เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม มีข่าวใหญ่ทั่วโลกเกี่ยวกับนายโรเบิร์ต แมคนามาร่า อดีตผู้อำนวยการใหญ่บริษัทฟอร์ด อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้อำนวยการใหญ่ธนาคารโลก ได้เสียชีวิตอย่างสงบขณะนอนหลับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 ขณะที่มีอายุ 93 ปี แต่ก็นับว่าเป็นข่าวเล็กสำหรับประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับข่าวการเสียชีวิตของนักร้องชื่อดัง คือ ไมเคิล แจ็กสัน ในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์หลายฉบับติดต่อกันหลายวัน
นายโรเบิร์ต แมคนามาร่า เกิดเมื่อปี 2459 จบการศึกษาสาขาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียวิทยาเขตเบิร์กเลย์เมื่อปี 2480 จากนั้นได้ศึกษาในระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจที่คณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสำเร็จการศึกษาในปี 2482 โดยทำงานในภาคเอกชน คือ บริษัทที่ปรึกษา Price, Waterhouse & Company ได้เพียงแค่ปีเดียว จากนั้นคณบดีคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ชักชวนให้มาเป็นอาจารย์และเรียนปริญญาเอกไปพร้อมๆ กัน
ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม 2484 เมื่อกองทัพเรือญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐฯ อันเป็นต้นเหตุให้สหรัฐฯ เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ต้องเสริมสร้างอาวุธและกำลังทหารเป็นการใหญ่ จากเดิมที่มีเครื่องบินไม่ถึง 1,800 ลำ และมีนักบินเพียง 500 คน แต่ประธานาธิบดีรุสเวสต์ของสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ผลิตเครื่องบินปีละ 50,000 ลำ กองทัพสหรัฐฯ จึงแปลงสภาพอย่างไม่เป็นทางการกลายเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อประสานงานการผลิตยุทโธปกรณ์
แต่กองทัพสหรัฐฯ ไม่เชี่ยวชาญการบริหารจัดการ จึงได้มาขอความช่วยเหลือจากคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยแต่งตั้งให้นาย Charles B. Thornton หัวหน้าฝ่ายสถิติของกองทัพอากาศเป็นผู้อำนวยการโครงการ และนายแมคนามาร่าได้เป็นอาจารย์ของฮาร์วาร์ดคนหนึ่งที่มาฝึกอบรมแก่นายทหารดังกล่าว
ต่อมาได้ถูกเรียกประจำการ เพื่อปฏิบัติราชการด้านการทหาร โดยประจำการในหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย ฯลฯ เนื่องจากเชี่ยวชาญในด้านสถิติ จึงรับผิดชอบในภารกิจสำคัญเกี่ยวกับการคำนวณว่าจะต้องใช้เครื่องบินจำนวนเท่าใดเพื่อทิ้งระเบิดในเยอรมนีและญี่ปุ่น ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด ทั้งนี้ เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม 2488 จึงได้ลาออกจากราชการทหารเมื่อเดือนมกราคม 2489 โดยได้รับยศสูงสุด คือ นาวาอากาศโท
ภายหลังสงครามสงบ นาย Charles B. Thornton ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกมาจัดตั้งทีมเพื่อรับจ้างบริหารจัดการแก่บริษัทเอกชนที่สนใจปรับปรุงกิจการ และได้เรียกนายแมคนามาร่ามาร่วมทีมด้วย โดยดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าทีม โดยบริษัทฟอร์ดในช่วงนั้นมีสถานการณ์ไม่ดีนัก ธุรกิจย่ำแย่ใกล้ล้มละลาย เนื่องมาจากระบบการบริหารจัดการภายใน ดังนั้น จึงเชิญทีมงานนี้มาช่วยปรับปรุงการบริหารจัดการภายในบริษัท
นายแมคนามาร่าประสบผลสำเร็จในการทำงานที่บริษัทฟอร์ดเป็นอย่างมาก โดยเมื่ออายุเพียง 39 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัท ซึ่งรูปแบบบริหารจัดการของเขา คือ การตัดสินใจแต่ละครั้งจะต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่รวบรวมข้อเท็จจริง ทำการวิเคราะห์ว่าจะส่งผลทำให้บริษัทมีผลกำไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง พร้อมกับกำหนดให้โรงงานแต่ละแห่งจะต้องแข่งขันกันเองในด้านตัวชี้วัดทั้งในด้านปริมาณการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต
นายแมคนามาร่ายังนับเป็นผู้มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมุ่งเน้นออกแบบรถยนต์ให้มีความปลอดภัยในการขับขี่ โดยบริษัทฟอร์ดนับเป็นแห่งแรกที่ริเริ่มมาตรฐานความปลอดภัยภายในห้องโดยสาร และให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดน้ำมันเพื่อลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรและมลพิษทางอากาศ
ต่อมาในเดือนตุลาคม 2503 เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัทฟอร์ด ขณะที่มีอายุเพียง 44 ปี แต่รับตำแหน่งได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น เมื่อเดือนธันวาคม 2503 ประธานาธิบดีเคนเนดี้สนใจในตัวเขามาก ภายหลังชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 2503 และกำลังจัดตั้งคณะรัฐมนตรี จึงให้ที่ปรึกษาโทรศัพท์ถึงนายแมคนามาร่าและเสนอตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้
นายแมคนามาร่ารู้สึกมึนงงมาก เนื่องจากไม่เคยพบปะและรู้จักประธานาธิบดีเคนเนดี้มาก่อน และไม่ได้สนับสนุนทางการเงินแก่พรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีแต่อย่างใด นอกจากนี้ เขาก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง จึงปฏิเสธตำแหน่งนี้ไป แต่วันรุ่งขึ้น ประธานาธิบดีเคนเนดี้ได้เสนอตำแหน่งใหม่ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งในที่สุดได้ยอมรับตำแหน่งนี้ โดยดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 7 ปี ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเคนเนดี้ต่อเนื่องถึงสมัยประธานาธิบดีจอห์นสัน โดยเฉพาะประธานาธิบดีจอห์นสันถึงกับชักชวนให้เขาลงสมัครเป็นรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2507 แต่เขาได้ปฏิเสธไป
ในช่วงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ผ่าตัดครั้งใหญ่ โดยได้นำระบบบริหารจัดการสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานแห่งนี้ได้อย่างประสบผลสำเร็จ ทั้งในส่วนการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ปฏิรูประบบจัดซื้ออาวุธเพื่อให้ค่าใช้จ่ายลดลง รวมถึงปรับปรุงระบบบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ
นายแมคนามาร่านับเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ถลำลึกเข้าไปในสงครามเวียดนาม โดยวุฒิสมาชิก Wayne Morse ของพรรคเดโมแครตแห่งมลรัฐโอเรกอน ถึงกับกล่าวเมื่อเดือนเมษายน 2507 โดยตั้งฉายาสงครามเวียดนามว่า “สงครามแมคนามาร่า” ซึ่งเขาไม่ได้กล่าวแย้งแต่อย่างใด โดยถึงกับกล่าวว่า “ผมยินดีที่ได้ถูกนำชื่อไปใช้เรียกสงครามครั้งนี้ .... และจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อชนะสงครามครั้งนี้”
รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าด้วยพลังแห่งเทคโนโลยีจะสามารถเอาชนะสงครามเวียดนามได้อย่างไม่ยาก มีการส่งทหารสหรัฐฯ มากถึง 500,000 คน เพื่อทำสงครามครั้งนี้ โลกได้ประจักษ์ถึงนวัตกรรมในด้านยุทธวิธีของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งระเบิดแบบปูพรมของเครื่องบินบี 52 ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างอย่างรุนแรง สามารถทำลายเมืองทั้งหมดให้ลบหายออกไปจากแผนที่ รวมถึงรูปแบบกองทหารม้าอากาศ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์หลายพันเครื่อง สามารถส่งกำลังทหารไปค้นหาและทำลายข้าศึกอย่างง่ายดายในทุกสมรภูมิ
อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด โดยในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมเป็นเวลา 7 ปี ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิตมากกว่า 16,000 คน ทำให้เขาได้เริ่มตระหนักว่าเป็นสงครามที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้น ในเดือนเมษายน 2510 จึงได้เสนอรายงานให้ประธานาธิบดีจอห์นสันปรับเปลี่ยนท่าที โดยหันมาเจรจากับฝ่ายเวียดนามเหนือเพื่อยุติสงคราม แต่ความคิดของเขากลับไม่ได้รับการเห็นชอบจากประธานาธิบดีจอห์นสันแต่อย่างใด ซึ่งยังคงดื้อดึงทำสงครามต่อไป โดยหากดำเนินการตามที่เขาร้องขอ คือ ถอนกำลังทหารออกมาในช่วงนั้นแล้ว สหรัฐฯ คงสูญเสียชีวิตทหารเพียง 16,000 คน ไม่ต้องสูญเสียชีวิตทหารเพิ่มอีกมากถึง 42,000 คน
ขณะเดียวกันประธานาธิบดีจอห์นสันได้เห็นว่าเขาเป็นฝ่ายทรยศ จึงบีบให้เขาลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกลาโหมเมื่อเดือนมกราคม 2511 โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อไปสมัครทำงานเป็นผู้อำนวยการใหญ่ธนาคารโลก ซึ่งต่อมาเขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของธนาคารโลก โดยทำงานในตำแหน่งนี้เป็นระยะเวลายาวนานถึง 13 ปี ตั้งแต่เดือนเมษายน 2511 จนถึงปี 2524 โดยมีภารกิจสำคัญ คือ การเร่งรัดแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศกำลังพัฒนา
ภายหลังเกษียณการทำงานที่ธนาคารโลกเมื่ออายุ 65 ปี เขายังทำงานเป็นกรรมการและที่ปรึกษาให้กับสถาบันต่างๆ จำนวนมากทั้งในส่วนบริษัท มูลนิธิ มหาวิทยาลัย ฯลฯ เป็นต้นว่า เป็นกรรมการบริษัทหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ กรรมการบริษัทน้ำมันเชลล์ รวมถึงเป็นประธานกรรมการ Overseas Development Council ซึ่งเป็นหน่วยงาน NGO ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้คนสหรัฐฯ ตระหนักและเข้าใจถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศกำลังพัฒนา
ในช่วงหลังเขาพยายามดำเนินการเรียกร้องสันติภาพและต่อต้านสงคราม โดยได้ศึกษาครุ่นคิดถึงประสบการณ์การทำสงครามในอดีตและสรุปถึงบทเรียนสำคัญ 11 ข้อ โดยนำเนื้อหาดังกล่าวมาสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Fog of War: Eleven Lessons from the Life of Robert S. McNamara ซึ่งเขาเป็นผู้บรรยายด้วยตนเอง และนำมาเผยแพร่แก่สาธารณชนเมื่อปี 2546
สำหรับใน 11 ข้อนั้น ข้อแรกซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด คือ จะต้องสร้างความรู้สึกร่วมกับฝ่ายตรงข้าม (Empathize with your enemy) โดยจะต้องพยายามมองโลกผ่านสายตาหรือทัศนะของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ สำหรับความผิดพลาดสำคัญของสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม คือ ไม่เข้าใจทัศนคติที่แท้จริงในด้านภูมิรัฐศาสตร์ของฝ่ายตรงข้าม คือ เวียดนามเหนือ ซึ่งตามความจริงแล้วต้องการอิสรภาพ ไม่ได้มุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะรุกรานประเทศอื่นๆ เพื่อเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างที่คิดกัน
แต่สหรัฐฯ กลับมองฝ่ายเวียดนามเหนือผ่านการบิดเบือนของแว่นสงครามเย็น โดยมองในแง่ร้ายกว่าความเป็นจริง หวั่นเกรงว่าหากรัฐบาลเวียดนามใต้ล่มสลายแล้ว ประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทย จะถูกลัทธิคอมมิวนิสต์ยึดครองตามไปด้วย จากมุมมองที่บิดเบือนเช่นนี้ ทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจผิดพลาดในการกระโจนเข้าทำสงครามที่สูญเปล่า
เขายังมีมุมมองในแง่ลบเกี่ยวกับการทำสงครามของสหรัฐฯ ซึ่งมีลักษณะมือถือสากปากถือศีล และพยายามอ้างอยู่เสมอว่าฝ่ายตนเองมีมนุษยธรรม ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามขาดมนุษยธรรม โดยได้หักล้างข้ออ้างข้างต้น ยกตัวอย่างการทิ้งระเบิดของเครื่องบินสหรัฐฯ ในประเทศญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการทิ้งระเบิดเพลิง ส่งผลทำให้พลเรือนญี่ปุ่นเสียชีวิตมากถึง 900,000 คน หากสหรัฐฯ เป็นฝ่ายแพ้สงครามในครั้งนั้น ผู้นำทหารของสหรัฐฯ จะต้องถูกดำเนินคดีโดยศาลระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมสงครามอย่างแน่นอน
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th
นายโรเบิร์ต แมคนามาร่า เกิดเมื่อปี 2459 จบการศึกษาสาขาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียวิทยาเขตเบิร์กเลย์เมื่อปี 2480 จากนั้นได้ศึกษาในระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจที่คณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสำเร็จการศึกษาในปี 2482 โดยทำงานในภาคเอกชน คือ บริษัทที่ปรึกษา Price, Waterhouse & Company ได้เพียงแค่ปีเดียว จากนั้นคณบดีคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ชักชวนให้มาเป็นอาจารย์และเรียนปริญญาเอกไปพร้อมๆ กัน
ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม 2484 เมื่อกองทัพเรือญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐฯ อันเป็นต้นเหตุให้สหรัฐฯ เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ต้องเสริมสร้างอาวุธและกำลังทหารเป็นการใหญ่ จากเดิมที่มีเครื่องบินไม่ถึง 1,800 ลำ และมีนักบินเพียง 500 คน แต่ประธานาธิบดีรุสเวสต์ของสหรัฐฯ ได้สั่งการให้ผลิตเครื่องบินปีละ 50,000 ลำ กองทัพสหรัฐฯ จึงแปลงสภาพอย่างไม่เป็นทางการกลายเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อประสานงานการผลิตยุทโธปกรณ์
แต่กองทัพสหรัฐฯ ไม่เชี่ยวชาญการบริหารจัดการ จึงได้มาขอความช่วยเหลือจากคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยแต่งตั้งให้นาย Charles B. Thornton หัวหน้าฝ่ายสถิติของกองทัพอากาศเป็นผู้อำนวยการโครงการ และนายแมคนามาร่าได้เป็นอาจารย์ของฮาร์วาร์ดคนหนึ่งที่มาฝึกอบรมแก่นายทหารดังกล่าว
ต่อมาได้ถูกเรียกประจำการ เพื่อปฏิบัติราชการด้านการทหาร โดยประจำการในหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย ฯลฯ เนื่องจากเชี่ยวชาญในด้านสถิติ จึงรับผิดชอบในภารกิจสำคัญเกี่ยวกับการคำนวณว่าจะต้องใช้เครื่องบินจำนวนเท่าใดเพื่อทิ้งระเบิดในเยอรมนีและญี่ปุ่น ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด ทั้งนี้ เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม 2488 จึงได้ลาออกจากราชการทหารเมื่อเดือนมกราคม 2489 โดยได้รับยศสูงสุด คือ นาวาอากาศโท
ภายหลังสงครามสงบ นาย Charles B. Thornton ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกมาจัดตั้งทีมเพื่อรับจ้างบริหารจัดการแก่บริษัทเอกชนที่สนใจปรับปรุงกิจการ และได้เรียกนายแมคนามาร่ามาร่วมทีมด้วย โดยดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าทีม โดยบริษัทฟอร์ดในช่วงนั้นมีสถานการณ์ไม่ดีนัก ธุรกิจย่ำแย่ใกล้ล้มละลาย เนื่องมาจากระบบการบริหารจัดการภายใน ดังนั้น จึงเชิญทีมงานนี้มาช่วยปรับปรุงการบริหารจัดการภายในบริษัท
นายแมคนามาร่าประสบผลสำเร็จในการทำงานที่บริษัทฟอร์ดเป็นอย่างมาก โดยเมื่ออายุเพียง 39 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัท ซึ่งรูปแบบบริหารจัดการของเขา คือ การตัดสินใจแต่ละครั้งจะต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่รวบรวมข้อเท็จจริง ทำการวิเคราะห์ว่าจะส่งผลทำให้บริษัทมีผลกำไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง พร้อมกับกำหนดให้โรงงานแต่ละแห่งจะต้องแข่งขันกันเองในด้านตัวชี้วัดทั้งในด้านปริมาณการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต
นายแมคนามาร่ายังนับเป็นผู้มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมุ่งเน้นออกแบบรถยนต์ให้มีความปลอดภัยในการขับขี่ โดยบริษัทฟอร์ดนับเป็นแห่งแรกที่ริเริ่มมาตรฐานความปลอดภัยภายในห้องโดยสาร และให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดน้ำมันเพื่อลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรและมลพิษทางอากาศ
ต่อมาในเดือนตุลาคม 2503 เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัทฟอร์ด ขณะที่มีอายุเพียง 44 ปี แต่รับตำแหน่งได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น เมื่อเดือนธันวาคม 2503 ประธานาธิบดีเคนเนดี้สนใจในตัวเขามาก ภายหลังชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 2503 และกำลังจัดตั้งคณะรัฐมนตรี จึงให้ที่ปรึกษาโทรศัพท์ถึงนายแมคนามาร่าและเสนอตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้
นายแมคนามาร่ารู้สึกมึนงงมาก เนื่องจากไม่เคยพบปะและรู้จักประธานาธิบดีเคนเนดี้มาก่อน และไม่ได้สนับสนุนทางการเงินแก่พรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีแต่อย่างใด นอกจากนี้ เขาก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง จึงปฏิเสธตำแหน่งนี้ไป แต่วันรุ่งขึ้น ประธานาธิบดีเคนเนดี้ได้เสนอตำแหน่งใหม่ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งในที่สุดได้ยอมรับตำแหน่งนี้ โดยดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 7 ปี ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเคนเนดี้ต่อเนื่องถึงสมัยประธานาธิบดีจอห์นสัน โดยเฉพาะประธานาธิบดีจอห์นสันถึงกับชักชวนให้เขาลงสมัครเป็นรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2507 แต่เขาได้ปฏิเสธไป
ในช่วงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ผ่าตัดครั้งใหญ่ โดยได้นำระบบบริหารจัดการสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานแห่งนี้ได้อย่างประสบผลสำเร็จ ทั้งในส่วนการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ปฏิรูประบบจัดซื้ออาวุธเพื่อให้ค่าใช้จ่ายลดลง รวมถึงปรับปรุงระบบบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ
นายแมคนามาร่านับเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ถลำลึกเข้าไปในสงครามเวียดนาม โดยวุฒิสมาชิก Wayne Morse ของพรรคเดโมแครตแห่งมลรัฐโอเรกอน ถึงกับกล่าวเมื่อเดือนเมษายน 2507 โดยตั้งฉายาสงครามเวียดนามว่า “สงครามแมคนามาร่า” ซึ่งเขาไม่ได้กล่าวแย้งแต่อย่างใด โดยถึงกับกล่าวว่า “ผมยินดีที่ได้ถูกนำชื่อไปใช้เรียกสงครามครั้งนี้ .... และจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อชนะสงครามครั้งนี้”
รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าด้วยพลังแห่งเทคโนโลยีจะสามารถเอาชนะสงครามเวียดนามได้อย่างไม่ยาก มีการส่งทหารสหรัฐฯ มากถึง 500,000 คน เพื่อทำสงครามครั้งนี้ โลกได้ประจักษ์ถึงนวัตกรรมในด้านยุทธวิธีของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งระเบิดแบบปูพรมของเครื่องบินบี 52 ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างอย่างรุนแรง สามารถทำลายเมืองทั้งหมดให้ลบหายออกไปจากแผนที่ รวมถึงรูปแบบกองทหารม้าอากาศ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์หลายพันเครื่อง สามารถส่งกำลังทหารไปค้นหาและทำลายข้าศึกอย่างง่ายดายในทุกสมรภูมิ
อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด โดยในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมเป็นเวลา 7 ปี ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิตมากกว่า 16,000 คน ทำให้เขาได้เริ่มตระหนักว่าเป็นสงครามที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้น ในเดือนเมษายน 2510 จึงได้เสนอรายงานให้ประธานาธิบดีจอห์นสันปรับเปลี่ยนท่าที โดยหันมาเจรจากับฝ่ายเวียดนามเหนือเพื่อยุติสงคราม แต่ความคิดของเขากลับไม่ได้รับการเห็นชอบจากประธานาธิบดีจอห์นสันแต่อย่างใด ซึ่งยังคงดื้อดึงทำสงครามต่อไป โดยหากดำเนินการตามที่เขาร้องขอ คือ ถอนกำลังทหารออกมาในช่วงนั้นแล้ว สหรัฐฯ คงสูญเสียชีวิตทหารเพียง 16,000 คน ไม่ต้องสูญเสียชีวิตทหารเพิ่มอีกมากถึง 42,000 คน
ขณะเดียวกันประธานาธิบดีจอห์นสันได้เห็นว่าเขาเป็นฝ่ายทรยศ จึงบีบให้เขาลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกลาโหมเมื่อเดือนมกราคม 2511 โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อไปสมัครทำงานเป็นผู้อำนวยการใหญ่ธนาคารโลก ซึ่งต่อมาเขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของธนาคารโลก โดยทำงานในตำแหน่งนี้เป็นระยะเวลายาวนานถึง 13 ปี ตั้งแต่เดือนเมษายน 2511 จนถึงปี 2524 โดยมีภารกิจสำคัญ คือ การเร่งรัดแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศกำลังพัฒนา
ภายหลังเกษียณการทำงานที่ธนาคารโลกเมื่ออายุ 65 ปี เขายังทำงานเป็นกรรมการและที่ปรึกษาให้กับสถาบันต่างๆ จำนวนมากทั้งในส่วนบริษัท มูลนิธิ มหาวิทยาลัย ฯลฯ เป็นต้นว่า เป็นกรรมการบริษัทหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ กรรมการบริษัทน้ำมันเชลล์ รวมถึงเป็นประธานกรรมการ Overseas Development Council ซึ่งเป็นหน่วยงาน NGO ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้คนสหรัฐฯ ตระหนักและเข้าใจถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศกำลังพัฒนา
ในช่วงหลังเขาพยายามดำเนินการเรียกร้องสันติภาพและต่อต้านสงคราม โดยได้ศึกษาครุ่นคิดถึงประสบการณ์การทำสงครามในอดีตและสรุปถึงบทเรียนสำคัญ 11 ข้อ โดยนำเนื้อหาดังกล่าวมาสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Fog of War: Eleven Lessons from the Life of Robert S. McNamara ซึ่งเขาเป็นผู้บรรยายด้วยตนเอง และนำมาเผยแพร่แก่สาธารณชนเมื่อปี 2546
สำหรับใน 11 ข้อนั้น ข้อแรกซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด คือ จะต้องสร้างความรู้สึกร่วมกับฝ่ายตรงข้าม (Empathize with your enemy) โดยจะต้องพยายามมองโลกผ่านสายตาหรือทัศนะของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ สำหรับความผิดพลาดสำคัญของสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม คือ ไม่เข้าใจทัศนคติที่แท้จริงในด้านภูมิรัฐศาสตร์ของฝ่ายตรงข้าม คือ เวียดนามเหนือ ซึ่งตามความจริงแล้วต้องการอิสรภาพ ไม่ได้มุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะรุกรานประเทศอื่นๆ เพื่อเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างที่คิดกัน
แต่สหรัฐฯ กลับมองฝ่ายเวียดนามเหนือผ่านการบิดเบือนของแว่นสงครามเย็น โดยมองในแง่ร้ายกว่าความเป็นจริง หวั่นเกรงว่าหากรัฐบาลเวียดนามใต้ล่มสลายแล้ว ประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทย จะถูกลัทธิคอมมิวนิสต์ยึดครองตามไปด้วย จากมุมมองที่บิดเบือนเช่นนี้ ทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจผิดพลาดในการกระโจนเข้าทำสงครามที่สูญเปล่า
เขายังมีมุมมองในแง่ลบเกี่ยวกับการทำสงครามของสหรัฐฯ ซึ่งมีลักษณะมือถือสากปากถือศีล และพยายามอ้างอยู่เสมอว่าฝ่ายตนเองมีมนุษยธรรม ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามขาดมนุษยธรรม โดยได้หักล้างข้ออ้างข้างต้น ยกตัวอย่างการทิ้งระเบิดของเครื่องบินสหรัฐฯ ในประเทศญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการทิ้งระเบิดเพลิง ส่งผลทำให้พลเรือนญี่ปุ่นเสียชีวิตมากถึง 900,000 คน หากสหรัฐฯ เป็นฝ่ายแพ้สงครามในครั้งนั้น ผู้นำทหารของสหรัฐฯ จะต้องถูกดำเนินคดีโดยศาลระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมสงครามอย่างแน่นอน
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th