"มาร์ค" ค้าน ส.ส.-ส.ว.ลาออก หลังเจอ"ไข้หุ้น" หนุนสู้ถึงชั้นศาลเพื่อเป็นบรรทัดฐาน เนื่องจาก ส.ส.-ส.ว. เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ห่วงเรื่องเสียเงินเลือกตั้งซ่อมฟรี หากถึงที่สุดแล้วศาลรธน.ตัดสินว่าไม่ผิด ป้อง"เทพเทือก"ไม่ผิดกฎเหล็ก 9 ข้อ ยังนั่งตำแหน่งฝ่ายบริหารต่อได้ "เทพไท" ท้าเพื่อไทย แน่จริงส่ง"ยงยุทธ" ลงชิงเลือกตั้งซ่อมที่สุราษฎร์ แทนตำแหน่งที่ว่างของ "เทพเทือก"
เมื่อวานนี้ (19 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ถึงมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขาดคุณสมบัติ โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ได้ลาออกจากการเป็น ส.ส. ว่า เข้าใจว่ามี ส.ส.และ ส.ว.ประมาณ 60 คนถือหุ้น ทางกกต.ได้พิจารณาหลังได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ใครที่ถือหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน หรือเป็นคู่สัญญากับรัฐในลักษณะของการรับสัมปทาน กกต.ก็ตีความว่า ขาดคุณสมบัติ แต่คนเหล่านี้มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน เพราะว่าตัวเองถือหุ้นเล็กกน้อย ไม่เพียงพอที่จะเกี่ยวข้องกับการบริหารแทรกแซงอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นคนละมุมมองกัน คนที่จะต้องชี้ขาดคือ ศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากกต.ได้ทยอยพิจารณาซึ่งมี 16 ส.ว. 13 ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ และที่รอคิวอยู่เป็น ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งนี้ขั้นตอนต่อไปต้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตนไม่สนับสนุนให้ส.ส.และส.ว.ลาออก เพราะจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ทั้งที่ยังไม่เป็นข้อยุติ ที่สำคัญคือตำแหน่ง ส.ส.และ ส.ว.ไม่ใช่ตำแหน่งที่อยู่ในฐานะฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน แต่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ฉะนั้นคิดว่าน่าจะรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนเพื่อเป็นบรรทัดฐาน
" กรณีของนายสุเทพท่านให้เหตุผลสองอย่าง หนึ่งบอกว่ารับไม่ได้กับการตัดสินของกกต.และสองท่านบอกว่า หากยังเป็น ส.ส.อยู่ จะต้องไปต่อสู้คดีในศาลรัฐธรรมนูญ ตรงนี้จะเป็นภาระที่ทำให้กระทบต่อการทำหน้าที่ในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงที่มีภารกิจมากมาย จึงสละสิทธิ์ ไม่ขอต่อสู้ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมลาออกจากการเป็น ส.ส.หากถามว่าทำไมไม่ลาออกจากการเป็นรองนายกฯต้องบอกว่า เมื่อมีปัญหาการมองข้อกฎหมายไม่ตรงกัน ตรงนี้นายสุเทพได้ขายหุ้นไปหมดแล้ว ก่อนที่จะมาเป็นรองนายกฯ ฉะนั้นนายสุเทพไม่เคยถือหุ้นในฐานะรองนายกฯ และนายสุเทพ จะปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ต่อไป หากถามผมความจริงนายสุเทพปรารภเรื่องนี้มานานแล้ว ซึ่งผมบอกว่าในส่วนตัวของผมนั้นไม่เห็นด้วยกับการลาออก” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า ทำไมไม่เห็นด้วยที่จะให้ ส.ส.ลาออก เพื่อเป็นการยกมาตรฐาน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าต้องแยกตำแหน่ง ส.ส. กับตำแหน่งทางฝ่ายบริหาร หากเป็นฝ่ายบริหารจะมีความเข้มงวดกวดขันขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง หากทำหน้าที่แล้วมีปัญหา มีผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วมีปัญหาโต้แย้ง และจะไปถึงศาล คิดว่าฝ่ายบริหารควรจะแสดงออก แต่ฝ่ายนิติบัญญัติเขาไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหาร และไม่ได้เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้ง แต่เป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในแง่นั้นหากส.ส.ลาออกก็ต้องไปเลือกตั้งซ่อม หากถามในทางกลับกันหากลาออก 50 คน เลือกตั้งซ่อม 50 เขต แต่มีคนหนึ่งไม่ลาออก ไปต่อสู้ในชั้นศาลแล้วเกิดชนะขึ้นมา จะไม่ถูกคนว่าหรือไปเสียเงินเลือกตั้งซ่อม 50 เขตทำไม และอย่าลืมว่า ส.ส.ที่ลาออกมีสิทธิ์ไปลงเลือกตั้งด้วย เขาไม่ได้ขาดคุณสมบัติ ส่วนใหญ่ก็ขายหุ้นไปแล้วและได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามา คนจะไม่บ่นหรือว่า เสียเงินเลือกตั้งไปทำไม 50 เขต
เมื่อถามว่า มีการตั้งคำถามถึงกฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกฯ ตั้งไว้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อันนั้นสำหรับฝ่ายบริหาร ไม่ใช่กฎฝ่ายนิติบัญญัติ กฎเหล็กในระดับ ส.ส.ก็เรื่องหนึ่ง ของฝ่ายบริหารก็อีกเรื่องหนึ่ง และนายสุเทพ ไม่ได้มีปัญหาในฝ่ายบริหาร แต่เป็นการลาออกจากส.ส. ของนายสุเทพ ซึ่งตนได้บอกแล้วว่าไม่เห็นด้วย แต่มันก็เป็นเอกสิทธิ์ของนายสุเทพ
**12 ส.ส.ปชป.ไม่ชิงลาออก
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ที่ กกต. ชี้มูล 13 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ และมีข่าวปล่อยออกมาว่า มีการยื่นเรื่องผ่านประธานสภาฯ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว โดยระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ล่วงรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้า ว่า ขอยืนยันว่าพรรคไม่เคยแทรกแซงองค์กรอิสระ หรือสถาบันศาล เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาลในอดีต เพราะเรื่องดังกล่าวทาง กกต. ยังไม่ได้ยื่นให้ประธานสภาฯ หรือมีการยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่อย่างใด เป็นการพยายามปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันศาล
ส่วนที่มีการปล่อยข่าวออกมาว่าถ้า 16 ส.ว.โดนศาลรัฐธรรมนูญชี้มูล 12 ส.ส.ประชาธิปัตย์ ก็จะชิงลาออกจากการเป็น ส.ส.นั้น พรรคขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะ12 ส.ส.ของพรรค ยังยืนยันที่จะขอต่อสู้ความจริงในศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะรอคำวินิจฉัย และจะเป็นการวางบรรทัดฐานทางการเมืองด้วยคำวินิจฉัยของศาลอย่างชัดเจน
**ท้ายงยุทธลงสู้ศึกเลือกตั้งซ่อม
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปฎิเสธข่าวที่ว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูก กกต.วินิจฉัยให้ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. เตรียมทยอยลาออก เพราะเกรงจะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลว่า ไม่เป็นความจริง เป็นแค่การปล่อยข่าว โดยเฉพาะข่าวที่บอกว่า พรรคได้รับสัญญาณพิเศษจากบางฝ่าย ทำให้เปลี่ยนใจก็ไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าว เพื่อต้องการเชื่อมโยงว่า พรรคประชาธิปัตย์ และกกต. มีสายสัมพันธ์กัน ยืนยันว่าพรรคไม่เคยได้รับสัญญาณใดๆ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
"ยืนยันว่า12 ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม และปัญหา ส.ส.ถือหุ้น ไม่กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล เพราะปัจจุบันรัฐบาลมี ส.ส.อยู่ 276 เสียง ส่วนฝ่ายค้านมีอยู่ 200 เสียง ซึ่งถ้าดูคร่าวๆ หากรวมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลโดยใช้มาตรฐานเดียวกับกกต.วินิจฉัย จะมีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลถูกตัดสิทธิ์ 2-3 คน รวมแล้วก็ประมาณ 15-16 คน ที่ต้องหายไป หากมีการโหวตกฎหมายสำคัญ เช่นกฎหมายการเมือง และต้องตัดรัฐมนตรีที่เป็นส.ส.ไม่สามารถโหวตคะแนนได้อีก 10 กว่าคน ก็จะไม่มีผลอะไร เว้นแต่จะถูกตัดสิทธิ์ไปถึง 50 คน ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ หากส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง เว้นแต่จะมีส.ส.โดดร่ม แต่เชื่อว่าในช่วงที่เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ ส.ส.จะมีความรับผิดชอบมากขึ้น มีตัวอย่างสมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ ที่คะแนนห่างจากฝ่ายค้านไม่กี่คะแนน แต่ก็สามารถประคองให้อยู่ครบสมัยได้" นายเทพไท กล่าว
นายเทพไทกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทย ออกมาเรียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ลาออก แต่เมื่อนายสุเทพ ลาออกจากการเป็นส.ส. ก็กลับโจมตีว่าสร้างภาพ ลดกระแสกดดันรัฐบาลไม่ใช่การแสดงสปิริตทางการเมือง ตนจึงอยากทราบจุดยืนพรรคเพื่อไทยว่า เป็นอย่างไรกันแน่
"พรรคเพื่อไทย ควรขอบคุณนายสุเทพ ที่ลาออกและเปิดให้มีการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ในเขต 1 สุราษฎร์ธานี ซึ่งพรรคเพื่อไทย ประกาศที่จะส่งคนลงสมัคร ผมอยากเสนอให้ส่งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงสมัคร เพราะเป็นคนอำเภอกาญจนดิษฐ์ ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 1 ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกทั้งยังเป็นถึงอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัด ซึ่งจะไม่ทำให้นายยงยุทธ เสียเปรียบแน่นอน และไม่มีใครเหมาะสมเท่านายยงยุทธ อีกแล้ว" นายเทพไทกล่าว และว่า ถ้าโชคดี นายยงยุทธได้เป็น ส.ส.จะได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นพรรคผีหัวขาด และมีหัวหน้าพรรคเป็นส.ส.อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่มีหัวหน้าที่เป็นหุ่นเชิดไป เชิดมา
*ยันรัฐบาลไม่มี 2 มาตรฐาน
นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย วิจารณ์รัฐบาล และกระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐาน ว่า ตนขอยืนยันว่า รัฐบาลนี้และกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหลักการ หรือมาตรฐานในการปฏิบัติตามที่ถูกกล่าวอ้าง โดยยึดหลักกฎหมาย และไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นชั้นพนักงานสอบสวน อัยการ หรือในการพิจารณาของศาล และไม่เคยมีการตั้งธงไว้ก่อน จึงอยากฝากไปยังนายจาตุรนต์ เช่นกันว่า แล้วนายจาตุรนต์ มีกี่มาตรฐาน เพราะดูจากพฤติกรรมก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบพรรคไทยรักไทย นายจาตุรนต์ ออกมาอกว่า จะยอมรับทุกคำตัดสินของศาล แต่พอศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย นายจาตุรนต์ ก็ออกมาวิจารณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่างๆ นานา อยากถามเช่นกันว่า นายจาตุรนต์ มีกี่มาตรฐาน หรือพูดไปตามสถานการณ์
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจากการเป็นส.ส. แทนที่จะลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นแค่การลาออกเพื่อเปิดทางให้น้องชายของตัวเองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น จนได้รับใบแดงจากการลงสมัครรับเลือกตั้งนายกอบจ.สุราษฎร์ธานี ได้ลงสมัคร ส.ส. ดังนั้นที่บอกว่าแสดงสปิริต จึงเป็นแค่การสร้างภาพ เพราะของจริงต้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯ
เมื่อวานนี้ (19 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ถึงมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขาดคุณสมบัติ โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ได้ลาออกจากการเป็น ส.ส. ว่า เข้าใจว่ามี ส.ส.และ ส.ว.ประมาณ 60 คนถือหุ้น ทางกกต.ได้พิจารณาหลังได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ใครที่ถือหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน หรือเป็นคู่สัญญากับรัฐในลักษณะของการรับสัมปทาน กกต.ก็ตีความว่า ขาดคุณสมบัติ แต่คนเหล่านี้มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน เพราะว่าตัวเองถือหุ้นเล็กกน้อย ไม่เพียงพอที่จะเกี่ยวข้องกับการบริหารแทรกแซงอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นคนละมุมมองกัน คนที่จะต้องชี้ขาดคือ ศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากกต.ได้ทยอยพิจารณาซึ่งมี 16 ส.ว. 13 ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ และที่รอคิวอยู่เป็น ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งนี้ขั้นตอนต่อไปต้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตนไม่สนับสนุนให้ส.ส.และส.ว.ลาออก เพราะจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ทั้งที่ยังไม่เป็นข้อยุติ ที่สำคัญคือตำแหน่ง ส.ส.และ ส.ว.ไม่ใช่ตำแหน่งที่อยู่ในฐานะฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน แต่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ฉะนั้นคิดว่าน่าจะรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนเพื่อเป็นบรรทัดฐาน
" กรณีของนายสุเทพท่านให้เหตุผลสองอย่าง หนึ่งบอกว่ารับไม่ได้กับการตัดสินของกกต.และสองท่านบอกว่า หากยังเป็น ส.ส.อยู่ จะต้องไปต่อสู้คดีในศาลรัฐธรรมนูญ ตรงนี้จะเป็นภาระที่ทำให้กระทบต่อการทำหน้าที่ในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงที่มีภารกิจมากมาย จึงสละสิทธิ์ ไม่ขอต่อสู้ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมลาออกจากการเป็น ส.ส.หากถามว่าทำไมไม่ลาออกจากการเป็นรองนายกฯต้องบอกว่า เมื่อมีปัญหาการมองข้อกฎหมายไม่ตรงกัน ตรงนี้นายสุเทพได้ขายหุ้นไปหมดแล้ว ก่อนที่จะมาเป็นรองนายกฯ ฉะนั้นนายสุเทพไม่เคยถือหุ้นในฐานะรองนายกฯ และนายสุเทพ จะปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ต่อไป หากถามผมความจริงนายสุเทพปรารภเรื่องนี้มานานแล้ว ซึ่งผมบอกว่าในส่วนตัวของผมนั้นไม่เห็นด้วยกับการลาออก” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า ทำไมไม่เห็นด้วยที่จะให้ ส.ส.ลาออก เพื่อเป็นการยกมาตรฐาน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าต้องแยกตำแหน่ง ส.ส. กับตำแหน่งทางฝ่ายบริหาร หากเป็นฝ่ายบริหารจะมีความเข้มงวดกวดขันขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง หากทำหน้าที่แล้วมีปัญหา มีผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วมีปัญหาโต้แย้ง และจะไปถึงศาล คิดว่าฝ่ายบริหารควรจะแสดงออก แต่ฝ่ายนิติบัญญัติเขาไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหาร และไม่ได้เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้ง แต่เป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในแง่นั้นหากส.ส.ลาออกก็ต้องไปเลือกตั้งซ่อม หากถามในทางกลับกันหากลาออก 50 คน เลือกตั้งซ่อม 50 เขต แต่มีคนหนึ่งไม่ลาออก ไปต่อสู้ในชั้นศาลแล้วเกิดชนะขึ้นมา จะไม่ถูกคนว่าหรือไปเสียเงินเลือกตั้งซ่อม 50 เขตทำไม และอย่าลืมว่า ส.ส.ที่ลาออกมีสิทธิ์ไปลงเลือกตั้งด้วย เขาไม่ได้ขาดคุณสมบัติ ส่วนใหญ่ก็ขายหุ้นไปแล้วและได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามา คนจะไม่บ่นหรือว่า เสียเงินเลือกตั้งไปทำไม 50 เขต
เมื่อถามว่า มีการตั้งคำถามถึงกฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกฯ ตั้งไว้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อันนั้นสำหรับฝ่ายบริหาร ไม่ใช่กฎฝ่ายนิติบัญญัติ กฎเหล็กในระดับ ส.ส.ก็เรื่องหนึ่ง ของฝ่ายบริหารก็อีกเรื่องหนึ่ง และนายสุเทพ ไม่ได้มีปัญหาในฝ่ายบริหาร แต่เป็นการลาออกจากส.ส. ของนายสุเทพ ซึ่งตนได้บอกแล้วว่าไม่เห็นด้วย แต่มันก็เป็นเอกสิทธิ์ของนายสุเทพ
**12 ส.ส.ปชป.ไม่ชิงลาออก
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ที่ กกต. ชี้มูล 13 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ และมีข่าวปล่อยออกมาว่า มีการยื่นเรื่องผ่านประธานสภาฯ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว โดยระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ล่วงรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้า ว่า ขอยืนยันว่าพรรคไม่เคยแทรกแซงองค์กรอิสระ หรือสถาบันศาล เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาลในอดีต เพราะเรื่องดังกล่าวทาง กกต. ยังไม่ได้ยื่นให้ประธานสภาฯ หรือมีการยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่อย่างใด เป็นการพยายามปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันศาล
ส่วนที่มีการปล่อยข่าวออกมาว่าถ้า 16 ส.ว.โดนศาลรัฐธรรมนูญชี้มูล 12 ส.ส.ประชาธิปัตย์ ก็จะชิงลาออกจากการเป็น ส.ส.นั้น พรรคขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะ12 ส.ส.ของพรรค ยังยืนยันที่จะขอต่อสู้ความจริงในศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะรอคำวินิจฉัย และจะเป็นการวางบรรทัดฐานทางการเมืองด้วยคำวินิจฉัยของศาลอย่างชัดเจน
**ท้ายงยุทธลงสู้ศึกเลือกตั้งซ่อม
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปฎิเสธข่าวที่ว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูก กกต.วินิจฉัยให้ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. เตรียมทยอยลาออก เพราะเกรงจะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลว่า ไม่เป็นความจริง เป็นแค่การปล่อยข่าว โดยเฉพาะข่าวที่บอกว่า พรรคได้รับสัญญาณพิเศษจากบางฝ่าย ทำให้เปลี่ยนใจก็ไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าว เพื่อต้องการเชื่อมโยงว่า พรรคประชาธิปัตย์ และกกต. มีสายสัมพันธ์กัน ยืนยันว่าพรรคไม่เคยได้รับสัญญาณใดๆ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
"ยืนยันว่า12 ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม และปัญหา ส.ส.ถือหุ้น ไม่กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล เพราะปัจจุบันรัฐบาลมี ส.ส.อยู่ 276 เสียง ส่วนฝ่ายค้านมีอยู่ 200 เสียง ซึ่งถ้าดูคร่าวๆ หากรวมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลโดยใช้มาตรฐานเดียวกับกกต.วินิจฉัย จะมีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลถูกตัดสิทธิ์ 2-3 คน รวมแล้วก็ประมาณ 15-16 คน ที่ต้องหายไป หากมีการโหวตกฎหมายสำคัญ เช่นกฎหมายการเมือง และต้องตัดรัฐมนตรีที่เป็นส.ส.ไม่สามารถโหวตคะแนนได้อีก 10 กว่าคน ก็จะไม่มีผลอะไร เว้นแต่จะถูกตัดสิทธิ์ไปถึง 50 คน ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ หากส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง เว้นแต่จะมีส.ส.โดดร่ม แต่เชื่อว่าในช่วงที่เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ ส.ส.จะมีความรับผิดชอบมากขึ้น มีตัวอย่างสมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ ที่คะแนนห่างจากฝ่ายค้านไม่กี่คะแนน แต่ก็สามารถประคองให้อยู่ครบสมัยได้" นายเทพไท กล่าว
นายเทพไทกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทย ออกมาเรียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ลาออก แต่เมื่อนายสุเทพ ลาออกจากการเป็นส.ส. ก็กลับโจมตีว่าสร้างภาพ ลดกระแสกดดันรัฐบาลไม่ใช่การแสดงสปิริตทางการเมือง ตนจึงอยากทราบจุดยืนพรรคเพื่อไทยว่า เป็นอย่างไรกันแน่
"พรรคเพื่อไทย ควรขอบคุณนายสุเทพ ที่ลาออกและเปิดให้มีการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ในเขต 1 สุราษฎร์ธานี ซึ่งพรรคเพื่อไทย ประกาศที่จะส่งคนลงสมัคร ผมอยากเสนอให้ส่งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงสมัคร เพราะเป็นคนอำเภอกาญจนดิษฐ์ ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 1 ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกทั้งยังเป็นถึงอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัด ซึ่งจะไม่ทำให้นายยงยุทธ เสียเปรียบแน่นอน และไม่มีใครเหมาะสมเท่านายยงยุทธ อีกแล้ว" นายเทพไทกล่าว และว่า ถ้าโชคดี นายยงยุทธได้เป็น ส.ส.จะได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นพรรคผีหัวขาด และมีหัวหน้าพรรคเป็นส.ส.อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่มีหัวหน้าที่เป็นหุ่นเชิดไป เชิดมา
*ยันรัฐบาลไม่มี 2 มาตรฐาน
นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย วิจารณ์รัฐบาล และกระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐาน ว่า ตนขอยืนยันว่า รัฐบาลนี้และกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหลักการ หรือมาตรฐานในการปฏิบัติตามที่ถูกกล่าวอ้าง โดยยึดหลักกฎหมาย และไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นชั้นพนักงานสอบสวน อัยการ หรือในการพิจารณาของศาล และไม่เคยมีการตั้งธงไว้ก่อน จึงอยากฝากไปยังนายจาตุรนต์ เช่นกันว่า แล้วนายจาตุรนต์ มีกี่มาตรฐาน เพราะดูจากพฤติกรรมก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบพรรคไทยรักไทย นายจาตุรนต์ ออกมาอกว่า จะยอมรับทุกคำตัดสินของศาล แต่พอศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย นายจาตุรนต์ ก็ออกมาวิจารณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่างๆ นานา อยากถามเช่นกันว่า นายจาตุรนต์ มีกี่มาตรฐาน หรือพูดไปตามสถานการณ์
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจากการเป็นส.ส. แทนที่จะลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นแค่การลาออกเพื่อเปิดทางให้น้องชายของตัวเองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น จนได้รับใบแดงจากการลงสมัครรับเลือกตั้งนายกอบจ.สุราษฎร์ธานี ได้ลงสมัคร ส.ส. ดังนั้นที่บอกว่าแสดงสปิริต จึงเป็นแค่การสร้างภาพ เพราะของจริงต้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯ