การคลี่คลายคดีสังหารคุณสนธิ ลิ้มทองกุลจะเป็นปัจจัยบ่งชี้ความเป็นไปของการเมืองไทยในอนาคตอย่างแน่นอนที่สุด
คำว่าคลี่คลายคดีในที่นี้ผมไม่ได้หมายความจำกัดเฉพาะการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ศาล และรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการทำข่าวเจาะหรือ Investigative Report ของสื่อมวลชนสำนักต่าง ๆ ไม่เฉพาะสำนัก “ASTV – ผู้จัดการ” เท่านั้น
ผมเคยคิดไว้ว่าจะเขียนอะไรมากมายเป็นการตั้งข้อสังเกตคดีนี้หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 2 คนแรก แต่ปรากฏว่ามาถึงวันนี้แทบไม่จำเป็นแล้ว เพราะสื่อมวลชนเจาะข่าวกันอุดลุด ทั้งชื่อย่อ ชื่อเต็ม โผล่ออกมาเต็มไปหมด การให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่าง ๆ ก็มีนัยให้ได้ติดตามกันมากมาย ไม่เพียงแต่เฉพาะแต่รายงานข่าวหรือบทวิเคราะห์ในหนังสือพิมพ์ “ASTV - ผู้จัดการรายวัน” และการให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวของแกนนำหรือโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย – โดยเฉพาะในกรณีนี้คือคุณปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ – เท่านั้น คอลัมนิสต์ในสื่อมวลชนสำนักอื่นก็ทำหน้าที่ได้ไม่แพ้กัน ในบางกรณีไปไกลกว่าเสียอีก
ที่คลาสสิกมาก ๆ คือเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ “ASTV – ผู้จัดการรายวัน” ยังระบุแค่ชื่อย่อของคนสำคัญในคดีนี้ไว้แต่เพียงว่า...
“พันเอก ส.”
หนังสือพิมพ์ “ASTV – ผู้จัดการรายวัน” มีรายงานเรื่องคดีนี้กันหลายชุด อ่านแล้วก็ยังงง ๆ เหมือนกัน เพราะบางท่อนบางตอนของบางรายงานไประบุว่ามี ส. หนึ่งเป็นพลโท เลยไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า และมีกี่ ส. กันแน่
แต่หนังสือพิมพ์ “กรุงเทพธุรกิจ” โดยคอลัมนิสต์หน้าการเมืองนาม “ประชา บูรพาวิถี” ใช้ศิลปะการเขียนระบุถึงชื่อจริงนามสกุลจริงนายทหารคนหนึ่งขึ้นมา...
“พันเอก สุนัย ประภูชะเนย์”
ท่านผู้นี้จะเกี่ยวข้องแค่ไหนอย่างไรหรือไม่ และจะเป็นคนเดียวกับพันเอก ส. หรือไม่ ไม่อาจทราบได้ แต่ชื่อของท่านก็ทำให้คนไทยได้รู้จักหน่วยงานสำคัญของกองทัพไทยที่ครั้งหนึ่งเคยขึ้นตรงอยู่กับการสั่งการคนเดียวของผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
“ฉก. 90”
และก็ได้รู้จากข้อเขียนชิ้นนั้นว่านายทหารคนนี้มีฝีมือดีมาก แต่ไม่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดในยุค คมช. จึงไม่ได้ขึ้นเป็นใหญ่ในสายงานรบพิเศษตามที่หวังไว้ ถือว่าอกหักพอควร
จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวานนี้เอง ก็มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บางฉบับ – อย่างน้อยที่ผมอ่านก็คือ “กรุงเทพธุรกิจ” ที่อ้างคำให้สัมภาษณ์ของพล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น.ฝ่ายสอบสวน - รายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมจะออกหมายเรียกนายทหารท่านนี้มาให้การ เพราะเชื่อว่าเป็นคนที่ยืมรถยนต์กระบะวีโก้สีเปลือกมังคุดของน.ส.รัศมี เมฆชัยคันนั้นไปใช้
เชื่อว่าตัวตนของพันเอกสุนัย ประภูชะเนย์ และสายสัมพันธ์ต่าง ๆ จะถูกสื่อมวลชนสำนักต่าง ๆ แข่งขันกันรายงานภายในสัปดาห์นี้แน่ ดีไม่ดีในวันนี้ก็คงมีพอสมควรแล้ว ผมคงไม่ต้องใช้เนื้อที่ตรงนี้พูดอะไรมากไปกว่านี้ รออ่านผลงานจากเพื่อนพ้องพี่นักข่าวสายทหารสายตำรวจดีกว่า
กงล้อแห่งความยุติธรรมนั้นเมื่อเริ่มหมุนถูกทิศถูกทางแล้วจะหมุนเร็วมาก
เร็วไม่แพ้กงกรรมกงเกวียน !
คำให้สัมภาษณ์ของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งปลายสัปดาห์ที่แล้ว ก็ยืนยันด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นว่าจะสนับสนุนการทำงานของพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์เต็มที่ ส่วนอุปสรรคขวากหนามที่มีอยู่นั้น ขอให้บอกมาว่าไม่ไหวแล้ว ก็จะจัดการให้ แต่ตอนนี้เมื่อบอกว่ายังไหวอยู่ยังทำงานได้รัฐบาลก็จะยังไม่เข้าไปยุ่ง
ผมเคยบอกไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552 ว่าคดีนี้คือบทพิสูจน์นายกฯ อภิสิทธิ์ วันนี้ยังคงยืนยันเช่นเดิม
และไม่ว่าผมจะมีความเห็นไม่ตรงกับนายกฯไม่ตรงกับรัฐบาลในเรื่องการกู้เงิน 8 แสนล้านบาทมาใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง 1.5 ล้านล้านบาท และเรื่องที่บอกว่าเป็นกลางไม่แทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีตั้งข้อหาก่อการร้ายพันธมิตรฯและรัฐมนตรีกษิต ภิรมย์อย่างไร
แต่สำหรับท่าทีของนายกฯในคดีสังหารคุณสนธิ ณ วันนี้ – ค่อนข้างน่าพอใจ !
ด่านต่อไปวันหน้ามีอีก 2 ด่าน
ด่านที่ 1 สมมติว่าป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติว่าคดี 7 ตุลาคม 2551 มีมูล ท่านจะวางเฉยหรือตัดสินใจอย่างไรกับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จะให้นั่งอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ต่อไปจนครบเกษียณวันที่ 30 กันยายน 2552 หรือจะสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แล้วให้รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุดรักษาราชการแทน
ด่านที่ 2 ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจโดยตำแหน่ง และในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านจะวางเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวไม่ก้าวก่ายอะไรทั้งสิ้นไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.คนต่อไป หรือจะพยายามใช้อำนาจหน้าที่เท่าที่มีอยู่ พยายามเลือกสรร ผบ.ตร.คนต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้
ท่านนับ 1 นับ 2 ได้เยี่ยมที่สุดแล้วที่สั่งการ ผบ.ตร.ให้มอบหมายคดีนี้ให้อยู่ในความดูแลของพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ และแสดงท่าทีสนับสนุนคนที่ท่านเลือกยามมีอุปสรรค
แต่ต้องนับ 3 นับ 4 ให้เยี่ยมต่อเนื่องไปด้วย !
คดีนี้ผู้บงการสูงสุดเหี้ยมโหดมาก หวังจุดชนวนให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวายหลังจากที่นายกฯเอาตัวรอดและคุมสถานการณ์ได้หลังเหตุสงกรานต์เลือดผ่านไปอย่างทุลักทุเล ครั้นเมื่อทำการไม่สำเร็จ คุณสนธิ ลิ้มทองกุลดวงแข็งรอดตายปาฏิหาริย์ ก็ยังเหี้ยมโหดต่อไปอีกโดยหลังจากกำหนดรูปคดีไม่สำเร็จเพราะนายกฯมอบให้นายตำรวจตงฉินคุมคดีแล้วก็ลืมสัตย์ปฏิญาณทั้งปวงดำเนินการปล่อยข่าวจนแพร่กระจายไปทั่วสังคมไทยว่าคดีนี้จะจับกุมใครไม่ได้ เพราะผู้สั่งการคือผู้ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่จนทุกคนคาดไม่ถึง อ้างถึงขนาดว่าที่รู้ก็เพราะได้รับรู้จากพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับเจ้าอาวาสวัดสำคัญ
การยืนหยัดของนายกฯเพื่อให้คดีคลี่คลายจะช่วย “ชำระล้างสังคมไทย” ได้ในระดับสำคัญ
เพราะ “หน้ากาก” ของทุกฝ่ายจะถูกกระชากออกมา
ว่าไปแล้ว คุณสนธิเป็นคนมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริง ๆ ไม่ว่าจะรักจะชังเห็นด้วยหรือไม่ไม่เห็นด้วยก็ตาม ทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในรอบ 4 ปีมานี้คน ๆ นี้กระทำการใหญ่ที่มีผลต่อสังคมไทยมากหลาย การประกาศว่าจะสร้างการเมืองใหม่ของเขา แม้จะยังไม่เห็นรูปธรรมชัดเจนจากพรรคการเมืองใหม่ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง แต่ลำพังการถูกลอบฆ่าแล้วไม่ตาย ก็เป็นการใหญ่อีกการหนึ่ง
การคลี่คลายคดีสังหารคุณสนธิแม้จะไม่เป็น “การเมืองใหม่” ด้วยตัวของมันเอง
แต่ก็จะเป็นการขจัดอุปสรรคขวากหนามให้การก้าวเดินไปสู่ถนนสาย “การเมืองใหม่” เป็นไปได้อย่างชนิดเริ่มต้นมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
และภารกิจนี้อยู่ในมือของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้ว !
คำว่าคลี่คลายคดีในที่นี้ผมไม่ได้หมายความจำกัดเฉพาะการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ศาล และรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการทำข่าวเจาะหรือ Investigative Report ของสื่อมวลชนสำนักต่าง ๆ ไม่เฉพาะสำนัก “ASTV – ผู้จัดการ” เท่านั้น
ผมเคยคิดไว้ว่าจะเขียนอะไรมากมายเป็นการตั้งข้อสังเกตคดีนี้หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 2 คนแรก แต่ปรากฏว่ามาถึงวันนี้แทบไม่จำเป็นแล้ว เพราะสื่อมวลชนเจาะข่าวกันอุดลุด ทั้งชื่อย่อ ชื่อเต็ม โผล่ออกมาเต็มไปหมด การให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่าง ๆ ก็มีนัยให้ได้ติดตามกันมากมาย ไม่เพียงแต่เฉพาะแต่รายงานข่าวหรือบทวิเคราะห์ในหนังสือพิมพ์ “ASTV - ผู้จัดการรายวัน” และการให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวของแกนนำหรือโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย – โดยเฉพาะในกรณีนี้คือคุณปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ – เท่านั้น คอลัมนิสต์ในสื่อมวลชนสำนักอื่นก็ทำหน้าที่ได้ไม่แพ้กัน ในบางกรณีไปไกลกว่าเสียอีก
ที่คลาสสิกมาก ๆ คือเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ “ASTV – ผู้จัดการรายวัน” ยังระบุแค่ชื่อย่อของคนสำคัญในคดีนี้ไว้แต่เพียงว่า...
“พันเอก ส.”
หนังสือพิมพ์ “ASTV – ผู้จัดการรายวัน” มีรายงานเรื่องคดีนี้กันหลายชุด อ่านแล้วก็ยังงง ๆ เหมือนกัน เพราะบางท่อนบางตอนของบางรายงานไประบุว่ามี ส. หนึ่งเป็นพลโท เลยไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า และมีกี่ ส. กันแน่
แต่หนังสือพิมพ์ “กรุงเทพธุรกิจ” โดยคอลัมนิสต์หน้าการเมืองนาม “ประชา บูรพาวิถี” ใช้ศิลปะการเขียนระบุถึงชื่อจริงนามสกุลจริงนายทหารคนหนึ่งขึ้นมา...
“พันเอก สุนัย ประภูชะเนย์”
ท่านผู้นี้จะเกี่ยวข้องแค่ไหนอย่างไรหรือไม่ และจะเป็นคนเดียวกับพันเอก ส. หรือไม่ ไม่อาจทราบได้ แต่ชื่อของท่านก็ทำให้คนไทยได้รู้จักหน่วยงานสำคัญของกองทัพไทยที่ครั้งหนึ่งเคยขึ้นตรงอยู่กับการสั่งการคนเดียวของผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
“ฉก. 90”
และก็ได้รู้จากข้อเขียนชิ้นนั้นว่านายทหารคนนี้มีฝีมือดีมาก แต่ไม่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดในยุค คมช. จึงไม่ได้ขึ้นเป็นใหญ่ในสายงานรบพิเศษตามที่หวังไว้ ถือว่าอกหักพอควร
จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวานนี้เอง ก็มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บางฉบับ – อย่างน้อยที่ผมอ่านก็คือ “กรุงเทพธุรกิจ” ที่อ้างคำให้สัมภาษณ์ของพล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น.ฝ่ายสอบสวน - รายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมจะออกหมายเรียกนายทหารท่านนี้มาให้การ เพราะเชื่อว่าเป็นคนที่ยืมรถยนต์กระบะวีโก้สีเปลือกมังคุดของน.ส.รัศมี เมฆชัยคันนั้นไปใช้
เชื่อว่าตัวตนของพันเอกสุนัย ประภูชะเนย์ และสายสัมพันธ์ต่าง ๆ จะถูกสื่อมวลชนสำนักต่าง ๆ แข่งขันกันรายงานภายในสัปดาห์นี้แน่ ดีไม่ดีในวันนี้ก็คงมีพอสมควรแล้ว ผมคงไม่ต้องใช้เนื้อที่ตรงนี้พูดอะไรมากไปกว่านี้ รออ่านผลงานจากเพื่อนพ้องพี่นักข่าวสายทหารสายตำรวจดีกว่า
กงล้อแห่งความยุติธรรมนั้นเมื่อเริ่มหมุนถูกทิศถูกทางแล้วจะหมุนเร็วมาก
เร็วไม่แพ้กงกรรมกงเกวียน !
คำให้สัมภาษณ์ของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งปลายสัปดาห์ที่แล้ว ก็ยืนยันด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นว่าจะสนับสนุนการทำงานของพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์เต็มที่ ส่วนอุปสรรคขวากหนามที่มีอยู่นั้น ขอให้บอกมาว่าไม่ไหวแล้ว ก็จะจัดการให้ แต่ตอนนี้เมื่อบอกว่ายังไหวอยู่ยังทำงานได้รัฐบาลก็จะยังไม่เข้าไปยุ่ง
ผมเคยบอกไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552 ว่าคดีนี้คือบทพิสูจน์นายกฯ อภิสิทธิ์ วันนี้ยังคงยืนยันเช่นเดิม
และไม่ว่าผมจะมีความเห็นไม่ตรงกับนายกฯไม่ตรงกับรัฐบาลในเรื่องการกู้เงิน 8 แสนล้านบาทมาใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง 1.5 ล้านล้านบาท และเรื่องที่บอกว่าเป็นกลางไม่แทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีตั้งข้อหาก่อการร้ายพันธมิตรฯและรัฐมนตรีกษิต ภิรมย์อย่างไร
แต่สำหรับท่าทีของนายกฯในคดีสังหารคุณสนธิ ณ วันนี้ – ค่อนข้างน่าพอใจ !
ด่านต่อไปวันหน้ามีอีก 2 ด่าน
ด่านที่ 1 สมมติว่าป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติว่าคดี 7 ตุลาคม 2551 มีมูล ท่านจะวางเฉยหรือตัดสินใจอย่างไรกับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จะให้นั่งอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ต่อไปจนครบเกษียณวันที่ 30 กันยายน 2552 หรือจะสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แล้วให้รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุดรักษาราชการแทน
ด่านที่ 2 ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจโดยตำแหน่ง และในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านจะวางเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวไม่ก้าวก่ายอะไรทั้งสิ้นไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.คนต่อไป หรือจะพยายามใช้อำนาจหน้าที่เท่าที่มีอยู่ พยายามเลือกสรร ผบ.ตร.คนต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้
ท่านนับ 1 นับ 2 ได้เยี่ยมที่สุดแล้วที่สั่งการ ผบ.ตร.ให้มอบหมายคดีนี้ให้อยู่ในความดูแลของพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ และแสดงท่าทีสนับสนุนคนที่ท่านเลือกยามมีอุปสรรค
แต่ต้องนับ 3 นับ 4 ให้เยี่ยมต่อเนื่องไปด้วย !
คดีนี้ผู้บงการสูงสุดเหี้ยมโหดมาก หวังจุดชนวนให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวายหลังจากที่นายกฯเอาตัวรอดและคุมสถานการณ์ได้หลังเหตุสงกรานต์เลือดผ่านไปอย่างทุลักทุเล ครั้นเมื่อทำการไม่สำเร็จ คุณสนธิ ลิ้มทองกุลดวงแข็งรอดตายปาฏิหาริย์ ก็ยังเหี้ยมโหดต่อไปอีกโดยหลังจากกำหนดรูปคดีไม่สำเร็จเพราะนายกฯมอบให้นายตำรวจตงฉินคุมคดีแล้วก็ลืมสัตย์ปฏิญาณทั้งปวงดำเนินการปล่อยข่าวจนแพร่กระจายไปทั่วสังคมไทยว่าคดีนี้จะจับกุมใครไม่ได้ เพราะผู้สั่งการคือผู้ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่จนทุกคนคาดไม่ถึง อ้างถึงขนาดว่าที่รู้ก็เพราะได้รับรู้จากพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับเจ้าอาวาสวัดสำคัญ
การยืนหยัดของนายกฯเพื่อให้คดีคลี่คลายจะช่วย “ชำระล้างสังคมไทย” ได้ในระดับสำคัญ
เพราะ “หน้ากาก” ของทุกฝ่ายจะถูกกระชากออกมา
ว่าไปแล้ว คุณสนธิเป็นคนมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริง ๆ ไม่ว่าจะรักจะชังเห็นด้วยหรือไม่ไม่เห็นด้วยก็ตาม ทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในรอบ 4 ปีมานี้คน ๆ นี้กระทำการใหญ่ที่มีผลต่อสังคมไทยมากหลาย การประกาศว่าจะสร้างการเมืองใหม่ของเขา แม้จะยังไม่เห็นรูปธรรมชัดเจนจากพรรคการเมืองใหม่ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง แต่ลำพังการถูกลอบฆ่าแล้วไม่ตาย ก็เป็นการใหญ่อีกการหนึ่ง
การคลี่คลายคดีสังหารคุณสนธิแม้จะไม่เป็น “การเมืองใหม่” ด้วยตัวของมันเอง
แต่ก็จะเป็นการขจัดอุปสรรคขวากหนามให้การก้าวเดินไปสู่ถนนสาย “การเมืองใหม่” เป็นไปได้อย่างชนิดเริ่มต้นมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
และภารกิจนี้อยู่ในมือของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้ว !