การเมืองไทยวันนี้มีลักษณะแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ผมจึงขอยืมชื่อนิยายอิงประวัติศาสตร์อมตะของจีนฝีมือหลอกว้านจงมาประยุกต์ตั้งชื่อเสียใหม่ให้ดูสบายๆ ดั่งว่า
“สยามสามก๊ก”
ส่วนบรรทัดที่ 2 ของชื่อเรื่องนั้นมันมีความเป็นมาต่อเนื่องมาจากข้อเขียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ผมลองตั้งคำถามถึง “รัฐมนตรีป้อม” – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ “แม่ทัพป๊อก” – พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผ่านโอวาทชอง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
สยามสามก๊กในที่นี้ ก๊กหนึ่งคือพรรคประชาธิปัตย์ ก๊กหนึ่งคือพรรคทายาทพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
และก๊กสุดท้ายที่สำคัญมาก...กลุ่มคุณเนวิน ชิดชอบและพรรคการเมืองอื่นที่เหลือ!
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรีก็จริง แต่ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดในการบริหารบ้านเมืองไม่น้อย อยู่ที่ว่าจะพูดหรือไม่เท่านั้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเสียงข้างมากเด็ดขาด นอกจากจะต้องอาศัยพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นกลุ่มการเมืองขนาดเล็กของคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ, คุณบรรหาร ศิลปอาชา, คุณพินิจ จารุสมบัติ – คุณปรีชา เลาหพงศ์ชนะ, คุณสุวิทย์ คุณกิตติ แล้วยังต้องพึ่งพาคุณเนวิน ชิดชอบที่พาพรรคพวกแตกออกมาจากพรรคทายาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอีกต่างหาก
มิพักต้องพูดถึงว่าต้องพึ่งแม่ทัพป๊อกในระดับสำคัญ
เพราะระยะ 1 ปีหลังความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพป๊อกกับคุณเนวิน ชิดชอบพัฒนาไปมาก อย่างที่สื่อเขาเรียกว่าสายสัมพันธ์ “ป๊อก – โป๋ – เป็ด” นั่นแหละครับ
คุณเนวิน ชิดชอบเกิด “ดวงตาเห็นธรรม” เปลี่ยนขั้วครั้งนี้มีที่มาจากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากสายสัมพันธ์นี้ จะไม่ให้สื่อเขาเชื่ออย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเส้นทางเดินของพรรคร่วมรัฐบาลก่อนไปแถลงข่าวร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ที่โรงแรมสุโขทัยในวันประวัติศาสตร์ปลายปีก่อน ดันเป็นที่มูลนิธิแห่งหนึ่งที่มีรัฐมนตรีป้อมเป็นประธาน
ท้ายสุด รัฐมนตรีป้อมก็ตกปากรับคำคุณสุเทพ เทือกสุบรรณมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ต้องย้อนไปดูวิธีการปฏิวัติแบบ คมช.ด้วยว่าตั้งใจจะทำกันอย่างไร
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินตั้งใจจะแยกสลายพรรคไทยรักไทยออกมาโดยดึงนักการเมืองที่จำใจต้องไปรวมกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ เริ่มจากวันเตะฟุตบอลกับคุณสมศักดิ์ เทพสุทินไงล่ะ
เราจะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อแผ่นดินก็ดี พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาก็ดี อยู่ในสมการนี้ทั้งสิ้น
เพียงแต่มันไม่เป็นไปตามเป้า เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 นั้นตัดสิทธิกรรมการบริหารทุกคน 5 ปี ทำให้นักการเมืองหัวแถวหัวขบวนรวนเร การตั้งพรรคตกลงกันไม่ได้เต็มที่ ขณะที่ทางพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินรวมทั้งพล.อ.วินัย ภัททิยกุลก็ยังสองจิตสองใจทำอะไรเปิดเผยไม่ได้เต็มที่
แต่เชื่อเถอะครับว่าความคิดเดิมยังคงอยู่
สูตร “การเมืองเก่า” รวบรวมนักเลือกตั้งมาตั้งพรรคแล้วเชิดชูนายทหารเกษียณอายุราชการขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังคงอยู่
แต่จะเป็น “ใคร” เท่านั้น
อย่าลืมนะครับว่ารัฐมนตรีป้อมนอกจากเป็นทหารเสือราชินีรุ่นพี่ของแม่ทัพป๊อก เสธ.ตู่ และแม่ทัพภาค 1 คนปัจจุบันแล้ว ยังเป็นนักเรียน ตท. 6 รุ่นเดียวกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน – พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ไม่เพียงแต่เท่านั้นยังอยู่ใน “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น” กับพล.อ.วินัย ภัททิยกุล, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ, ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และศิริธัช โรจนพฤกษ์ แห่งคอมลิงค์-ซีฮอร์ส อีกต่างหาก
แม่ทัพป้อมนั้นวันแรกที่รับตำแหน่ง ผบ.ทบ.ก็แสดงความเป็นอิสระจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรทันทีด้วยการประกาศว่าตัวท่านจะทำงานรับใช้ราชบัลลังก์ และในที่สุดก็สามารถส่งมอบตำแหน่ง ผบ.ทบ.ให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินมาได้อย่างนิ่มนวล
ท่านถูกวางตัวให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาตั้งแต่ยุคท้ายๆ ของคมช. แต่ก็ไม่ได้เป็น เพราะสถานการณ์ไม่เป็นใจ
ถามว่าวันนี้มีความเป็นไปได้ไหมถ้าแม่ทัพป้อมจะมาจับมือกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และนักการเมืองที่ก่อนให้เกิดการเปลี่ยนขั้ว ทำงานการเมืองจริงจังในระยะยาว
ตอบว่าเป็นไปได้ !
นักการเมืองกลุ่มนี้ หรือที่ผมยกให้เป็น “ก๊กที่สาม” นี้โดยธรรมชาติโดยวัฒนธรรมแล้วจะให้เข้ากับพรรคประชาธิปัตย์ชนิดเป็นเนื้อเดียวกันน่าจะยาก
แล้วในเมื่อเขาลงทุน “ทรยศเพื่อชาติ” กับพรรคเดิมทั้งที จะหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะทั้งปีทั้งชาติมันจะดีเกินไปหน่อยกระมัง
ทำไมไม่คิดเป็นนายกรัฐมนตรีเองเสียเลย!
และพูดก็พูดเถอะ ในภาวการณ์ที่นักการเมืองแถว 1 ถูกตัดสิทธิจนหมดตัวเช่นทุกวันนี้ ถ้าจะชูใครสักคน ก็เหลือแค่คุณชวรัตน์ ชาญวีรกูล
แต่พวกเขาก็คิดเป็นเช่นเดียวกับพวกเรานั่นแหละว่า – ไม่ไหว!
เพื่อชาติ เพื่อความมั่นคง ทำไมไม่เดินตามสูตรเก่าของ คมช.ที่ยังค้างคาไม่สำเร็จเสียเลยล่ะ?
ส.ส.ก็มี – แม้จะไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็มากพอในกรณีที่ 2 ก๊กแรกไม่แพ้ชนะกันเด็ดขาด
ทุนก็มี – ทั้งการสนับสนุนจากเสี่ยคิงส์พาวเวอร์ และทั้งการสนับสนุนจากเสี่ยคอมลิงค์-ซีฮอร์สที่ดูแลพินิจ จารุสมบัติมานานวัน และยังมีกลุ่มทุนอื่นๆ ที่จะตามน้ำมาอีกหาตัวเชิดชูให้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ หากนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 จากพรรคประชาธิปัตย์ไปไม่ไหวนั้นดูดี
นาทีนี้ใครล่ะจะ “ดูดี” อย่างน้อยต้องดูดีกว่าคุณชวรัตน์ ชาญวีรกูล
คงไม่ใช่ปู่ชัย ชิดชอบแน่
รายนั้นอยู่ในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้มีหน้าที่สำคัญลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เหมาะสมอย่างยิ่งอยู่แล้ว
และไม่น่าจะใช่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินที่จะทำให้ภาพ คมช.กลับมาหลอกหลอนหรือเป็นสายล่อฟ้าปลุกผีเสื้อแดง
เหลือใคร?
เหลือคนเดียวที่ดูเหมาะที่สุด....
“รัฐมนตรีป้อม”
เรื่องราวเหล่านี้ รัฐมนตรีป้อมอาจยังไม่ได้คิด แม่ทัพป๊อกก็อาจยังไม่ได้คิด แต่สถานการณ์ข้างหน้ามีโอกาสที่จะทำให้นักการเมืองก๊กที่สามที่มีทุนหนาแน่นและเป็นทุนที่มีสัมพันธ์กับพวกท่านด้วยเขาคิดเขาเสนอ
สูตรที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง อาจเป็นทำนอง “รัฐบาลแห่งชาติ” ได้หากสถานการณ์พัดพาไป
ก็…ฝาก “รัฐมนตรีป้อม – แม่ทัพป๊อก” นำไปคิดเล่นๆ ไว้ก่อนว่าถึงวันนั้นท่านจะตัดสินใจอย่างไร?
“สยามสามก๊ก”
ส่วนบรรทัดที่ 2 ของชื่อเรื่องนั้นมันมีความเป็นมาต่อเนื่องมาจากข้อเขียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ผมลองตั้งคำถามถึง “รัฐมนตรีป้อม” – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ “แม่ทัพป๊อก” – พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผ่านโอวาทชอง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
สยามสามก๊กในที่นี้ ก๊กหนึ่งคือพรรคประชาธิปัตย์ ก๊กหนึ่งคือพรรคทายาทพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
และก๊กสุดท้ายที่สำคัญมาก...กลุ่มคุณเนวิน ชิดชอบและพรรคการเมืองอื่นที่เหลือ!
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรีก็จริง แต่ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดในการบริหารบ้านเมืองไม่น้อย อยู่ที่ว่าจะพูดหรือไม่เท่านั้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเสียงข้างมากเด็ดขาด นอกจากจะต้องอาศัยพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นกลุ่มการเมืองขนาดเล็กของคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ, คุณบรรหาร ศิลปอาชา, คุณพินิจ จารุสมบัติ – คุณปรีชา เลาหพงศ์ชนะ, คุณสุวิทย์ คุณกิตติ แล้วยังต้องพึ่งพาคุณเนวิน ชิดชอบที่พาพรรคพวกแตกออกมาจากพรรคทายาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอีกต่างหาก
มิพักต้องพูดถึงว่าต้องพึ่งแม่ทัพป๊อกในระดับสำคัญ
เพราะระยะ 1 ปีหลังความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพป๊อกกับคุณเนวิน ชิดชอบพัฒนาไปมาก อย่างที่สื่อเขาเรียกว่าสายสัมพันธ์ “ป๊อก – โป๋ – เป็ด” นั่นแหละครับ
คุณเนวิน ชิดชอบเกิด “ดวงตาเห็นธรรม” เปลี่ยนขั้วครั้งนี้มีที่มาจากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากสายสัมพันธ์นี้ จะไม่ให้สื่อเขาเชื่ออย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเส้นทางเดินของพรรคร่วมรัฐบาลก่อนไปแถลงข่าวร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ที่โรงแรมสุโขทัยในวันประวัติศาสตร์ปลายปีก่อน ดันเป็นที่มูลนิธิแห่งหนึ่งที่มีรัฐมนตรีป้อมเป็นประธาน
ท้ายสุด รัฐมนตรีป้อมก็ตกปากรับคำคุณสุเทพ เทือกสุบรรณมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ต้องย้อนไปดูวิธีการปฏิวัติแบบ คมช.ด้วยว่าตั้งใจจะทำกันอย่างไร
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินตั้งใจจะแยกสลายพรรคไทยรักไทยออกมาโดยดึงนักการเมืองที่จำใจต้องไปรวมกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ เริ่มจากวันเตะฟุตบอลกับคุณสมศักดิ์ เทพสุทินไงล่ะ
เราจะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อแผ่นดินก็ดี พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาก็ดี อยู่ในสมการนี้ทั้งสิ้น
เพียงแต่มันไม่เป็นไปตามเป้า เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 นั้นตัดสิทธิกรรมการบริหารทุกคน 5 ปี ทำให้นักการเมืองหัวแถวหัวขบวนรวนเร การตั้งพรรคตกลงกันไม่ได้เต็มที่ ขณะที่ทางพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินรวมทั้งพล.อ.วินัย ภัททิยกุลก็ยังสองจิตสองใจทำอะไรเปิดเผยไม่ได้เต็มที่
แต่เชื่อเถอะครับว่าความคิดเดิมยังคงอยู่
สูตร “การเมืองเก่า” รวบรวมนักเลือกตั้งมาตั้งพรรคแล้วเชิดชูนายทหารเกษียณอายุราชการขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังคงอยู่
แต่จะเป็น “ใคร” เท่านั้น
อย่าลืมนะครับว่ารัฐมนตรีป้อมนอกจากเป็นทหารเสือราชินีรุ่นพี่ของแม่ทัพป๊อก เสธ.ตู่ และแม่ทัพภาค 1 คนปัจจุบันแล้ว ยังเป็นนักเรียน ตท. 6 รุ่นเดียวกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน – พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ไม่เพียงแต่เท่านั้นยังอยู่ใน “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น” กับพล.อ.วินัย ภัททิยกุล, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ, ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และศิริธัช โรจนพฤกษ์ แห่งคอมลิงค์-ซีฮอร์ส อีกต่างหาก
แม่ทัพป้อมนั้นวันแรกที่รับตำแหน่ง ผบ.ทบ.ก็แสดงความเป็นอิสระจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรทันทีด้วยการประกาศว่าตัวท่านจะทำงานรับใช้ราชบัลลังก์ และในที่สุดก็สามารถส่งมอบตำแหน่ง ผบ.ทบ.ให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินมาได้อย่างนิ่มนวล
ท่านถูกวางตัวให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาตั้งแต่ยุคท้ายๆ ของคมช. แต่ก็ไม่ได้เป็น เพราะสถานการณ์ไม่เป็นใจ
ถามว่าวันนี้มีความเป็นไปได้ไหมถ้าแม่ทัพป้อมจะมาจับมือกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และนักการเมืองที่ก่อนให้เกิดการเปลี่ยนขั้ว ทำงานการเมืองจริงจังในระยะยาว
ตอบว่าเป็นไปได้ !
นักการเมืองกลุ่มนี้ หรือที่ผมยกให้เป็น “ก๊กที่สาม” นี้โดยธรรมชาติโดยวัฒนธรรมแล้วจะให้เข้ากับพรรคประชาธิปัตย์ชนิดเป็นเนื้อเดียวกันน่าจะยาก
แล้วในเมื่อเขาลงทุน “ทรยศเพื่อชาติ” กับพรรคเดิมทั้งที จะหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะทั้งปีทั้งชาติมันจะดีเกินไปหน่อยกระมัง
ทำไมไม่คิดเป็นนายกรัฐมนตรีเองเสียเลย!
และพูดก็พูดเถอะ ในภาวการณ์ที่นักการเมืองแถว 1 ถูกตัดสิทธิจนหมดตัวเช่นทุกวันนี้ ถ้าจะชูใครสักคน ก็เหลือแค่คุณชวรัตน์ ชาญวีรกูล
แต่พวกเขาก็คิดเป็นเช่นเดียวกับพวกเรานั่นแหละว่า – ไม่ไหว!
เพื่อชาติ เพื่อความมั่นคง ทำไมไม่เดินตามสูตรเก่าของ คมช.ที่ยังค้างคาไม่สำเร็จเสียเลยล่ะ?
ส.ส.ก็มี – แม้จะไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็มากพอในกรณีที่ 2 ก๊กแรกไม่แพ้ชนะกันเด็ดขาด
ทุนก็มี – ทั้งการสนับสนุนจากเสี่ยคิงส์พาวเวอร์ และทั้งการสนับสนุนจากเสี่ยคอมลิงค์-ซีฮอร์สที่ดูแลพินิจ จารุสมบัติมานานวัน และยังมีกลุ่มทุนอื่นๆ ที่จะตามน้ำมาอีกหาตัวเชิดชูให้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ หากนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 จากพรรคประชาธิปัตย์ไปไม่ไหวนั้นดูดี
นาทีนี้ใครล่ะจะ “ดูดี” อย่างน้อยต้องดูดีกว่าคุณชวรัตน์ ชาญวีรกูล
คงไม่ใช่ปู่ชัย ชิดชอบแน่
รายนั้นอยู่ในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้มีหน้าที่สำคัญลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เหมาะสมอย่างยิ่งอยู่แล้ว
และไม่น่าจะใช่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินที่จะทำให้ภาพ คมช.กลับมาหลอกหลอนหรือเป็นสายล่อฟ้าปลุกผีเสื้อแดง
เหลือใคร?
เหลือคนเดียวที่ดูเหมาะที่สุด....
“รัฐมนตรีป้อม”
เรื่องราวเหล่านี้ รัฐมนตรีป้อมอาจยังไม่ได้คิด แม่ทัพป๊อกก็อาจยังไม่ได้คิด แต่สถานการณ์ข้างหน้ามีโอกาสที่จะทำให้นักการเมืองก๊กที่สามที่มีทุนหนาแน่นและเป็นทุนที่มีสัมพันธ์กับพวกท่านด้วยเขาคิดเขาเสนอ
สูตรที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง อาจเป็นทำนอง “รัฐบาลแห่งชาติ” ได้หากสถานการณ์พัดพาไป
ก็…ฝาก “รัฐมนตรีป้อม – แม่ทัพป๊อก” นำไปคิดเล่นๆ ไว้ก่อนว่าถึงวันนั้นท่านจะตัดสินใจอย่างไร?