xs
xsm
sm
md
lg

พูดซัดส่ายไม่ตายตัว : การปฏิเสธรูปแบบหนึ่ง

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงถึงความคิดเห็น 62 ประการของพราหมณ์ โดยแบ่งเป็นความเห็นปรารภเบื้องต้นของสิ่งต่างๆ ว่าเป็นมาอย่างไร (ปุพพันตกัปปิกะ) 18 ประเภท และความเห็นปรารภเบื้องปลายของสิ่งต่างๆ ว่าจะลงเอยสุดท้ายอย่างไร (อปรันตกัปปิกะ) 44 ประเภท รวมเป็น 62 ประเภท ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะประเภทเบื้องต้น ไว้ดังนี้

ประเภทเบื้องต้น แบ่งออกเป็น 5 หมวด และมีประเภทย่อยของแต่ละหมวดดังนี้

1. หมวดเห็นว่าเที่ยง (สัสสตวาทะ) มีอยู่ 4 ข้อ
ก.เห็นว่าตัวตน (อัตตา) และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ตั้งแต่ชาติเดียวจนถึงแสนชาติ
ข. เห็นว่าตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่วันเดียวถึง 10 กัปป์
ค. เห็นว่าตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ตั้งแต่ 10 กัปป์จนถึง 40 กัปป์
ง. เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกเที่ยง

2. หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกะ เอกัจจอสัสสติกะ) มี 4 คือ
ก. เห็นว่าพระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง
ข. เห็นเทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนานไม่เที่ยง
ค. เห็นว่าเทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่นไม่เที่ยง
ง. เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง

3. หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด (อันตานันติกะ) มี 4 คือ
ก. เห็นว่าโลกมีที่สุด
ข. เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด
ค. เห็นว่าโลกมีที่สุดเฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้างหรือด้านขวางไม่มีที่สุด
ง. เดาตามความคิดคาดคะเน โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่

4. หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกะ) มี 4 คือ
ก. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่
ข. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1
ค. เกรงจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1
ง. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมหรือยืนยันอะไรเลย

5. หมวดเห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนะ) มี 2 คือ
ก. เห็นว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเป็นอสัญญีสัตว์
ข. เดาตามความคิดคาดคะเนว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ

โดยนัยแห่งเนื้อหาและสาระของความเห็นหรือทิฏฐิ 18 ประเภทดังกล่าวแล้วข้างต้น สังเกตได้ว่า ในการมองเห็นหรือสัมผัสสิ่งเดียวกันของคน 2 คนขึ้นไป จะมีความเห็นต่อสิ่งนั้นต่างกันเป็น 5 ประเภท ซึ่งถ้าจะอธิบายขยายความด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ก็จะสรุปได้เป็นประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. พวกที่เห็นว่าเที่ยงโดยส่วนเดียว ก็คือพวกที่เชื่ออย่างหัวปักหัวปำ และยืนกระต่ายขาเดียวว่า ความเห็นของตนถูกต้อง

2. ประเภทแบ่งรับแบ่งสู้ อันได้แก่ข้อที่ 2 ที่บอกว่า บางประเภทเที่ยง บางประเภทไม่เที่ยง บางประเภทมีที่สุด และบางประเภทไม่มีที่สุด เป็นต้น

3. ประเภทปฏิเสธอย่างเดียวชนิดปิดหูปิดตา ไม่เห็นไม่ฟังคนอื่น ดังที่ปรากฏในหมวดที่ 4

คนทั้ง 3 ประเภทนี้แม้กระทั่งในปัจจุบันก็มีปรากฏให้เห็นอยู่ ถึงแม้จะไม่เด่นชัดถึงขั้นแบ่งออกเป็นประเภทแห่งความเห็นได้เหมือนในอดีตแต่ก็มีอยู่

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระพุทธเจ้าในครั้งที่ทรงออกผนวช และยังไม่ได้ตรัสรู้ก็ได้ศึกษาค้นคว้าทดลองแนวทางแห่งการมองสรรพสิ่งแบบนี้ แต่ในที่สุดก็พบว่าไม่ใช่สัจธรรมที่ควรยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ และได้ทรงค้นคว้าด้วยพระองค์เองจนได้บรรลุธรรม และได้สอนหลักคำสอนซึ่งสวนทางหรือหักล้างทิฏฐิที่ว่านี้โดยสิ้นเชิง จะเห็นได้ในคำสอนดังต่อไปนี้

1. ในประเด็นที่อัตตาและโลกอันหมายถึงสรรพสิ่งเที่ยง พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีอะไรแน่นอน

2. ในประเด็นที่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ พระพุทธองค์ได้ทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ ตามหลักแห่งปัจจยาการ

3. ในการพูดและการกระทำที่ไม่ตรงกัน หรือเข้าข่ายการพูดพลิกพลิ้วไปมาไม่ตายตัว เนื่องจากกลัวผิด กลัวโง่ กลัวคนจะยึดเป็นแบบอย่าง รวมไปถึงกลัวจะพูดปด ดังที่ปรากฏในหมวด 4 ข้ออมราวิกเขปิกะ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า พระองค์พูดอย่างไรทำอย่างนั้น (ยถาวาที ตถาการี) โดยไม่เกรงกลัวใดๆ

สิ่งที่ปรากฏในหมู่คนในยุคพุทธกาล ในส่วนที่เกี่ยวกับการแสดงความเห็นนั้นมิได้หดหายไปจากสังคมมนุษย์ปุถุชนคนมีกิเลส ถึงแม้กาลเวลาจะลุล่วงผ่านพ้นไปแล้วถึง 2,500 กว่าปี และระหว่างนี้สังคมมนุษย์ได้รับการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากแล้วก็ตาม

ตรงกันข้าม การแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของผู้คนในปัจจุบันในเรื่องที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง และอาจได้รับผลกระทบในทางลบ คนในปัจจุบันก็จะมีพฤติกรรมในการพูดไม่แปลกแยกไปจากคนโบราณ 2,000 กว่าปีมากนัก ทั้งนี้จะเห็นได้ชัดเจนในกรณีของคดียิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล จนได้รับบาดเจ็บ และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบในการสอบสวนคดีนี้ได้ออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คน เป็นตำรวจ 1 คน และทหาร 1 คน

ในทันทีที่ข่าวนี้ปรากฏออกไปได้มีทั้งนักการเมือง และตำรวจ ทหารบางคนได้ออกมาแสดงความเห็นในลักษณะอมราวิกเขปิกะ โดยใช้สำนวนโวหารบิดเบือนและชี้นำในรูปแบบต่างๆ เป็นต้นว่า เป็นเรื่องส่วนบุคคล สถาบันไม่เกี่ยวข้องอย่ามาโยงเข้าด้วยกัน หรือบางคนได้พูดออกมาอย่างที่เห็นได้ชัดว่าร้อนรนประหนึ่งว่าตนเองหรือพรรคพวกของตนเองอยู่ในข่ายเข้าไปร่วมในการกระทำผิดของคดีนี้ด้วย เช่นบอกว่าอย่าใช้จินตนาการในการหาผู้กระทำผิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทำสื่อจะถูกคนกลุ่มนี้มองว่าเป็นพวกสร้างจินตนาการในการเขียนข่าว ในฐานะผู้เขียนเป็นสื่อจึงอยากบอกว่า ก่อนที่จะพูดหรือแสดงออกในการป้องกันตัวเอง หรือพรรคพวกขอให้ยึดในทางตรรกะให้รอบคอบ โดยในประเด็นที่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวสถาบันไม่ควรถูกนำเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะในความเป็นจริง ถ้าดูผู้ถูกออกหมายจับกับคนที่ถูกทำร้ายแล้ว เรื่องส่วนตัวระดับไหนที่ผู้ต้องหาซึ่งข้าราชการและไม่มีความโกรธแค้นเป็นการส่วนตัวอย่างรุนแรง จะลงมือกระทำการอันเหี้ยมโหดเยี่ยงนี้ได้

อีกประการหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ไหนเลยผู้ต้องหาซึ่งเป็นข้าราชการระดับชั้นประทวนจะมีศักยภาพ ในการดำเนินการเยี่ยงนี้ได้ เพียงแง่คิดในเชิงตรรกะแค่นี้ก็พอจะทำให้ผู้ที่ออกมาบอกจนแต้มหากถูกถามต่อหน้าผู้พิพากษาในขั้นตอนซักจำเลยแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าคดีนี้จะยิ่งชัดเจนว่าการลอบยิงเป็นเรื่องส่วนตัวจริงหรือไม่จริง ก็จะได้เห็นเมื่อมีหมายจับรอบสองและใกล้ตัวผู้บงการ จ้างวาน หรือถูกสั่งการที่มากกว่า 2 ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับแล้วอย่างแน่นอน และถ้าเป็นเช่นนี้จริง การพูดแบบซัดส่ายไม่ตายตัวตามทิฏฐิหมวดที่ 4 จะปรากฏให้เห็นในยุคปัจจุบัน
กำลังโหลดความคิดเห็น