พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้ในทุกกึ่งเดือน แต่โอวาทปาติโมกข์นี้คือระบบคำสอนที่พระสงฆ์สาวกทั้งหลายจะต้องนำไปใช้ในการฝึกฝนอบรมตน ในการครองตน และในการอบรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีประเพณีที่จะต้องแสดงโอวาทปาติโมกข์เป็นอย่างเดียวกันนี้

โอวาทปาติโมกข์ที่ทรงแสดงมีใจความว่า

“ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่านิพพานเป็นบรมธรรม
ทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น
การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ความสำรวมในปาติโมกข์
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
การอยู่ในเสนาสนะที่สงัด
การประกอบความเพียรในอธิจิต
นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”

เนื้อหาของโอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงตรัสดังกล่าวอาจจำแนกได้เป็น 3 เรื่อง

เรื่องแรก
คือเป้าหมายของการประพฤติพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้านั้นคือนิพพาน ได้แก่ความดับทุกข์สิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องการแสวงลาภ แสวงยศ หรือการฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยด้วยประการใด ๆ

เรื่องที่สอง คือขั้นตอนในการอบรมสั่งสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยทั่วไปให้อบรมสั่งสอนเป็น 3 ขั้นตอนหรือ 3 กระบวนการ ตั้งแต่หยาบสุดไปสู่ประณีตสุด ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนบรรลุบรมธรรมคือนิพพาน ได้แก่การสอนให้ไม่ทำความชั่วทั้งปวง การสอนให้ทำความดีให้ถึงพร้อม และการฝึกฝนอบรมจิตให้ผ่องแผ้ว ถึงซึ่งความเกษม ปราศจากฝุ่นแม้ธุลี

เรื่องที่สาม คือการครองตนหรือปฏิบัติตน ได้แก่การฝึกฝนอบรมจิตจนบรรลุมรรคผลนิพพาน ทำให้การครองตนในลักษณะนั้นเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาของมหาชน ซึ่งจะเกื้อกูลประโยชน์ในการอบรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ดังนั้นในโอกาสที่วันมาฆบูชาจะมาถึงในปีนี้ จึงควรที่เพื่อนชาวพุทธทั้งหลายจะได้ทำความเข้าใจในเนื้อหาแท้จริงของวันมาฆบูชา โดยเฉพาะเป้าหมาย การอบรมสั่งสอนหรือการปฏิบัติตน ตลอดจนการครองตนเพื่อให้ได้รับผลแห่งการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สมกับความเป็นชาวพุทธนั่นแล.
กำลังโหลดความคิดเห็น